ตอนที่ 123 มุมมองจากทางมหาวิทยาลัย

สูตรโกงฉบับเด็กเรียน

ตอนที่ 123 มุมมองจากทางมหาวิทยาลัย

สือฉีมีผู้ติดตามกว่าสามล้านคน และในโพสต์นี้เขาก็กล่าวถึงไป๋เยี่ยโดยตรง!

อีกทั้งยังวงชื่อไป๋เยี่ยในภาพใบประกาศผลการรับเข้าศึกษาจากโรงพยาบาลผู่เจ๋ออีกด้วย

เสียงโทรศัพท์ปลุกไป๋เยี่ยให้ตื่นตั้งแต่เช้า!

ตอนแรกไป๋เยี่ยไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ทว่ามีสายโทรเข้าหาเขาเยอะเกินไป แถมรูมเมทของเขายังตื่นกันหมด เขาจึงต้องจำใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู

[คำถาม – มีธีสิสที่ไหนได้คะแนนไอเอฟสูงถึงสองร้อยห้าสิบแปดคะแนนด้วยเหรอ]

ไป๋เยี่ยชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเหลือบอ่านชื่อผู้เขียน สือฉีอีกแล้ว!

หมอนี่ยังหลอนไม่เลิกอีกเหรอ

เห็นว่าสงบปากสงบคำไปหลายวันแล้ว จู่ๆ เกิดคึกขึ้นมาอีกแล้ว

ไป๋เยี่ยไม่มีอะไรจะพูดกับชายผู้นี้จริงๆ ครั้งที่แล้วยังพอเข้าใจได้ว่าปั่นกระแส แต่ครั้งนี้คงพูดได้เต็มปากเต็มคำแล้วว่าเขาคือมะเร็งของแวดวงการศึกษา!

ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้คนที่ตั้งคำถามกับไป๋เยี่ยไม่ได้มีเพียงสือฉี แต่ยังมีคนอื่นๆ อีกด้วย

โดยเฉพาะอาจารย์ไม่ก็นักศึกษาที่ตกรอบไป

เพราะว่าอย่างน้อยผู้เข้าสมัครจะต้องมีจดหมายแนะนำอย่างน้อยสองฉบับก่อนจึงจะยื่นใบสมัครกับหลิวป๋อหลี่ได้ และจะต้องมีคะแนนไอเอฟจากบทความของพวกเขาด้วย

นักศึกษาทั่วไปจะทำแบบนั้นได้อย่างไร

ใครจะไปเป็นสมบัติของมหาวิทยาลัยไม่ก็ลูกรักพระเจ้าแบบเขากันล่ะ!

ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเซียงหนาน: [ผมไม่มีเชื่อ นักศึกษาระดับปริญญาตรีจะเขียนบทความที่มีคะแนนไอเอฟสูงถึงสองร้อยห้าสิบแปดคะแนนได้! อย่าว่าแต่นักศึกษาเลย ในมหา’ ลัยเขามีอาจารย์ไหนเขียนบทความแล้วได้คะแนนไอเอฟสูงขนาดนั้นบ้างหรือยัง!]

ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนปักกิ่ง: [มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีเป็นสถาบันที่มีการวิจัยเชิงวิชาการและวิทยาศาสตร์ที่ล้าหลังมาโดยตลอด หากสถาบันดังกล่าวสามารถผลิตนักศึกษาที่เขียนบทความที่มีคะแนนไอเอฟสองร้อยห้าสิบแปดคะแนนได้ล่ะก็…สถาบันของเราก็น่าจะผลิตผู้ได้รับรางวัลโนเบลได้เหมือนกัน เป็นนักวิชาการแท้ๆ น่าจะรักษาจรรยาบรรณหน่อยนะ ไม่คิดเหรอว่ามันตลกที่ต้องมาพยายามหลอกตัวเองเพื่อหากำไรเล็กๆ น้อยๆ องค์ความรู้สร้างได้ด้วยการยกย่องเกินจริงงั้นสินะ]

นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญมากมายต่างแห่มาคอมเมนต์ เพราะเหตุใดกัน

เพราะว่าไป๋เยี่ยกำลังตบหน้าคนทั้งวงการน่ะสิ!

ไม่สำคัญว่านี่จะเป็นเพียงการสอบระดับปริญญาโทธรรมดา สำคัญที่ว่าไป๋เยี่ยเป็นคนเก่งมาก!

เก่งจนใครๆ ก็อิจฉา ตั้งข้อครหา และไม่ยอมรับ

ทว่าคะแนนไอเอฟสองร้อยห้าสิบแปดคะแนนนั้นน้อยเกินไปสำหรับเฮ่ออัน อาจารย์ที่ปรึกษาที่ไป๋เยี่ยไปสมัครด้วยในตอนแรก!

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องจนพ่างจื่อ ต้วนเย่ว์ และลู่เผยอี้ต้องตื่น แน่นอนว่าพวกเขาเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น พ่างจื่อมองไป๋เยี่ยด้วยความกังวลก่อนจะเอ่ยปากถาม “เอาไงดีเยี่ยจื่อ”

ไป๋เยี่ยกรอกตาพร้อมกับหาวออกมา “จะไปทำอะไรได้ล่ะ นอนดีกว่า…”

เมื่อคืนเขานั่งลอกเคสผู้ป่วยจนเที่ยงคืน กว่าจะได้นอนก็ดึกมาแล้ว ไหนๆ ตอนนี้ก็พอมีเวลา ชิงนอนก่อนดีกว่า…

พูดจบไป๋เยี่ยก็พลิกตัวกลับไปนอนต่อ

ไม่นอนแล้วจะให้ทำอะไรล่ะ

ให้ไปเถียงสู้เหรอ

ตราบใดที่ประกาศบนเว็บไซต์ทางการของโรงพยาบาลผู่เจ๋อไม่มีการเปลี่ยนแปลง หรือเจ้าหน้าที่ไม่ยอมรับงานเขียนของไป๋เยี่ย ไม่ว่าจะกล่าวหาอะไรไปก็จะไม่เกิดผลกระทบอะไรกับไป๋เยี่ยทั้งนั้น ก็แค่มีกลุ่มคนออกมาร้องโวยวายเท่านั้น…

ถ้าไม่อย่างนั้นจะเว้นระยะเวลาการตรวจสอบผลการรับสมัครไปทำไม ก็เพื่อตรวจสอบว่าเอกสารของไป๋เยี่ยมีปัญหาหรือไม่ไม่ใช่หรือ

มีหน่วยงานมากมายที่ต้องยกเลิกโควตาผู้สมัครเนื่องจากมีรายงานปัญหาระหว่างช่วงตรวจสอบผลการรับสมัคร

เหอะๆ เป็นเรื่องปกติที่พวกนักวิชาการจะดูถูกกันเอง

เมื่อไหร่ที่คุณได้ดิบได้ดีกว่าพวกเขา พวกเขาก็จะบอกว่า ‘ทำไมถึงเก่งกว่าฉัน โกงแน่ๆ!’

โกงเหรอ…ใครจะไปบอกคนอื่นว่าตนเองโกงล่ะ

ฮิๆ…

ครั้งนี้สือฉีอาจจะถูกยุหรือปั่นโดยใครบ้างคน ท้ายที่สุดแล้ว หากพบปัญหาในเอกสารของไป๋เยี่ยระหว่างช่วงตรวจสอบผลการรับสมัคร และมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงแล้ว โควตาของไป๋เยี่ยก็อาจจะถูกยกเลิกเช่นกัน

แต่เขาจะมีปัญหาอะไรล่ะ ปัญหาเดียวที่เขามีคือเขาเป็นลูกรักของพระเจ้าชนิดที่ว่าไม่เคยมีใครเป็นแบบเขามาก่อน…

คิดได้ดังนั้น ไป๋เยี่ยก็พลิกตัวและหลับไป

ทว่าตอนนี้ ทางมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีก็ได้จัดการประชุมเกี่ยวกับไป๋เยี่ยขึ้นเป็นครั้งที่สอง!

โดยมีการเชิญชวนผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยต่างๆ

ห้องประชุมขนาดใหญ่อัดแน่นไปด้วยองค์ประชุม

หูเฟิงอวิ๋นนั่งอยู่บนเก้าอี้ผู้อำนวยการถัดจากผู้อำนวยการคนใหม่อย่างจางฮั่นหลิน…

เหตุการณ์ครั้งที่แล้วเกี่ยวข้องกับไป๋เยี่ยเพียงคนเดียวเท่านั้น ทุกคนจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก ทว่าครั้งนี้แตกต่างออกไป

ทั้งสถานการณ์ ความรุนแรง และผลกระทบที่ตามมานั้นต่างออกไปมาก

คนจำนวนมากพุ่งเป้าไปที่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซี โดยเชื่อว่าไป๋เยี่ยคือดาวเด่นที่ทางมหาวิทยาลัยปั้นขึ้นมากับมือ และเอกสารเหล่านั้นก็เป็นของปลอมทั้งหมด!

ทางมหาวิทยาลัยไม่คิดจะต่อต้านพฤติกรรมดังกล่าว แต่กลับยกย่องเชิดชูไป๋เยี่ยต่อหน้าสาธารณชน

สำหรับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าอับอายและไม่ควรเกิดขึ้นมากที่สุด

กล่าวได้เลยว่าตอนนี้ทั้งมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีกำลังลุกเป็นไฟ!

ครั้งนี้ท่าทีของหูเฟิงอวิ๋นต่างออกไปจากครั้งที่แล้ว เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังหนักแน่น “สือฉีแค่ต้องการวิพากษ์วิจารณ์และเปิดเผยข้อมูลของมหาวิทยาลัยเราเท่านั้น! เราจำเป็นต้องตอบโต้โดยทันที!”

หลี่เผยซั่วส่ายหน้า “ไม่ได้นะครับ! อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามจนกว่าจะมีการตรวจสอบบทความของไป๋เยี่ย! ถ้าไป๋เยี่ยปลอมแปลงบทความจริง พวกเราสิ้นชื่อแน่นอน! ผมยอมไม่ได้!”

ปีนี้หลี่เผยซั่วอายุห้าสิบแปดปีแล้ว เขาทำงานที่มหาวิทยาแพทย์แผนจีนมาทั้งชีวิตตั้งแต่ก่อนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้จะก่อตั้งเสียอีก

แต่ถึงกระนั้น เขาจะไม่มีวันยอมให้ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยต้องเสื่อมเสียเด็ดขาด!

หูเฟิงอวิ๋นได้ยินก็ขมวดคิ้วแน่น “ท่านเลขา ตอนนี้จะมัวมารีรอไม่ได้นะคะ! ดูสิ…สถาบันอื่นๆ เริ่มกล่าวหามหาวิทยาลัยของเราว่าเป็นสถาบันที่มีงานวิจัยด้อยคุณภาพแล้ว คุณ…”

จางฮั่นหลินส่ายหน้า “บทความของไป๋เยี่ยเป็นของจริงครับ อย่างน้อยผมก็รู้ว่ามีสองบทความที่เป็นของจริงแน่นอน ส่วนชิ้นอื่นผมไม่ทราบนะครับ”

ทุกคนหันไปสนใจผู้อำนวยการหน้าใหม่

จางฮั่นหลินกล่าวอย่างใจเย็น “ก่อนช่วงปีใหม่ ผมประสบปัญหากับการทำโครงการ ในฐานะที่เขาเป็นนักศึกษาของผม…ผมจึงกะว่าจะให้เขาลองแก้ปัญหาดู แต่ผมไม่คิดเลยว่าไป๋เยี่ยจะวิเคราะห์มันทั้งหมด…และเพราะว่างานวิจัยชิ้นนั้นมีข้อมูลและตัวแปรหลายตัว การมีส่วนร่วมของไป๋เยี่ยในครั้งนี้มันมีคุณค่ามากพอที่จะเขียนชื่อเขาลงไปในฐานะผู้เขียนร่วม”

สิ้นเสียงของจางฮั่นหลิน ทุกคนก็ตกอยู่ในอาการตะลึง…ไป๋เยี่ยสามารถวิเคราะห์ข้อมูลที่คนทั้งมณฑลจิ้นซีวิเคราะห์ไม่ได้

ไป๋เยี่ยเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ

“มีธีสิสอีกชิ้นหนึ่งจากนักศึกษาของผมด้วยครับ ไป๋เยี่ยให้ความช่วยเหลือเธอในการเขียนธีสิส เธอจึงตั้งให้ไป๋เยี่ยเป็นผู้เขียนร่วมด้วย!”

เมื่อจางฮั่นหลินพูดออกมาอย่างนั้น ทุกคนก็เข้าใจบางอย่างทันที หลี่เผยซั่วถอนหายใจ “นี่แค่สองบทความ แล้วยังมีอีกสิบเอ็ดบทความเหรอ อะไรกันเนี่ย”

หูเฟิงอวิ๋นทุบโต๊ะแล้วจึงยืนขึ้น “ฉันจะเรียกไป๋เยี่ยมาเดี๋ยวนี้!”