ตอนที่ 115 พ่อกับแม่ควรนอนด้วยกัน

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 115 พ่อกับแม่ควรนอนด้วยกัน

ตอนที่ 115 พ่อกับแม่ควรนอนด้วยกัน

ครั้นถังจวิ้นเฟิงบ่น เฉินเจียเหอจึงเอ่ยแก้ต่างให้เหล่าเซี่ย “อย่ากังวลไปเลย เหล่าเซี่ยทำธุรกิจอย่างสัตย์ซื่อ ย่อมไม่ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยในบริเวณใกล้เคียง”

“ใครจะรู้ล่ะ ถ้าในอนาคตเขาฝ่าฝืนกฎหมาย ฉันไม่ให้อภัยเขาแน่”

“อาจวิ้นเฟิง เปิดการ์ตูนให้ผมหน่อยสิครับ”

“ได้ เดี๋ยวอาหาให้”

ถังจวิ้นเฟิงหมุนหาอยู่นาน ในที่สุดก็เปิดเจอสถานีที่ออกอากาศการ์ตูนเรื่องหูลูหวา(1)

(1)《葫芦娃》หูลูหวา หรือ Hulu Brothers เป็นตำนานของเด็กที่เกิดจากน้ำเต้าวิเศษเจ็ดคนที่ถูกเลี้ยงดูโดยชายชราเพื่อมาปราบวิญญาณร้าย

หู่จือเห็นตัวละครฮั่วหวาที่รู้สึกใกล้ชิดคุ้นเคยบนหน้าจอโทรทัศน์ก็ตะโกนอย่างตื่นเต้นว่า “ดูนี่สิครับ ดูนี่สิ”

ถังจวิ้นเฟิงเปิดการ์ตูนให้หู่จือแล้วเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อน อีกสักพักนายก็ลองโทรหาเหล่าเซี่ยอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าเจ้าของห้องเต้นรำนั่นคือเขาหรือเปล่า”

ถังจวิ้นเฟิงค่อนข้างกังวล ที่สถานีรถไฟวุ่นวายมากพอแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนักล้วงกระเป๋า ไหนจะพวกค้ามนุษย์อีก พวกเขาต้องจับตามองที่นั่นตลอดทั้งวันโดยมาอาจกระพริบตาได้เสียด้วยซ้ำ

การเปิดห้องเต้นรำใกล้สถานีรถไฟซึ่งมีทั้งคนดีคนชั่วปะปนกันก็รังแต่จะทำให้ยิ่งวุ่นวายเข้าไปใหญ่

“อย่าโมโหไปเลย เขาทำธุรกิจอย่างมีขอบเขตน่า”

ถังจวิ้นเฟิงพลันเอ่ยเสียงเย็น “นายเข้าข้างเขาสินะ เห็นทีคงโดนกระสุนเคลือบน้ำตาลของเขาจูงจมูกไปแล้ว”

หลังจากจ้องมองเฉินเจียเหอ เขาก็ปรับสีหน้าให้กลายเป็นยิ้มแย้มแล้วกันไปหาหลินเซี่ยและหู่จือพร้อมโบกมือให้พวกเขา “พี่สะใภ้ หู่จือ แล้วพบกันใหม่”

“แล้วพบกันค่ะ คุณตำรวจถัง”

หลังจากที่ถังจวิ้นเฟิงกลับไป หู่จือก็นั่งดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟา หลินเซี่ยกำลังจะไปล้างจาน แต่เฉิยเจียเหอผลักเธอให้เข้าห้องไปพักผ่อนและเป็นฝ่ายไปล้างจานเอง

หลินเซี่ยกลับไปยังห้องนอน แล้วเริ่มจัดกระเป๋าเครื่องสำอาง หยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ รวมถึงรองเท้าคู่ใหม่ที่เธอจะใส่ในวันพรุ่งนี้ จากนั้นก็ร้อยเชือกรองเท้าผ้าใบสีขาว

“เหนื่อยไหม?”

เฉินเจียเหอเข้ามาและนั่งยองลง ก่อนจะหยิบรองเท้าอีกข้างมาร้อยเชือก มองเธอพลางเอ่ยถามด้วยความห่วงใย

หลินเซี่ยเห็นเขายื่นมือเข้ามาช่วยร้อยเชือกรองเท้าให้ ดวงตาของเธอพลันเป็นประกายและเอ่ยเสียงหวาน “ไม่เหนื่อยค่ะ การทำผมให้คนอื่นเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันมีความสุขที่สุด ไม่เพียงแต่ไม่เหนื่อย แต่ยังสนุกมากด้วย”

วันนี้เธอรู้สึกสมหวังอย่างยิ่งที่ได้เห็นพวกพี่สาวดูสวยและน่ารักมากขึ้น

“จริงสิ เมื่อเช้าหลิวจื้อหมิงผู้ชายสารเลวนั่นมาก่อกวนฉันอีกแล้ว”

หลินเซี่ยรู้สึกว่าเธอควรบอกเรื่องนี้กับเขา และเป็นการดีกว่าที่เธอจะบอกเขาด้วยตัวเอง ดีกว่าให้เขาได้ยินจากปากของคนอื่นแล้วเข้าใจผิด

มือของเฉินเจียเหอซึ่งกำลังร้อยเชือกรองเท้าชะงักลง อีกทั้งสีหน้าของเขาก็พลันมืดครึ้มลงทันที “เขาแส่มาหาเรื่องอีกแล้วเหรอ?”

“ฉันเดาว่าคงเป็นพวกเสิ่นเสี่ยวเหมยที่สร้างเรื่องวุ่นวายอีกครั้ง หลิวจื้อหมิงถึงได้บอกว่าอยากจะพาฉันหนีไป”

หลินเซี่ยมองไปยังใบหน้ามืดครึ้มของเฉินเจียเหอแล้วยกยิ้มอย่างภูมิใจ “แต่ฉันฟาดหัวเขาไปแล้วล่ะ”

ใบหน้าหล่อเหลาของเฉินเจียเหอเปลี่ยนจากขุ่นมัวเป็นสดใสขึ้นในทันใด เขายกมือขึ้นแตะมือเธอ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม

“ทำได้ดี”

เขายิ้มให้ภรรยา แต่หากมองลึกลงใบในแววตานั้นกลับซ่อนไว้ซึ่งอารมณ์ที่ไม่อาจคาดเดา

ไอ้สารเลว ยั่วยุหาเรื่องล้ำเส้นเขาครั้งแล้วครั้งเล่า

คิดว่าเขาเป็นลูกพลับนิ่มหรืออย่างไร?

“…วันนี้แม่ของคุณก็มาที่นี่เหมือนกัน”

เสียงของหลินเซี่ยดังก้องอยู่ในหูของเขาอีกครั้ง

“หล่อนมาทำอะไรที่นี่? ไม่ได้ทำให้คุณลำบากใช่ไหม?” เฉินเจียเหอมองด้วยความตื่นตระหนกพร้อมเอ่ยถาม

หลินเซี่ยสั่นศีรษะ “เปล่าค่ะ หล่อนใจดีกว่าเดิมมาก น่าจะเข้ามาเพื่อสอบถามเกี่ยวกับการผ่าตัดน้องชายของคุณ แล้วหล่อนก็บอกให้ฉันพยายามอย่างหนัก ให้เราค่อย ๆ ปรับตัวกันไป โดยรวมแล้วฉันรู้สึกว่าท่าทีของหล่อนเปลี่ยนไป”

เฉินเจียเหอถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ไม่ได้ทำให้คุณลำบากก็ดีแล้ว”

เขาจัดการร้อยเชือกรองเท้าอย่างดี ก่อนจะวางรองเท้าทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน แล้วดึงเธอขึ้นไปนั่งที่ขอบเตียงและเอ่ยเสียงนุ่ม “ผมมีข่าวดีมาบอก แม่ยายและหลินเยี่ยนจะขึ้นรถไฟบ่ายวันพรุ่งนี้และจะมาถึงมะรืนตอนบ่าย”

“เหรอคะ? เรื่องที่บ้านเกิดเรียบร้อยหมดแล้วเหรอคะ?” หลินเซี่ยรีบถาม

“เรียบร้อยแล้วครับ ที่เหลือให้ตำรวจจัดการ พวกเขาจะแจ้งให้เราทราบหากมีข่าวอะไรเพิ่มเติม”

หลินเซี่ยพยักหน้า “อืม งั้นเราก็รอฟังข่าวกัน”

มีเพียงการรอให้ตำรวจแจ้งผลการสอบสวนและเปิดเผยความจริงถึงเรื่องการสลับตัวเด็กในปีนั้นเท่านั้น เธอจึงจะสามารถเชิดหน้าขึ้นในฐานะมนุษย์คนหนึ่งในเมืองไห่เฉิงได้จริง ๆ เสียที

เฉินเจียเหอกล่าวเสริมว่า “น้าชายบอกว่าเขาต้องการให้คุณจดสิทธิบัตรเครื่องจักรทางการเกษตรหลายเครื่องที่คุณเป็นคนประดิษฐ์คิดค้น แล้วมอบอำนาจในการผลิตให้กับโรงงานของพวกเขา”

หลินเซี่ยได้ยินก็ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ช่างเถอะค่ะ ไม่ต้องยื่นคำร้องขอจดหรอก ให้พวกเขาผลิตได้เลย ในอนาคตหากโรงงานอื่น ๆ จะทำตามบ้างก็สามารถทำได้ ของพวกนั้นทำได้ง่าย การยื่นจดสิทธิบัตรแบบอรรถประโยชน์เกรงว่าจะไม่ได้รับการอนุมัติ หากในอนาคตข้างหน้าฉันคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากขึ้นค่อยขอจดสิทธิบัตรก็ได้”

เครื่องจักรทางการเกษตรพวกนั้นเธอไม่ได้เป็นคนคิดค้นขึ้นมาเอง หากเธอจะฉวยโอกาสยื่นจดสิทธิบัตรเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวคงเป็นเรื่องน่าละอาย

อีกทั้ง เครื่องหว่านเมล็ดอัตโนมัติที่ผลิตโดยโรงงานของพวกโจวเจี้ยนกั๋วนั้นมีโครงสร้างที่เรียบง่าย ซึ่งไม่เพียงพอต่อการยื่นขอรับสิทธิบัตรจริง ๆ

เครื่องจักรอื่นที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก็เป็นการคิดค้นของคนอื่นทั้งสิ้น ไม่มีเกี่ยวอะไรกับเธอ

การได้เกิดใหม่ก็นับเป็นพรจากสวรรค์แล้ว

หากแต่การประดิษฐ์หรือการสร้างสรรค์ใด ๆ ล้วนเป็นการอนุมานจากกรณีหนึ่ง เธอย่อมสามารถประดิษฐ์เครื่องจักรทางการเกษตรอื่น ๆ โดยอิงจากรากฐานที่มีอยู่ของอุปกรณ์เหล่านั้นที่เธอเคยเห็นในชาติก่อนได้

เมื่อถึงจุดนี้เอง เธอพลันมองทะลุเครื่องหว่านเมล็ดข้าวโพดไปถึงเครื่องใส่ปุ๋ยในลักษณะนั้น

รอให้ช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายนี้ผันผ่านไปก่อน เธอจะครุ่นคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนพร้อมวาดพิมพ์เขียวออกมา และหากเป็นไปได้ เธอจะให้เฉิยเจียเหอช่วยปรับปรุงแก้ไข รวมถึงตรวจสอบให้ แล้วจึงค่อยยื่นจดสิทธิบัตร

ในตอนที่ทั้งคู่นั่งพูดคุยกันอยู่บนขอบเตียง หู่จือก็เดินหาวเข้ามา

“พ่อครับ น้าเซี่ยเซี่ย ผมง่วงแล้ว”

เฉินเจียเหอมองไปยังลูกชายของเขาแล้วพูดออกมาโดยไม่คิด “หู่จือ ไปนอนที่ห้องของตัวเองไป”

หู่จือร้องโอ้ออกมาเบา ๆ ก่อนจะกลับไปยังห้องของตัวเอง

หลินเซี่ยรีบเอ่ยรั้งหู่จือไว้ “ไม่เป็นไร เธอนอนกับพ่อเธอ น้าจะกลับห้องแล้ว”

หู่จือมองพวกเขาด้วยความสับสนและถามว่า “แต่พี่เสี่ยวเป่าบอกว่าแม่กับพ่อควรนอนด้วยกัน พี่เสี่ยวเป่าเองก็นอนคนเดียว”

ก่อนหน้านี้หู่จือยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวนัก พวกเขาจึงปล่อยให้เขานอนทุกทีที่เขาเอ่ยปากขอ แต่เมื่อไปเที่ยวบ้านของเสี่ยวเป่าและเห็นพ่อแม่ของเพื่อนนอนด้วยกัน ไหนจะสิ่งที่ได้รู้มาจากเสี่ยวเป่าอีก ในที่สุดหู่จือก็เข้าใจว่าผู้ใหญ่เมื่อแต่งงานกันแล้วก็ควรนอนด้วยกัน

ตอนที่อยู่ที่บ้านเกิดนั้น การที่เขาดึงดันให้น้าเซี่ยเซี่ยออกไปจากห้องของพ่อนั้นนับว่าเป็นความผิดพลาด

หลินเซี่ยยิ้มและอธิบายให้เขาฟัง “น้าเซี่ยเซี่ยกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมการแข่งขัน ทั้งยังต้องใช้เวลาคิดหลาย ๆ เรื่องกับตัวเอง เพราะฉะนั้น ขอให้ผ่านช่วงสองสามวันนี้ไปก่อน แล้วน้าจะคืนให้ดีไหม?”

หากหู่จือพูดเรื่องนี้ไปโดยไม่ทันระวัง เลขานุการคนนั้นก็คงมาสั่งสอนที่หน้าประตูบ้านอีก จะขายหน้าไม่น้อย

“ครับ”

หลินเซี่ยกลับไปที่ห้องของหู่จือ ในตอนที่กำลังจะผิดประตู เฉินเจียเหอก็เดินตามเข้ามา

หลินเซี่ยหันศีรษะไปเห็นร่างที่ยืนอยู่ตรงนั้นราวกับภูเขาจึงถามว่า “คุณตามเข้ามาทำไมคะ?”

เฉินเจียเหอถือโอกาสปิดปิดประตู แววตาของเขามองมาที่เธออย่างมุ่งหวังบางสิ่งโดยไม่พูดอะไร

หลินเซี่ยผลักเขา “ไปนอนซะ”

เฉินเจียเหอเอื้อมมือโอบเอวของเธอแล้วเอ่ยเสียงอ่อน “หู่จือเข้าใจแล้วนี่ว่าคู่แต่งงานควรนอนด้วยกัน”

ทั้งคู่นอนด้วยกันมาสองคืนแล้วระหว่างที่หู่จือไม่อยู่ แม้จะไม่ได้ทำอะไรกันเกินเลย แต่การได้เห็นว่ามีเธอนอนอยู่เคียงข้างนั้นทำให้เขาสบายใจอย่างไม่มีอะไรมาเปรียบได้ ทั้งยังรู้สึกปลอดภัย

“รอจนกว่าแม่ของฉันจะนำบัตรประจำตัวประชาชนมาให้ แล้วค่อยว่ากันอีกทีแล้วกันค่ะ”

หลินเซี่ยผลักเขาออกไป “ไปนอนได้แล้วค่ะ พรุ่งนี้ปลุกฉันแต่เช้าหน่อยนะคะ ฉันต้องแต่งหน้าให้ทุกคนแต่เช้า”

“คุณนอนก่อน ผมค่อยออกไป” เฉินเจียเหอมองเธอขึ้นไปบนเตียง ถอดเสื้อคลุมออก และนอนลง เขาจึงปิดไฟให้เธอ “ราตรีสวัสดิ์”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

พี่เหอใจเย็นๆ ก่อน เซี่ยเซี่ยไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอกน่า แหม คลั่งรักไม่เบาเลยนะพี่

หู่จือรู้อะไรมาจากบ้านเสี่ยวเป่าอีกคะลูก

ไหหม่า(海馬)