ตอนที่ 122 ธีสิสปลอม

สูตรโกงฉบับเด็กเรียน

ตอนที่ 122 ธีสิสปลอม

Ink Stone_Fantasy

ไป๋เยี่ยค่อนข้างให้ความใส่ใจกับการตีพิมพ์หนังสือ ‘บุกเบิกการแพทย์แผนจีน’ มาก เพราะท้ายที่สุดแล้ว หนังสือก็เปรียบเสมือนตัวตนของผู้แต่ง และแน่นอน เขาหวังว่าผู้อ่านจะชอบมัน

ไป๋เยี่ยกำลังคิดถึงเรื่องหนึ่งอยู่ นั่นก็คือ ‘ห้องแล็บจำลอง‘

ตั้งแต่ที่เขาจับรางวัลได้ ‘ห้องแล็บจำลอง’ ไป๋เยี่ยก็ตื่นเต้นมาก แต่เขาหาห้องขนาดห้าร้อยตารางเมตรและเงินทุนอีกห้าล้านหยวนไม่ได้

หากเขาได้เข้าไปเรียนที่โรงพยาบาลผู่เจ๋อ เขาจะต้องหาเงินจำนวนห้าล้านหยวนให้ไวที่สุด ส่วนห้องขนาดห้าร้อยตารางเมตรให้ช่างมันไปก่อน ถ้ามีห้องแล็บแล้ว เขาจะทำการทดลองอะไรก็ได้

ยิ่งไปกว่านั้น ไป๋เยี่ยยังคงคาดหวังกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากระบบอีกด้วย

ส่วนเรื่องตีพิมพ์หนังสือ ไป๋เยี่ยได้ตกลงตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์จิ้นซี ซึ่งเขาก็ได้รับส่วนลดมากมายเพราะการเจรจาของหูเฟิงอวิ๋น

ถ้าเขาขายหนังสือพวกนี้ได้ เขาก็อาจจะได้เงินทุนมาใช่ไหม

หยางจ่านขอตัวกลับก่อน เพราะเขายังต้องจัดตารางให้กับผู้เชี่ยวชาญที่จะมาร่วมรายการ เขามีธุระที่ต้องจัดการที่สถานีโทรทัศน์อีกมาก

หูเฟิงอวิ๋นมองไป๋เยี่ยด้วยรอยยิ้ม “เป็นยังไงบ้าง ดีใจไหมที่จะได้ไปอยู่ผู่เจ๋อ”

ไป๋เยี่ยยิ้มอย่างไร้เดียงสา “ประกาศเพิ่งออกมาเองครับ ยังต้องรอผลหลังประกาศอีก”

หูเฟิงอวิ๋นหัวเราะ “ดูคะแนนสิ คะแนนใครจะสูงกว่าของหนูอีกจ๊ะ สิบอันดับหลังหนูไม่มีใครทำคะแนนได้สูงเท่าหนูเลยนะ อย่าถ่อมตัวเลย”

ไป๋เยี่ยพึมพำก่อนจะหันไปถามหูเฟิงอวิ๋น “คุณป้าหู ทำไมจู่ๆ ถึงย้ายไปผู่เจ๋อล่ะครับ ไหนจะสำนักงานยาจีนอีก”

หูเฟิงอวิ๋นเคาะหัวไป๋เยี่ย “ห้ามถามคำถามที่เกี่ยวกับการบริหารงานของชาติ แต่ป้าก็พอรู้อะไรมาบ้างแหละนะ ทำไมเหรอ มีอะไรกับที่ที่ป้าจะไปหรือเปล่า ป้าจะได้ดูแลหนูง่ายๆ ไง ไม่ดีใจเหรอ”

ไป๋เยี่ยหัวเราะเบาๆ “ไม่ใช่ครับ กลับกัน ผมรู้สึกปลอดภัยมาก มีคุณป้าอยู่ทำไมผมถึงจะไม่ดีใจล่ะครับ ต่อไปคุณป้าคงจะต้องดูแลผมแล้ว ว่าแต่คุณป้าจะย้ายไปตอนไหนเหรอครับ”

หูเฟิงอวิ๋นยิ้ม เธอชื่นชอบไป๋เยี่ยจากก้นบึ้งหัวใจจริงๆ

“อีกไม่นานหรอก ส่งงานเดือนนี้หมดก็ย้ายได้แล้ว ที่นั่นเองก็เริ่มมีงานแล้วด้วย ไว้ให้อาจารย์จางเข้ามาทำความคุ้นเคยกับงานก่อน…”

หูเฟิงอวิ๋นเลิกงานประมาณห้าโมงครึ่ง ส่วนไป๋เยี่ยก็ขอตัวกลับก่อน

พรุ่งนี้เขาจะต้องเซ็นสัญญากับสำนักพิมพ์ เขาจึงกลับมาเตรียมเอกสารต่างๆ ที่ต้องใช้

ส่วนเรื่องรายการที่เขาต้องไปบรรยายที่สถานีโทรทัศน์นั้น หยางจ่านจะเป็นคนกำหนดทิศทางและหัวข้อที่ไป๋เยี่ยต้องบรรยายเอง ซึ่งก็เป็นช่วงกลางเดือนเมษายน จึงไม่มีอะไรต้องเร่งรีบ

เช้าวันรุ่งขึ้น ไป๋เยี่ย หูเฟิงอวิ๋น และหยางจ่านได้นัดผู้จัดการเหอจากสำนักพิมพ์จิ้นซีที่ร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง

หลังจากรับประทานอาหารกันแล้วทั้งสองฝ่ายก็เริ่มทำสัญญากัน โดยทางสำนักพิมพ์ก็เสนอราคาที่ดูสมเหตุสมผลให้ไป๋เยี่ย

เมื่อไป๋เยี่ยกลับมาถึงหอพักในช่วงบ่าย ก็พบว่าเพื่อนของเขาทั้งสามคนกำลังเร่งมือปั่นแบบบันทึกการฝึกงานกันใหญ่ โดยเฉพาะพ่างจื่อที่นั่งถกแขนเสื้อปั่นงานสุดฤทธิ์

ทันทีที่เห็นไป๋เยี่ยเดินเข้ามา ทั้งสามคนก็กล่าวทักทายทันที

“โย่…กลับมาแล้วเหรอพ่อคนดัง”

ไป๋เยี่ยยิ้มแห้ง “คนดังอะไรกัน”

พ่างจื่อวางปากกาลงกับโต๊ะก่อนจะหันมาพูดอย่างเกรี้ยวกราด “มาๆ เดี๋ยวจะเอาอะไรให้ดู ดูในบล็อกมหา’ ลัยเราสิ มีแต่คนเรียกนายว่าเทพบุตร!”

“ให้ตายเถอะ… คนพวกนี้ตาบอดจริงๆ ไม่เห็นความหล่อของฉันบ้างเลยเหรอ!”

ไป๋เยี่ยหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาดู และพบว่าแฟนคลับของเขาได้ตั้งบล็อกไป๋หั่วหวาให้เขาในบล็อกของมหาวิทยาลัย

รูปโปรไฟล์บล็อกก็เป็นรูปเขา ไป๋เยี่ยจึงลองกดเข้าไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและพบว่ามีแฟนคลับมากมายคอยติดตามเขาอยู่

เขาส่งแท็บเล็ตคืนพ่างจื่อ ก่อนจะเปิดโน้ตบุ๊กขึ้นมาล็อกอินเข้าบล็อกของเขา และกดเข้าไปในบล็อกชื่อว่าไป๋หั่วหวา

เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะโพสต์ข้อความลงไปในบล็อก

[ผมไป๋เยี่ยนะครับ ขอบคุณสำหรับการสนับสนุน ผมคิดว่าต่อไปเราสามารถแลกเปลี่ยนความรู้และความคิดเห็นทางวิชาการและการแพทย์ผ่านช่องทางนี้ได้ ต่อไปผมจะพยายามเอาข้อมูลหรือบทความดีๆ มาโพสต์ในบล็อกบ่อยๆ นะครับ…หวังว่าทุกคนจะชอบนะ แล้วก็ตอนนี้ผมได้ติดต่อสำนักพิมพ์ให้ตีพิมพ์หนังสือ ‘บุกเบิกแพทย์แผนจีน‘ แล้วนะครับ ผมจะแจ้งให้ทุกคนทราบเมื่อหนังสือล็อตแรกตีพิมพ์แล้วอีกทีนะครับ…]

ทันทีที่โพสต์ลงไป ก็เริ่มมีคนแห่มาคอมเมนต์

[ว้าว ไอดอลตัวจริง! (หน้าว้าว)!]

[อ่า ไม่คิดเลยว่าเทพบุตรไป๋เยี่ยจะมาโผล่ที่นี่…]

[ต่อไปเทพไป๋เยี่ยคงต้องอยู่ที่นี่ยาวแล้วแหละ ต้องหาคนคอยจัดการให้แล้ว…]

ไป๋เยี่ยสนุกสนานกับคนในกลุ่มอีกสักพักก่อนจะล็อกเอาท์ออกมา

เขาจะต้องเริ่มเขียนบันทึกการฝึกงาน เพราะอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็จะถึงกำหนดส่งแล้ว ถ้าไม่เขียนเลยก็คงดูไม่ดีสักเท่าไหร่

ไป๋เยี่ยหยิบบันทึกของเขาออกมา แล้วเริ่มลอกเคสผู้ป่วยของพ่างจื่อมาสักสองสามเคส

วันต่อมา ก่อนที่จะทุกจะตื่นนอน จู่ๆ ก็มีประเด็นผุดขึ้นมาในโลกออนไลน์อีกแล้ว ทำเอาทั้งมหาวิทยาลัยปั่นป่วนไปหมด

ยิ่งไปกว่านั้น คนที่อยู่ในประเด็นก็ไม่ใช่ใครอื่นเลยนอกจากไป๋เยี่ย

‘คำถาม – มีธีสิสที่ไหนได้คะแนนไอเอฟสูงถึงสองร้อยห้าสิบแปดคะแนนด้วยเหรอ’

ในโพสต์แนบประกาศรับสมัครของหลิวป๋อหลี่จากโรงพยาบาลผู่เจ๋อ พร้อมกับระบุรายละเอียดการคิดคะแนนไว้ ทั้งยังเน้นย้ำเรื่องคะแนนไอเอฟสองร้อยห้าสิบแปดคะแนนของไป๋เยี่ยด้วย

จากนั้นก็เบนความสนใจไปที่ความสำคัญและความยากของบทความ แค่มีวารสารสองคะแนนก็จบด็อกเตอร์ได้แล้ว แต่การที่นักศึกษาปริญญาตรีซึ่งยังเรียนไม่จบเลยด้วยซ้ำมีคะแนนไอเอฟอยู่ในมือถึงสองร้อยห้าสิบแปดคะแนนนี่ ดูจะไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรเลยเหรอ

ดูสิว่านักศึกษาอันดับหลังไป๋เยี่ยได้คะแนนจากบทความกันสักกี่คะแนน

ใครที่เคยเขียนบทความจะรู้ดีว่าการตีพิมพ์บทความสักหนึ่งบทความนั้นยากมาก โดยเฉพาะบทความทางการแพทย์ ยิ่งถ้าเป็นนักศึกษาปริญญาตรีก็ยิ่งหาโอกาสเข้าร่วมการทดลองได้ยาก แล้วบทความพวกนี้มีที่มาจากไหนบ้างล่ะ

โพสต์นี้จี้ประเด็นสำคัญหลายประเด็น ทั้ง ‘การฉ้อโกงทางวิชาการ’ ‘การสร้างไอดอลทางวิชาการ’ และ ‘การปั่นกระแสทางวิชาการ’

สิ่งที่นักวิชาการห้ามทำมากที่สุดคืออะไร ก็คือการทุจริตทางวิชาการนั่นเอง!

สิ่งที่นักวิชาการเหยียดหยามที่สุดคืออะไร ก็คือการเขียนบทความแทนกัน!

แล้วสิ่งที่นักวิชาการเกลียดที่สุดล่ะคืออะไร ก็คือการนำบทความของผู้อื่นมาใช้ในการเลื่อนตำแหน่งของตนเอง แล้วสร้างประวัติสวยๆ ให้ตนเอง!

ทั้งสามข้อนี้มีเขียนไว้ในโพสต์แล้ว

ตบท้ายด้วยการเน้นย้ำว่านักศึกษาคนนี้มาจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซี ซึ่งไม่มีความก้าวหน้าด้านงานวิจัยทางวิชาการ!

และผู้เขียนโพสต์นี้ก็คือสือฉี วีไอพีประจำเวยป๋อเจ้าเก่า ที่ปรึกษาอาวุโสของอุทยานวิทยาศาสตร์ชีวภาพ รองประธานสมาคมการฝึกเดินลมปราณพื้นบ้าน และนักวิจารณ์สังคม!

เริ่มมีคนกดไลก์ กดแชร์โพสต์นี้ออกไป…

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้สมัครที่ตกรอบก็เริ่มออกมาคอมเมนต์หลังจากที่เห็นโพสต์นั้น!

[คุณไป๋เยี่ยเรียกร้องความยุติธรรมและความโปร่งใสไม่ใช่เหรอ]

[พวกเราก็ต้องการความโปร่งใสเหมือนกัน!]

[เราอยากรู้ที่มาของบทความเหล่านั้นว่ามันเป็นของปลอมหรือเปล่า!]