วันที่เจ็ดเดือนเจ็ด งานแต่งงานของสือเพ่ยหลินจัดขึ้นที่โรงแรม Kempinski
เป็นเพราะว่าในตอนนี้หลานเสี่ยวถางกับสือมูเฉินยังคงปกปิดสถานะแต่งงานกันอยู่ ดังนั้นแล้ว สือมูเฉินจึงไปถึงสถานที่จัดงานก่อน เธอจึงถือจังหวะที่งานแต่งกำลังจะเริ่ม ถึงเข้าไปอย่างเชื่องช้า
เดิม เธอนึกว่ามาร่วมงานแต่งงานของสือเพ่ยหลินนั้นจะรู้สึกไม่ค่อยดีนิดหน่อย
ถึงแม้ เธอไม่มีความรู้สึกในตอนแรกต่อเขาแล้ว แต่ทว่า ในเมื่อเธอเป็นอดีตภรรยาของเขา ช่วงระยะเวลาสองปี เจ็ดร้อยกว่าคืนวัน ก็ไม่สามารถบอกว่ากำจัดทิ้งไปแล้วจะกำจัดทิ้งไปได้ทั้งหมด
แต่ทว่าในตอนที่เธอส่งการ์ดเชิญ แล้วเข้าไปด้านใน ถึงค้นพบว่า เธอนั้นปล่อยวางไปเรียบร้อยแล้วจริง ๆ
บางทีก็อาจจะเป็นเพราะสือมูเฉิน ที่เข้ามาในชีวิตของเธออย่างรุนแรง นำพาเธอออกจากจุดที่ต่ำที่สุดแล้วก้าวทีละก้าวออกมา ทำให้ช่วงเวลาอันมืดมนเล็กน้อยนั่น ใช้ความอบอุ่นกับแสงสว่างค่อย ๆ ลบเลือนเงานั้นไปจนหมดสิ้น
ดังนั้นแล้ว ตอนนี้ เธอสบตามองไปยังรอบบริเวณที่เต็มไปด้วยดอกไม้สดใหม่และลูกโป่ง ได้ยินเสียงพูดคุยจากรอบข้าง เธอก็สามารถเผชิญหน้าด้วยความสงบได้แล้ว
เพียงแต่ ก็อดที่จะถอนหายใจไม่ได้เช่นกัน
คิดว่าในตอนแรก เธอทุ่มเทไปมากขนาดนั้น แต่งกับเขา ไม่มีดอกไม้สดใหม่ ไม่มีชุดเจ้าสาว แม้กระทั่ง คนรอบข้างสองสามคนก็ไม่มีใครรู้ ว่าเธอกับสือเพ่ยหลินแต่งงานกันแล้ว
แต่ทว่า เฉินจื่อโร่วในตอนนี้ ถึงจะเข้าไปใช้ชีวิตร่วมกับสือเพ่ยหลินเพียงแค่สามสี่เดือนเท่านั้น ในตอนที่ชีวิตของสือเพ่ยหลินตกต่ำ ก็ไม่เคยได้ทุ่มเทอะไรให้กับสือเพ่ยหลินเลย อาศัยเพียงแค่เทคนิคหว่านเสน่ห์เล็กน้อยกับแผนการ ก็สามารถสวมใส่ชุดเจ้าสาว แล้วเดินเข้าพิธีวิวาห์ในห้องโถงกับสือเพ่ยหลินแล้ว!
หลานเสี่ยวถางขบขันให้กับตนเองครั้งหนึ่ง
ที่แท้ คำพูดเมื่อก่อนที่ดูแล้วถึงแม้ว่าจะไม่น่าฟังเล็กน้อยนั่น แต่ทว่าที่พูดมาก็เป็นความจริง
พูดเอาไว้แบบนี้ ความรู้สึกก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่แม่งต้องการเธอ ราคาแพงยากที่จะซื้อ คนเขาไม่เอา ก็ไม่คุ้มราคาแล้ว ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดผู้หญิงไม่ควรที่จะทุ่มความรู้สึกลงไปเล่นเยอะ เพราะว่า ต่อหน้าผู้ชายสารเลวแล้วนั้น ทุ่มไปก็เท่ากับว่าเป็นการไม่เจียมตัว!
เอ่ยถึงทุ่มเทแรงใจทั้งหมด ก็ไม่เท่ากับชู้ที่อาศัยใบหน้าหรอก มือที่สามก็เป็นเพียงแค่เป้าหมายที่ง่ายดายเท่านั้น สิ่งที่เธอต้องการ เดิมก็เป็นเพียงแค่เงินจากผู้ชายก็เท่านั้นเอง!
อีกทั้งผู้ชาย ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าเธอต้องการเงิน แต่ทว่ายังทำเหมือนเธอเป็นของล้ำค่า เป็นเพราะว่า ผู้ชายก็ไม่เจียมตัวเช่นกัน!
หลานเสี่ยวถางนึกถึงคำพูดเหล่านั้น ไหวไหล่ไปมา ก่อนจะเดินไปยังสถานที่หยิบของขวัญ แล้ววางอั่งเปาที่ตนเองนั้นตระเตรียมเอาไว้ตั้งนานแล้ว
ในอั่งเปาของเธอ มีเพียงแค่ธนบัตรเก้าหยวนและห้าสลึงเท่านั้น
บนธนบัตรมีประโยคที่เธอเขียนเองกับมือเอาไว้ว่า ในตอนแรกที่แต่งงานกันใช้เงินของคุณ ดังนั้นแล้วหย่ากันฉันจึงออกเอง เก้าหยวนนั้นคือเงินต้นทุน ส่วนห้าสลึงนั้นคือกำไรของวันเวลามากมายเหล่านั้น ขออวยพรให้คุณไม่ต้องใช้เงินเก้าหยวนห้าสลิงนี้นะคะ เป็นเพราะว่าฉันรู้สึกได้ว่าคุณกับเฉินจื่อโร่ว สามารถอยู่ด้วยกันไปจนแก่เถ้าได้อย่างแน่นอนค่ะ!
จะว่าไปแล้ว เธอก็ไม่ได้อวยพรอะไรเลยสักประโยคหนึ่งไม่ใช่หรือ?
ริมฝีปากของหลานเสี่ยวถางยกยิ้มขึ้น รู้สึกว่าอันที่จริงแล้วตนเองก็มีจิตใจที่เมตตาเป็นอย่างมาก
ทางโรงแรมได้จัดเตรียมที่นั่งไว้สำหรับแขกเหรื่อเรียบร้อยแล้ว เป็นเพราะว่าหลานเสี่ยวถางไม่รู้จักใครเลย ดังนั้น จึงหาที่นั่งที่หนึ่งแล้วนั่งลง
ที่ไกล ๆ เธอสามารถมองเห็นแถวที่นั่งของสือมูเฉินได้ ยังคงนั่งอยู่ในตำแหน่งของผู้อาวุโสภายในบ้าน แทบจะรับรู้ได้ถึงสายตาของเธอที่มองมา เขาจึงหันไปเลิกคิ้วใส่เธอ ตามต่อด้วย หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ไม่รู้ว่าพิมพ์อะไรลงไป
ไม่นานนัก หลานเสี่ยวถางรู้สึกเพียงแค่ว่าโทรศัพท์มือถือสั่นเครือ เธอรีบก้มศีรษะลงไปดู ก็เห็นข้อความที่สือมูเฉินส่งมาหา
เขาบอกว่า “เสี่ยวถางครับ ประเดี๋ยวพิธีแต่งงานจบลงแล้วรอผมนะ เราไปทานข้าวเฉลิมฉลองด้วยกัน”
หลานเสี่ยวถางตกตะลึงเล็กน้อย จะว่าไป พิธีสมรสนี้จบลงแล้ว ไม่ได้ควรที่จะต้องทานข้าวกันต่อที่โรงแรมหรือ?
ก่อนหน้านี้ในเวยป๋อ เธอก็เคยเห็นอาหารหรูหราของงานแต่งที่ถูกเปิดเผยแล้ว ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครที่ปล่อยรูปหลุดออกมา ทั้งหมดเป็นอาหารหรูหรา เธอจึงรู้สึกตะกละตะกลามขึ้นมาแล้วจริง ๆ เล็กน้อย!
เพียงแค่ สือมูเฉินไม่ได้คลี่คลายความสงสัยของเธอ หลังจากนั้น ช่วงเวลาของช่วงเวลามงคลก็ใกล้เข้ามาถึงแล้ว พิธีกรเดินขึ้นไปยังหน้าเวที ประกาศว่าเวลามงคลมาถึงแล้ว ก่อนจะเรียนเชิญเจ้าบ่าวเจ้าสาว
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ไวโอลินทั้งสองข้างก็เริ่มบรรเลงเพลงการเข้าพิธีวิวาห์ เสียงของเปียโนก็ดังขึ้น ที่จุดเริ่มต้นของพรมแดงนั่น มีสือเพ่ยหลินและเพื่อนเจ้าบ่าวเดินก้าวเข้ามาพร้อมกัน ทีละก้าวทีละก้าว ก่อนจะเดินมุ่งหน้าตรงมายังด้านหน้าของเวที
หลานเสี่ยวถางยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ก่อนจะส่งข้อความหาสือมูเฉิน “เขาไม่ได้ให้คุณไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวด้วย นั่นก็เป็นเพราะว่ากลัวคุณหล่อกว่า กลัวจะแย่งความสนใจไปจากเขาใช่ไหมคะ?”
ไม่นานนัก สือมูเฉินก็ตอบข้อความของเธอกลับมาว่า “ผมแต่งงานแล้วนะครับ อีกทั้งยังไม่สามารถเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวได้จริง ๆ ภรรยาของผม คุณลืมไปแล้วหรือไงครับ?”
หลานเสี่ยวถางเห็นแล้ว อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงแก้มแดง
สือเพ่ยหลินเดินมาถึงที่ด้านหน้าแล้ว ก่อนจะหันไปโค้งคำนับให้กับทุกคน ด้วยท่าทางหล่อเหลาและสง่าผ่าเผย “ขอบพระคุณผู้อาวุโสและเพื่อน ๆ ทุกท่านนะครับ ที่มาเข้าร่วมพิธีวิวาห์ของผมในวันนี้!”
ในตอนนั้นเอง สายตาของเขาก็กวาดไปรอบ ๆ บริเวณที่จัดงานครั้งหนึ่ง ก่อนจะมองเห็นหลานเสี่ยวถาง
นัยน์ตาของสือมูเฉินอดไม่ได้ที่จะหดตัวเกร็งลง เธอมาได้อย่างไรกันนะ?
เขาจงใจที่จะไม่ส่งการ์ดเชิญไปให้เธอนี่ เดิมก็ไม่ได้คาดหวังเอาไว้ด้วยว่าเธอจะมาร่วมงานแต่งงานของเขาด้วย
ภายในหัวใจของเขามีความคิดความคิดหนึ่งพรั่งพรูออกมาทันที หรือว่า หลานเสี่ยวถางจงใจที่จะมาก่อความวุ่นวาย?
เมื่อมีความคิดนี้ขึ้น จู่ ๆ เขาก็ยังมีความรู้สึกพึงพอใจบางอย่างพรั่งพรูออกมาด้วย แทบจะ เขาแทบจะคาดหวังเอาไว้จริง ๆ เลยว่าเธอจะทำงานแต่งงานของเขาให้ล่มลง……
ในตอนนั้นเอง พิธีกรก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งหนึ่งว่า “ขอเรียนเชิญเจ้าสาวสุดสวยและเพื่อนเจ้าสาวของพวกเราเลยครับผม!”
ประโยคนั้น ทำให้ความคิดของสือเพ่ยหลินถูกดึงกลับมาแล้ว
สายตาของเขาเบนไปมองเฉินจื่อโร่ว
เฉินจื่อโร่วสวมใส่ชุดแต่งงาน เป็นเขาที่เป็นคนส่งคนมาให้ลองชุดและสั่งตัดในภายหลัง มันถูกส่งมาจากต่างประเทศ
ไม่ได้เป็นเพราะว่าเขาใส่ใจเธอมากนักหรอก แต่กลับเป็นเขาสือเพ่ยหลินเองนั้นที่ทำเรื่องเอง เดิมก็เป็นคนที่สมบูรณ์แบบมาโดยตลอดอยู่แล้ว อีกทั้งยังไม่อยากถูกคนอื่นรุมประณามว่าทำอย่างลวก ๆ ด้วย
ดังนั้นแล้ว ในตอนที่เฉินจื่อโร่วสวมใส่สุดแต่งงานที่ประดับประดาอย่างงดงามแล้วเดินเข้ามานั้น รอบข้างก็มีเสียงเซ็งแซ่ดังขึ้นมาในทันที
หลานเสี่ยวถางหันกลับไปมอง ถึงแม้ ถึงแม้ว่าเธอจะเกลียดเฉินจื่อโร่ว แต่ทว่า ถึงเวลานี้ก็อดที่จะไม่ยอมรับไม่ได้แล้วจริง ว่าวันนี้เฉินจื่อโร่วสวยมาก
เดิมเฉินจื่อโร่วก็เป็นคนที่รูปร่างสูง ชุดแต่งงานชุดนี้ก็ยิ่งขับความสูงของเธอมากขึ้นไปอีก อกผายไหล่ผึ่ง ช่วงเอวก็ไม่ได้เป็นชั้น ๆ
ดังนั้นแล้ว เพื่อนเจ้าสาวที่อยู่ทางด้านข้างถึงแม้จะสวยมาก แต่ทว่า ต่อหน้าเธอก็ดับไปได้เช่นกัน
แทบจะเป็นเพราะว่าอยากเห็นสายตาของหลานเสี่ยวถาง ในตอนที่เฉินจื่อโร่วก้าวเดินอยู่ ก็จงใจมองไปที่หลานเสี่ยวถางครั้งหนึ่งโดยเฉพาะ
ดวงตาทั้งสองคู่ประสานกัน ราวกับว่าสายตาได้ปะทะเข้ากันในอากาศอย่างไร้เสียงแล้ว
มุมปากของเฉินจื่อโร่วยกยิ้มขึ้นเบา ๆ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและยั่วยุ
หากเทียบกับความเฉยเมยของหลานเสี่ยวถางแล้ว สือเพ่ยหลินที่อยู่บนเวทีเห็นฉากทุกอย่าง จู่ ๆ ภายในหัวใจก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที
ภายใต้การช่วยพยุงของเพื่อนเจ้าสาว เฉินจื่อโร่วค่อย ๆ ก้าวเดินไปทางด้านหน้าของสือเพ่ยหลิน
ในตอนนั้นเอง พิธีกรก็เอ่ยปากขึ้นมาว่า “พิธีมงคลสมรสของเราเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้วครับ!”
พูดไป หลังจากที่เข้าคว้าไมโครโฟนมาแล้ว ก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ลำดับต่อไป ขอเรียนเชิญคนที่จะมาเป็นสักขีพยานในงานแต่งงานของเรา ขอเรียนเชิญคุณสือมูเฉินขึ้นมาบนเวทีเพื่อคู่แต่งงานใหม่ทั้งสองด้วยครับผม”
หลานเสี่ยวถางได้ยินดังนั้น ก็รีบเงยหน้าขึ้นไปมองทันที
สือมูเฉินก้าวเดินไปด้านหน้า ร่างทั้งร่างสวมใส่ชุดสูทที่ฟ้า ดูหล่อเหล่าเอาการเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของหลานเสี่ยวถางหรือเปล่า เธอมักจะรู้สึกว่าดูเหมือนว่าสือมูเฉินจะมองมาที่เธออยู่ตลอดเวลาเลย ทันใดนั้นเอง ก็ทำให้หัวใจของเธอเต้นระรัวขึ้นมาก
สือมูเฉินเอ่ยคำอวยพรในงานแต่งงานง่าย ๆ เสร็จแล้ว หลังจากนั้น ก็หมุนตัวไปมองสือเพ่ยหลินและเฉินจื่อโร่วพลางกล่าวว่า “เพ่ยหลิน นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป หญิงสาวคนสวยท่านนี้ยกให้นายแล้วล่ะ หวังว่านายจะสามารถดีต่อเธอให้มาก รักเธอเหมือนดั่งในตอนแรก”
เฉินจื่อโร่วได้ยินคำพูดของสือมูเฉิน อดไม่ได้ที่จะเบนสายตาไปมองเขา ไม่รู้ว่าทำไม ในตอนนี้ เธอกลับรู้สึกว่าสือมูเฉินในตอนนี้ดึงดูดสายตาของเธอเป็นอย่างมาก ทำให้เธอก่อเกิดความรู้สึกใจเต้นบางอย่างขึ้นมา กระทั่ง ภายในหัวใจก็แอบมีความหวังว่าจะได้แต่งงานกับสือมูเฉินด้วย
เพียงแต่ ความรู้สึกแบบนี้พึ่งจะก่อเกิดมาเมื่อครู่นี้เท่านั้น สือเพ่ยหลินก็ไปรับแหวนมาจากพิธีกรแล้ว
เฉินจื่อโร่วหลุดออกจากภวังค์ ได้ยินคำกล่าวสาบานของพิธีกร เธอจึงเริ่มเอ่ยใหม่ หลังจากนั้น ยกมือของตนเองขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ฉันยอมรับค่ะ”
“ลำดับต่อไปผมขอประกาศ คุณสือเพ่ยหลินและคุณเฉินจื่อโร่ว ตอนนี้เป็นสามีภรรยากันอย่างเป็นทางการแล้วครับผม” พิธีกรเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “เชิญคู่สามีภรรยาทั้งสองท่านแลกแหวนกันเลยครับ”
สือเพ่ยหลินหยิบแหวนของผู้หญิงตรงกลางขึ้นมา ยกมือของเฉินจื่อโร่วขึ้น ก่อนจะค่อย ๆ บรรจงสวมใส่มันเข้าที่นิ้วนางของเฉินจื่อโร่ว
ตามต่อด้วย เฉินจื่อโร่วเองก็หยิบแหวนของผู้ชายขึ้นมา แล้วสวมใส่เข้าที่มือของเขาเช่นกัน
ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ สมองของสือเพ่ยหลินก็พรั่งพรูภาพฉากหนึ่งขึ้นมาในทันที
ในตอนนั้น เขาตื่นขึ้นมาจากความสับสนงุนงง เรียนเชิญคนจากสำนักงานกิจการพลเรือนมาที่บ้าน เพื่อมาจดทะเบียนสมรสให้เขากับหลานเสี่ยวถาง
หลังจากนั้น เขาก็หยิบแหวนที่เตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วขึ้นมา ก่อนจะให้หลานเสี่ยวถางสวมใส่ให้เขา
ในตอนนั้นเอง หลานเสี่ยวถางรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ใส่อยู่นาน กว่าจะสวมใส่แหวนเอาไว้ที่นิ้วของเขาได้
ตอนนี้ ภาพเหมือนกันฉายซ้ำอีกครั้ง เป็นเพราะว่าเฉินจื่อโร่วแทบจะเป็นเพราะตื่นเต้น นิ้วมือจึงสั่นเทาเล็กน้อย เธอสวมใส่แหวนเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายของเขาอย่างอ่อนโยน
บรรยากาศในตอนนี้เอง เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ สือเพ่ยหลินก็ก่อเกิดความรู้สึกเลอะเลือนลืมวันลืมคืนอย่างสับสน
เสียงของพิธีกรดังขึ้น “เจ้าบ่าวจุมพิตเจ้าสาวได้แล้วครับ”
แทบจะเป็นในช่วงเวลานั้นเอง สือเพ่ยหลินก็รีบคว้าจับเข้าที่ช่วงเอวของเฉินจื่อโร่วไว้ทันที แขกเหรื่อทั้งหมดโห่ร้องอย่างยินดี ก่อนจะกดริมฝีปากจูบเข้าที่ริมฝีปากของเฉินจื่อโร่ว
ร่างในอ้อมกอดอ่อนระทวย บนริมฝีปากรับรู้ได้ถึงสัมผัสวูบวาบและความหอมหวาน สือเพ่ยหลินปิดเปลือกตาทั้งสองข้าง ภายในดวงตาฉายภาพในตอนที่เขาได้เจอหลานเสี่ยวถางในครั้งแรก
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เขากระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ก่อนจะกดจูบด้วยแรงมากขึ้นไปอีก
ทันใดนั้นเอง ผู้คนมากมายที่ด้านล่างต่างส่งเสียงโห่ร้อง แสงไฟในงานต่างก็สว่างไสวไม่หยุด
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานมากเท่าไหร่แล้ว สือเพ่ยหลินจึงค่อย ๆ ปล่อยเฉินจื่อโร่วอย่างเชื่องช้า แผ่นออกของเข้ากระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรงเล็กน้อย สายตาค่อย ๆ เบนกลับไปมองบนใบหน้าของเธอ
ความรู้สึกเดิมในตอนแรกนั้นเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ทีละเล็กทีละน้อย ก่อนจะค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นท่าทีเย็นชา
เฉินจื่อโร่วยังคงจมอยู่ในจุมพิตเมื่อครู่นี้อยู่เลย ใบหน้าและแก้มของเธอแดงซ่าน นัยน์ตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความสุข
เธอมองไปทางด้านล่าง สบตามองสายตาของบิดามารดาที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ อีกทั้งยังมีสายตาริษยาจากหญิงสาววัยรุ่นรอบข้างอีกด้วย
หัวใจของเธอพองโตขึ้นในทันที รู้สึกเพียงแค่ว่าในช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดในชีวิตแล้ว
ในตอนนั้นเอง เพื่อนเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าสาวก็นำเค้กและแชมเปญมาแล้ว ก่อนจะเชิญให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวตัดเค้กและเปิดแชมเปญ
แชมเปญแช่เย็นมีไอเย็นอยู่รอบข้าง ทันใดนั้นเอง สถานที่จัดงานในตอนนี้ก็ราวกับว่าเป็นป้อมปราการในห้วงแห่งความฝัน
ตามต่อด้วย แสงไฟโดยรอบที่ค่อย ๆ หรี่ลงไปมากโข หน้าจอขนาดใหญ่ที่อยู่ทางด้านข้างก็สว่างขึ้นมา เสียงของเปียโน ไวโอลินที่อยู่ทางด้านข้างก็ค่อย ๆ เริ่มบรรเลงขึ้น เตรียมที่จะให้เจ้าสาวเจ้าบ่าวเป็นคนเต้นรำเปิดงาน
สือเพ่ยหลินเดิมไปหยุดอยู่ทางด้านหน้าของเฉินจื่อโร่ว ก่อนจะแสดงท่าทางเชื้อเชิญหนึ่งครั้ง
เฉินจื่อโร่วส่งมือของตนเองไปวางเอาไว้บนมือของเขา ถูกเขาลากดึง ก่อนจะเดินไปตรงลานเต้นที่อยู่ทางด้านข้าง
บนหน้าจอขนาดใหญ่ ฉายภาพกลุ่มแรกออกมา
แต่ทว่าในช่วงเวลานั้นเอง จู่ ๆ รอบข้างก็มีเสียงคนร้องอย่างตกใจหนึ่งครั้ง ชี้ไปทางหน้าจอ ทันใดนั้นเอง ทุกสายตา ก็ไปรวมกันอยู่บนหน้าจอขนาดใหญ่ แม้กระทั่งนักดนตรีมืออาชีพที่อยู่ทางด้านข้าง ก็หันไปมองตามกันไปโดยอัตโนมัติ ล้วนแล้วแต่ลืมเครื่องดนตรีที่อยู่ในมือกันทั้งสิ้น
ทันใดนั้นเอง เสียงดนตรีหยุดชะงักลง บรรยากาศในงานเงียบสงบ
แต่ทว่าหลังจากที่ความเงียบสงบชั่วคราวแบบนี้เกิดขึ้น ตอนนี้ก็มีเสียงดังขึ้นมาในทันที เป็นเสียงครางที่ดังขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว