ตอนที่ 114 ผู้ชายน่ะค่อยๆ หาใหม่ก็ได้

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 114 ผู้ชายน่ะค่อยๆ หาใหม่ก็ได้

ตอนที่ 114 ผู้ชายน่ะค่อยๆ หาใหม่ก็ได้

หลังจากผมของพี่สาวจางถูกเป่าให้แห้ง หล่อนก็มองในกระจกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อเห็นว่าตนเปลี่ยนไปเป็นคนโก้เก๋ทันสมัยเหมือนชาวตะวันตก ใบหน้าของหล่อนพลันประดับด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข

“โอ๊ย วัน ๆ ฉันอยู่แต่ในโรงงาน ผมก็ถูกยัดอยู่ในหมวกทำงาน ลืมไปเลยว่าตัวเองเป็นผู้หญิง ไม่คิดว่าอายุเท่านี้แล้วจะยังสวยขนาดนี้”

“ชอบไหมคะ?” หลินเซี่ยเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

พี่สาวจางเผยรอยยิ้มแห่งความสุขเสียจนเต็มหน้า “ชอบสิ ฉันชอบมาก ๆ เลย”

“พี่สาวจางนั่งลงก่อน ฉันจะกันคิ้วให้ค่ะ คิ้วของคุณหนากว่าที่ควรเป็น”

หลินเซี่ยกดพี่สาวจางซึ่งกำลังมองกระจกซ้ำ ๆ ให้นั่งลงบนเก้าอี้เพื่อกันคิ้วให้หล่อน

หลังจากได้รับการกันคิ้ว ใบหน้าของหล่อนก็ดูงดงามหมดจด และสายตาที่พี่สาวจางมองหลินเซี่ยนั้นเต็มไปด้วยความชื่นชมและความซาบซึ้ง “เสี่ยวหลิน ทำไมเธอถึงเก่งขนาดนี้?”

“ฉันเพียงแค่ชอบเรื่องพวกนี้ก็เท่านั้น”

หลินเซี่ยยกยิ้มพลางเอ่ย “พี่สาวจาง คุณต้องมีเพื่อนที่ทำงานเยอะมากแน่ ๆ เลย พรุ่งนี้เมื่อไปถึงโรงละคร ถ้าคุณบังเอิญไปเจอคนรู้จักจากโรงงานอื่นก็ช่วยโฆษณาให้ฉันบ้างนะคะ ในอนาคตถ้ามีคนที่มาทำผมจากการแนะนำของคุณ ฉันจะลดราคาให้พวกเขา”

โรงงานยานยนต์มีพนักงานหญิงไม่มากนัก แต่โรงงานสิ่งทอและโรงงานเกี่ยวกับอาหารโดยพื้นฐานแล้วพนักงานล้วนเป็นผู้หญิง

พี่สาวจางมักมีโอกาสได้พบปะกับสหภาพแรงงาน ย่อมต้องมีคนรู้จักในโรงงานอื่น

“ไม่มีปัญหา”

พี่สาวจางไม่ได้รีบกลับบ้าน หล่อนที่เพิ่งดัดผมตามสมัยนิยมเลือกเดินผ่านลานบ้านในเขตอาศัยแทน เมื่อพบใครก็จะสั่นศีรษะให้ดูผมและพูดคุยด้วยสองสามคำ โดยพื้นฐานแล้วหล่อนเป็นคนเสียงดัง และเมื่อหล่อนอารมณ์ดีก็จะยิ่งเสียงดังขึ้น

ในที่สุด ลูกชายของหล่อนซึ่งเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นก็อดรนทนไม่ไหวกับการเรียกร้องความสนใจของแม่ จึงตะโกนออกไปนอกหน้าต่างสองครั้ง หล่อนจึงยอมกลับบ้าน

ท้องฟ้าในตอนนี้มืดลงแล้ว พวกเฉินเจียเหอยังไม่กลับมา พวกเขาคงรอจนไปกินมื้อเย็นกันแล้ว

เมื่อหลินเซี่ยทำความสะอาดบ้านเสร็จ จึงนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้าเพื่อดูโทรทัศน์

พี่สาวหลิวบอกว่าจะทำอาหารเผื่อเธอ ดังนั้นหลินเซี่ยจึงไม่ทำอาหาร เพียงรออาหารที่ปรุงสำเร็จ

เพียงไม่นานนัก

พี่สาวหลิวก็มาเคาะประตูพร้อมกับจับฉ่ายในมือ

หลังจากยุ่งมาทั้งวัน เธอจึงหิวมาก ทันทีที่พี่สาวหลิวกลับไป หลินเซี่ยก็เข้าไปหยิบตะเกียบจากในครัวเพื่อกินข้าวทันที

กินไปได้ไม่กี่คำ หวังซิ่วฟางก็นำอาหารมาแบ่งปันให้เธออีก

หลินเซี่ยมองไปยังหวังซิ่วฟางซึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตูพร้อมกับซาลาเปาจานใหญ่แล้วกล่าวว่า “พี่สาวหวัง คุณ…หู่จือและเฉินเจียเหอไม่อยู่ค่ะ”

เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย หวังซิ่วฟางพลันกระแอมไอเล็กน้อยอย่างเก้อเขิน “ฉันไม่ได้นำอาหารมาให้พวกเขาสองคน ฉันตั้งใจนำมาให้เธอน่ะ”

หล่อนคอยมาส่งอาหารดี ๆ ให้กับพ่อลูกใจร้ายคู่นั้นอยู่เป็นปี ทว่าไม่อาจมัดใจพวกเขาได้เลยแม้แต่น้อย

กลับเป็นหลินเซี่ยที่ไม่เพียงช่วยแต่งหน้า แต่ยังช่วยตัดผมให้หล่อนด้วย เมื่อมองดูใบหน้างดงามที่เพิ่งถูกเผยให้เห็นของตัวเองในกระจก หล่อนก็ยิ่งรู้สึกมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าหลินเซี่ยคือนารีขี่ม้าขาว และหลังจากนี้ไปจะต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับหญิงสาวให้ได้เพื่อที่หล่อนจะได้สวยวันสวยคืน

ส่วนเฉินเจียเหอนั้น…

ผู้ชายสองขามีอยู่มากมาย หล่อนค่อย ๆ แสวงหาใหม่ก็ได้

หลินเซี่ยประหลาดใจ “ให้ฉันเหรอคะ?”

หวังซิ่วฟางยังคงมีท่าทางไม่สบอารมณ์หลงเหลืออยู่บ้าง หล่อนพยักหน้า “ใช่ ฉันเห็นว่าเธอยุ่งมาก เดาว่าคงไม่มีเวลาทำอาหาร ฉันทำซาลาเปาแล้วก็เลยนำมาแบ่งให้ เธออย่าได้รังเกียจเลย”

“ไม่รังเกียจเลยค่ะ รีบเข้ามาก่อนสิคะ”

“ไม่ล่ะ ซาลาเปานี่เพิ่งทำเสร็จ ฉันจะไปกินกับเสี่ยวฮวา เธอรับไปเถอะ”

“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นรอสักครู่ ฉันจะเอาจานมาคืน” หลินเซี่ยถือซาลาเปาเข้าไปในบ้านแล้วรีบออกมาอีกครั้งพร้อมจานเปล่า และขอบคุณหวังซิ่วฟางอีกครั้ง “ขอบคุณนะคะ”

“ไม่เป็นไรหรอก กับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้… อย่าถือสาฉันเลยนะ”

หลินเซี่ยยกยิ้มพลางเอ่ย “ก่อนหน้านี้มีเรื่องอะไรกันคะ? ฉันลืมไปแล้ว”

“งั้นฉันไปก่อนนะ”

ตรงทางเข้าอาคาร เฉินเจียเหอซึ่งจูงมือหู่จือและตามมาด้วยถังจวิ้นเฟิงก็บังเอิญพบกับหวังซิ่วฟาง

หู่จือมองจานในมือของหวังซิ่วฟาง ดวงตาของเขาเป็นประกาย และเอ่ยถามเสียงใสว่า “น้าซิ่วฟาง นำอาหารอร่อย ๆ มาให้ผมเหรอครับ?”

“ไม่ได้เอามาให้เธอหรอก”

น้ำเสียงของหวังซิ่วฟางค่อนข้างแข็งกร้าว “ฉันเอามาให้น้าเซี่ยเซี่ยของเธอ ไม่มีส่วนของพวกคุณหรอก”

หู่จือ “???”

หวังซิ่วฟางพูดจบก็เดินผ่านพวกเขาไปชั้นล่าง

“พี่สาวคนนี้มีความสามารถในการทำใจได้ค่อนข้างรวดเร็วทีเดียว” ถังจวิ้นเฟิงเอ่ยก่อนแสดงทักษะวิชาชีพของเขา โดยเสริมว่า “อาหารที่นำมาให้ศัตรูหัวใจนี่เป็นไปได้ไหมว่าจะมีการใส่ยาอะไรลงไปจนทำให้พี่สะใภ้ท้องเสีย วันพรุ่งนี้จะได้ไปร่วมแข่งขันไม่ไหวอะไรทำนองนั้น“

เฉินเจียเหอ “!!!”

เมื่อทั้งสามเข้าไปในบ้าน ก็พบว่าตรงหน้าของหลินเซี่ยมีชามจับฉ่ายขนาดใหญ่และซาลาเปาจานหนึ่ง ซึ่งเธอกำลังกินอย่างมีความสุข

“กลับมาแล้วเหรอคะ?”

หลินเซี่ยเห็นพวกเขากลับมาก็รีบลุกขึ้นยืน ก่อนจะพุ่งเข้าใส่หู่จือทันที

“หู่จือ น้าคิดถึงเธอมาก กินข้าวหรือยัง?”

“กินแล้วครับ แม่ของเสี่ยวเป่าฝากของอร่อยมาให้คุณน้าด้วย” หูจือหยิบกล่องอาหารกลางวันจากมือของถังจวิ้นเฟิงมาวางลงบนโต๊ะ

เฉินเจียเหอกล่าวว่า “นี่คือข้าวและสามชั้นน้ำแดงที่พี่สะใภ้ฟางฝากมาให้คุณ”

หลินเซี่ยมองโต๊ะที่เต็มไปด้วยของอร่อย ความสุขพลันฉายชัดไปทั่วทั้งใบหน้า “ทำไมวันนี้ถึงมีแต่คนนำอาหารมาให้ฉันนะ? พี่สาวหลิวก็ทำจับฉ่ายเผื่อฉัน พี่สาวหวังเองก็นำซาลาเปามาให้ไม่น้อย ฉันจะต้องกินจนพุงกางแน่”

นับตั้งแต่แต่งงานกับเฉินเจียเหอ วันนี้น่าจะเป็นวันที่เธอมีความสุขที่สุด

หลังจากทุบตีหลิวจื้อหมิงเพื่อระบายความโกรธ โจวลี่หรงก็เป็นกำลังใจให้เธอพยายามอย่างหนัก ร้านรวงก็กลับมาอยู่ในมือของเธอ แถมระหว่างเธอกับหลินจินซานก็เริ่มคุ้นเคยกัน

หลังช่วยทำผมให้พวกพี่สาวก็ได้รับคำชมเชย หวังซิ่วฟางก็ไม่นึกเกลียดชังเธออีกต่อไป กระทั่งคนรักของสหายของเฉินเจียเหอก็ฝากสามชั้นตุ๋นน้ำแดงมาให้เธอ

หญิงสาวพลันรู้สึกว่าถูกรายล้อมไปด้วยความรัก

“เก็บซาลาเปาไว้กินพรุ่งนี้ แล้วกินที่เหลือในชามให้หมดก่อนเถอะ จากนั้นก็ลองชิมสามชั้นตุ๋นน้ำแดงดู”

เฉินเจียเหอพูดพร้อมกับนำซาลาเปาไปเก็บในครัว

มุมปากของถังจวิ้นเฟิงกระตุกเมื่อเห็นเฉินเจียเหอหยิบจานซาลาเปาออกไป

เขาก็แค่พูดไปเรื่อย เจ้าทึ่มนี่กลับคิดเป็นจริงเป็นจังไปเสียได้

“พี่สะใภ้ คุณตัดผมเป็นด้วยเหรอ? ดูผมยาว ๆ ของผมสิ ช่วยตัดผมให้ผมด้วยสิครับ” ผมแสกของถังจวิ้นเฟิงยาวมากจนแทบจะปิดตาของเขา อีกทั้งเมื่อไม่กี่วันก่อนผู้บังคับบัญชาก็บอกให้เขาใส่ใจเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเอง แต่ในช่วงเดือนมกราคมร้านตัดผมยังไม่เปิด เขาที่ค่อนข้างใส่ใจกับภาพลักษณ์จึงไม่กล้าตัดผมสุ่มสี่สุ่มห้า

วันนี้ฟ้ามืดแล้ว หลอดไฟก็สลัว เธอจึงกลัวว่าจะตัดได้ไม่ดี และเธอเองก็เหนื่อยมากจนเพียงแค่เห็นศีรษะคนก็ปวดหัวแล้ว

“รอตอนที่ฉันเปิดร้านแล้วกัน วันที่ 2 กุมภาพันธ์จะตัดผมให้คุณนะ เป็นวันเทศกาลมังกรเชิดเศียร(1)พอดี ตัดผมวันนั้น จะทำให้หน้าที่การงานและความรักเก็บเกี่ยวได้เท่าทวี”

(1)วันขึ้น 2 ค่ำเดือน 2 ตามปฏิทินจันทรคติจีนของทุกปี เป็นเวลาของเทศกาลขอฝนของจีน เรียกว่า “เทศกาลมังกรเชิดเศียร”

ถังจวิ้นเฟิงพยักหน้ารับ “ครับ อย่างนั้นรอวันมังกรเชิดเศียรแล้วค่อยตัดผม…จริงสิ ผมมานี่ก็เพื่อดูโทรทัศน์สีของพวกคุณ”

ถังจวิ้นเฟิงเปิดโทรทัศน์ ด่อนจะเริ่มลองหมุนเสาอากาศเพื่อดูว่ามีกี่สถานี

“โทรทัศน์สีขนาดใหญ่ 21 นิ้วนี่ดูดีทีเดียว เหล่าเซี่ยตอนนี้ก้าวหน้ารุ่งเรืองจริง ๆ เลิกขายอาหารทะเลก็มาขายเครื่องใช้ไฟฟ้า”

เมื่อได้ยินถังจวิ้นเฟิงพึมพำถึงเหล่าเซี่ย หลินเซี่ยจึงเอ่ยกับเฉินเจียเหอว่า “คุณรู้ไหมว่าคนที่มาส่งเครื่องใช้ไฟฟ้าในวันนี้คือใคร”

“ใคร?” เฉินเจียเหอมองเธอ

“ก็สองคนที่บุกรุกร้านฉันน่ะสิ ที่แท้ก็เพื่อคนแซ่เซี่ยสหายคุณที่เป็นเจ้าของห้องเต้นรำที่แท้จริงนั่นหรอกเหรอ?”

เฉินเจียเหอก็ตกใจเช่นกันเมื่อได้ยินข่าวนี้ “ผมไม่รู้เรื่องนี้จริง ๆ”

เฉินเจียเหอมองไปยังถังจวิ้นเฟิงที่กำลังเล่นซนกับโทรทัศน์สี แล้วเอ่ยถาม “นายรู้เรื่องที่เหล่าเซี่ยคิดเปิดห้องเต้นรำในไห่เฉิงไหม?”

สีหน้าของถังจวิ้นเฟิงที่กำลังเปลี่ยนช่องโทรทัศน์พลันแปรเปลี่ยนเป็นไม่พอใจ “ฉันจะไปรู้ได้ยังไงเล่า? ไม่ใช่ว่าคนที่เขาติดต่อด้วยคือนายหรอกเหรอ? เสื้อแจ็คเก็ตมียี่ห้อก็ซื้อให้แค่นายกับหู่จือ ในใจของเขาไม่มีที่ว่างให้ฉันด้วยซ้ำ แล้วฉันจะไปรู้เรื่องใหญ่ขนาดนี้มาก่อนได้อย่างไร?”

ถังจวิ้นเฟิงทิ้งตัวลงบนเก้าอี้แล้วบ่นว่า “เขาขายอะไรก็ขายได้ไม่ดี จึงต้องมาเปิดห้องเต้นรำที่นี่ ทั้งยังใกล้สถานีรถไฟขนาดนั้น เห็นได้ว่านี่เป็นการกดดันให้พวกเราทำงานหนักชัดๆ”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ดวงเปิดแล้วสินะเซี่ยเซี่ย มีแต่สิ่งดีๆ กลับมาเต็มเลย

ไหหม่า(海馬)