ตอนที่ 137 ต้องโทษตัวเอง

“ พ่อหนุ่ม จะเปิดกะโหลกศรีษะยังไงโดยไม่ต้องใช้มีดล่ะ? หรือว่าเธอจะใช้พลังวิเศษ หรือพลังปราณเหมือนในหนังกําลังภายใน?” หลีชางไห่ฟังแล้วก็ได้แต่เย้ยหยันออกมา

“ฉลาดเหมือนกันนี่! ไม่โง่อย่างที่คิด..”

หลินหนานตอบโต้พร้อมกับดีดนิ้วเปาะ “คุณเดาได้ถูกเผง ผมจะใช้พลังวิเศษ”

หลีชางไห่คร้านที่จะต่อปากต่อคํากับหลินหนาน และหันไปมองเขาด้วยสายตาที่ทั้งเย้ยหยันและขุ่นเคืองในคราวเดียว

หลินหนานเองก็ไม่ต้องการเสียเวลาเสวนา หรือโต้เถียงกับคนเหล่านี้เช่นกัน เพราะพวกเขาไม่คู่ควร จากนั้น หลินหนานจึงได้หันไปทางเฉินจิ้งซานพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ประธานเฉินครับ รบกวนช่วยอํานวยความสะดวกให้ผมด้วย ผมต้องการที่จะรักษาคนไข้เป็นการเร่งด่วนที่สุดเท่าที่จะทําได้”

“ได้สิ! ฉันจะสั่งให้พยาบาลจัดการโยกย้ายคนไข้ไปที่ห้องผ่าตัดด่วน!” เฉินจิ้งซานพยักหน้า

“ไม่จําเป็น! พาผมไปที่ห้องคนไข้ตอนนี้ได้เลย ไม่ต้องโยกย้ายอะไรทั้งนั้น” หลินหนานส่ายหน้า

จะทําการรักษาที่ห้องไอซียูนี่นะ ไม่ต้องใช้ห้องผ่าตัดด้วย?!

เฉินจิ้งซานถึงกับงุนงงสงสัยเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่คิดที่จะสอบถาม..

“คุณชายหลิน ผมจะพาคุณไปเอง..”

ผู้เฒ่าคู่หันไปบอกกับหลินหนาน เขาเคยเห็นทักษะทางการแพทย์ของหลินหนานมาก่อนหน้าแล้ว และนี่เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้เห็นหลินหนานทําการรักษาคนไข้อาการหนักอย่างใกล้ชิดโอกาสที่หาได้ยากเช่นนี้ เขาจะปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไรกัน?

หลินหนานไม่ปฏิเสธ แต่ก็เพียงแค่พยักหน้าและเดินตามไป..

ทันทีที่ทุกคนเดินกําลังเตรียมตัวที่จะเดินไปที่ห้องไอซียูนั้น หลีชางไห่ก็พูดออกมาด้วยน้ําเสียงเย้ยหยัน

“หึ! เด็กเมื่อวานซืน เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตคนไข้ ไม่ใช่เรื่องที่จะมาทําเล่นๆสนุกๆนะครับท่านประธาน ผมว่าคุณควรจะต้องทําเอกสารให้ผู้ชายคนนี้เซ็นเสียก่อน เพื่อที่โรงพยาบาลจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบ หากคุณไข้เกิดเสียชีวิตขึ้นมา…”

เฉินจิ้งซานมีสีหน้าท่าทางลังเล และดูเหมือนว่าเขาเองก็กําลังครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อยู่เช่นกันเพราะการที่ปล่อยให้คนซึ่งไม่ได้เป็นแพทย์ของโรงพยาบาล เข้ามาทําการรักษาผู้ปวยเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเสี่ยงต่อโรงพยาบาลมาก

“ไม่จําเป็น! ผมจะขอรับผิดชอบเอง หากมีความผิดพลาดเกิดขึ้น!” ผู้เฒ่าคู่เอ่ยขึ้นด้วยน้ําเสียงหนักแน่น

“ตกลง!” เฉินจิ้งซานเอ่ยตอบด้วยสีหน้าท่าทางโล่งอก

หากผู้เฒ่าคู่ยืนยันที่จะเป็นผู้รับผิดชอบด้วยตนเองเช่นนี้ ความเสี่ยงต่างๆของทางโรงพยาบาลก็ลดลงไปมากเลยทีเดียว

หลินหนานจ้องมองหลี่ชางไห่ ก่อนจะหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง พร้อมกับพูดท้าทายออกไปว่า “หมอหลีพวกเรามาเดิมพันกันดีมั้ยล่ะ?”

“ใครอยากจะเดิมพันกับเธอกัน?” หลี่ชางไห่ตอบกลับด้วยท่าทางหยิ่งจองหอง

“ในเมื่อคุณเองเชื่อว่าผมจะไม่สามารถรักษาคนไข้ให้หายได้ พวกเราก็ลองมาเดิมพันกันว่าภายในหนึ่งชั่วโมงนี้ ผมจะสามารถรักษาคนไข้ให้พ้นขีดอันตรายได้หรือไม่? คุณกล้าเดิมพันกับผมมั่ยล่ะ?” หลินหนานท้าทาย

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของทุกคนก็ถึงกับเปลี่ยนไปทันที!

ในที่นี้นอกจากฉินเสี่ยวยู่แล้ว ทุกคนต่างก็เป็นแพทย์ และต่อให้ไม่เป็นแพทย์ก็ต้องรู้ว่าการผ่าตัดสมองนั้น อย่างน้อยๆก็ต้องใช้เวลาเจ็ดหรือแปดชั่วโมงเป็นอย่างต่ํา

แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับท้าทายหลี่ชางไห่ว่า จะรักษาคนไข้อาการโคม่าให้พ้นขีดอันตรายได้ภายในเวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น!

“หึ! แล้วเธอต้องการเดิมพันด้วยอะไร?” หลีชางไห่เอ่ยถามทันที เพราะในความคิดเห็นของเขานั้น นี่เป็นการเดิมพันที่เขาจะมีแต่ชนะกับชนะเท่านั้น!

“ถ้าคุณแพ้ คุณต้องลาออกไป และขอโทษญาติคนไข้จากใจจริง!”

หลินหนานเอ่ยตอบ ในความคิดของเขานั้น หลี่ชางไห่เป็นแพทย์ แต่กลับมีจิตใจที่ชั่วร้ายหากยังปล่อยให้ทํางานที่โรงพยาบาลต่อไป คงต้องสร้างความหายนะให้กับคนไข้อีกหลายๆคนแน่

ฉะนั้น เขาจึงต้องการบีบให้คนเช่นนี้ลาออกไปเสีย ซึ่งจะเป็นผลดีต่อคนไข้คนอื่นๆในวันข้างหน้าด้วย

“ตกลง! แล้วถ้าเธอทําไม่ได้ล่ะ?” หลี่ชางไห่ย้อนถามกลับไปเช่นกัน

“เชิญคุณเสนอมาได้เลยว่า ต้องการให้ผมทําอย่างไร?” หลินหนานตอบกลับยิ้มๆ

หลี่ชางไห่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตอบกลับไปว่า “ถ้าเธอทําไม่ได้ เธอจะต้องคุกเข่าโขกศรีษะขอโทษฉันกับหลานชาย”

หลี่ชางไห้ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้ เพราะหากหลินหนานทําคนไข้เสียชีวิต ตํารวจคงจะไม่ปล่อยให้เขาลอยหน้าลอยตาอยู่แบบนี้เช่นกัน

นี้! ให้แกคุกเข่าโขกศรีษะขอโทษฉันกับหลานชาย เพียงแค่นี้แกก็สูญเสียความเคารพตัวเองจนไม่เหลือแล้ว แกจะต้องมีชีวิตอยู่อย่างเจ็บปวดใจนับจากนี้

“ตกลง!” หลินหนานพยักหน้ารับปากทันที

หลังจากได้ยินคําตอบของหลินหนาน หลี่ชางไห้ก็รีบเดินเข้าจับแขนของเฉินจิ้งซานเขย่า พร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ประธานเฉิน คุณได้ยินแล้วใช่มั้ยครับ? คุณต้องเป็นพยานให้ผมด้วย ป้องกันไม่ให้ผู้ชายคนนี้กลับคําที่หลังได้”

เฉินจิ้งซานถึงกับถอนหายใจเสียงดัง แม้เขาจะรู้สึกเหนื่อยหน่าย แต่ก็ได้แต่พยักหน้ารับปากและได้แต่คิดอยากให้เหตุการณ์วุ่นๆนี้จบลงโดยเร็วเสียที

ภายในห้องไอซียู..

เมื่อได้เห็นสีหน้าเรียบเฉยของหลินหนาน ผู้เฒ่าจึงอดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้ “คุณชายหลิน อา การของคนไข้เป็นยังไงบ้าง?”

“อาการของคนไข้หนักกว่าที่ผมคิดไว้มาก ผมจําเป็นต้องรีบลงมือรักษาทันที ไม่เช่นนั้นคนไข้คงจะไม่รอดแน่!”

หลินหนานจ้องมองร่างของแม่ฉินเสี่ยวยู่ที่กําลังนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง และมีหน้ากากออกซินเจนครอบอยู่ คิ้วทั้งสองข้างของเขาขมวดเข้าหากันแน่น ในระหว่างนั้นก็ได้จับชีพจรของคนไข้เพื่อตรวจอาการไปด้วย

แม่ของฉินเสี่ยวยู่กําลังตกอยู่ในอันตรายจริงๆ เคสคนไข้อาการหนักเช่นนี้ ควรจะต้องได้รับการผ่าตัดไปตั้งนานแล้ว แต่หลี่ชางไห่กลับถึงเวลามาจนถึงตอนนี้ เพียงเพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวของตนเอง

หากหลินหนานไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว และต่อให้หลี่ชางไห่ยอมที่จะทําการผ่าตัดในตอนนี้ ผลที่จะตามมาก็นับว่ามีความเสี่ยงที่สูงมาก

“อาการหนักขนาดนี้ ฉันว่าคงต้องขอให้ประธานเฉินโยกย้ายคนไข้ไปที่ห้องผ่าตัดแล้วล่ะ น่าจะเป็นการปลอดภัยกว่า…”

ผู้เฒ่ากู่ร้องบอกหลินหนาน และกําลังจะเดินออกไปหาเฉินจิ้งซาน เพื่อขอให้เขาช่วยทําการโยกย้ายคนไข้ไปห้องผ่าตัด แต่หลินหนานกลับส่ายหน้าปฏิเสธ พร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ตอนนี้คนไข้อาการสาหัสมาก และไม่น่าจะทนได้อีกนานนัก อาวุโสช่วยเฝ้าประตูให้ผมที่ อย่าให้ใครเข้ามารบกวนการรักษาของผมได้โดยเด็ดขาด!”

“คุณชายหลิน แน่ใจนะว่าจะรักษาที่ห้องนี้จริงๆ? ภายในห้องนี้มีเครื่องมือแพทย์ไม่ครบครันเหมือนห้องผ่าตัดนะ!” ผู้เฒ่าถามย้ําเพื่อความมั่นใจ สีหน้าของเขาเวลานี้ทั้งประหลาดใจ และกังวลใจระคนกัน

หลินหนานโบกมือไปมา พร้อมตอบกลับไปว่า “ไม่จําเป็นต้องใช้เครื่องมืออะไรมากมายเพียงแค่เข็มเงินพวกนี้ก็เพียงพอแล้ว!”

ระหว่างที่พูด หลินหนานก็ได้หยิบเข็มนภาที่พกติดตัวไว้ตลอดเวลาออกมา เขาจัดการถฝ่ามือเข้าด้วยกัน ก่อนจะเริ่มใช้พลังปราณในร่างทําให้เข็มร้อนขึ้น

“นี่เธอจะรักษาคนไข้ด้วยการฝังเข็มงั้นรึ? แต่อาการเกี่ยวกับสมองแบบนี้ การฝังเข็มจะได้ผลเหรอ?”

เป็นเรื่องยากที่เชื่อได้ว่า เพียงแค่การฝังเข็ม จะสามารถรักษาอาการบาดเจ็บ ซึ่งเกิดจากสมองถูกกระทบกระเทือนรุนแรงเช่นนี้ได้

แต่หลินหนานกลับนิ่งเงียบไม่ตอบ เพราะเวลานี้ เขาเองก็กําลังจดจ่ออยู่กับการรักษาผู้ป่วยแล้ว

หลังจากเข็มเริ่มร้อน แววตาของหลินหนานก็เป็นประกายมุ่งมั่นขึ้นมาทันที จากนั้น เข็มนภาซึ่งทําจากอุกกาบาตเหล็ก ก็เจาะเข้าไปที่จุดปายยุ่ยกลางศรีษะของผู้ฉินเสี่ยวยู่อย่างรวดเร็ว!

หลังจากเข็มเล่มแรกถูกฝังลงไป เข็มเล่มอื่นๆก็ถูกฝังลงไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ความเร็วในการฝังเข็มของหลินหนานนั้น เหนือความคาดคิดของผู้เฒ่าคู่เป็นอย่างมาก

และเวลานี้ ผู้เฒ่าคู่ก็กําลังอยู่ในอาการตกตะลึง เพราะหลินหนานไม่เพียงทําการฝังเข็มได้รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ แต่ยังแม่นยําอย่างน่าเหลือเชื่ออีกด้วย!

เหลือเชื่อ!

เหลือเชื่อมากจริงๆ!

ในเวลานั้น ทั้งแพทย์และพยาบาลต่างก็กลับจากรับประทานอาหารเที่ยงแล้ว และทุกคนก็พร้อมที่จะกลับไปทํางานตามหน้าที่ของตนเองดังเดิม แต่เมื่อเห็นเฉินจิ้งซานยืนอยู่ ทุกคนก็ได้แต่หยุดมอง และกระซิบกระซาบกันไม่หยุด

“ท่านประธานมาทําอะไรที่หน้าห้องไอซียู่?”

“นั่นน่ะสิ! มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันแน่ ฉันต้องย้ายคนไข้กลับไปที่วอร์ดทั่วไปด้วยสิ นี่ถ้ายังเคลื่อนย้ายไม่ได้ สงสัยฉันคงต้องเลิกงานล่าช้าแน่”

หลังจากที่ได้ยินแพทย์และพยาบาลที่พากันมามุงดู พร้อมกับซุบซิบกันนั้น หลีชางไห้ก็ได้กระแอมออกมา และหันไปดเสียงดัง

“พวกคุณส่งเสียงหนวกหูอะไรกัน? ไม่เห็นหรือยังไงว่าประธานเฉินอยู่ตรงนั้น? ยังไม่รีบไปทํางานกันอีก…”

จากนั้น หลีชางไห่ก็หันกลับไปจ้องมองประตูห้องไอซียูที่ปิดอยู่ พร้อมกับเปรยออกมาว่า “หึ! ครั้งนี้ประธานเฉินตัดสินใจผิดไปมากจริงๆ นี่ยิ่งทําให้การผ่าตัดล่าช้ามากขึ้นไปอีก”

เวลานี้ หลินหนานกับผู้เฒ่าคู่ต่างก็เข้าไปในห้องไอซียูนานเกือบจะชั่วโมงแล้ว เหลืออีกเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ก็จะครบเวลาที่เดิมพันกันไว้แล้ว หากครบหนึ่งชั่วโมงเมื่อไหร่ หลินหนานจะต้องคุกเข่าต่อหน้าเขาและหลานชาย พร้อมกับโขกศรีษะขอโทษ และยอมรับความผิด

และเวลานี้ ริมฝีปากของหลี่ชางไห่ก็แสยะยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน

สมน้ําหน้า! ถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษตัวแกเอง ใครใช้ให้แกขุดหลุมพราง แล้วกระโดดลงไปเองแบบนั้นล่ะ?

จุดปายฮุย คือจุดฝังเข็มบริเวณกลางกระหม่อม อยู่เหนือจุดกึ่งกลางแนวชายผมขอบหน้าผาก 5 ชั้น