ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ในที่สุดร่างของทั้งสองก็ไปยืนอยู่เหนือเกาะ สถานที่ที่เกิดทัณฑ์สวรรค์ แต่บนใบหน้าที่สวยงามของเด็กสาวก็ดู… ผิดหวัง
บัดนี้ ครึ่งหนึ่งของเกาะเล็กๆ ถูกทำลายหายไปกลายเป็นหลุมลึกสี่เหลี่ยมใต้น้ำทะเล
“ท่านอาจารย์ นี่คือทัณฑ์สวรรค์บรรลุเซียนใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ต้องกังวลไป” นักพรตเต๋าชราตอบด้วยรอยยิ้มขณะจ้องมองเสื้อเปื้อนเลือดที่ขาดรุ่งริ่งซึ่งลอยอยู่ในทะเล “ทัณฑ์สวรรค์ของเจ้าจะไม่ทรงพลังรุนแรงเช่นนี้อย่างแน่นอน อย่างมากที่สุดก็จะเป็นเพียงหนึ่งในสิบของความแข็งแกร่งระดับนี้”
มุมปากของหานจื่อกระตุกขึ้นในทันใด เอ่อ…ประโยคนี้ฟังดูแล้ว ทะแม่งๆ…
จากนั้นนักพรตเต๋าชราก็ชี้ไปที่เสื้อขาดรุ่งริ่งด้านล่าง แล้วจุดไฟแผดเผามันจนกลายเป็นธุลีอย่างรวดเร็ว
“คนผู้นี้เดินทางอย่างรีบร้อนและทิ้งสิ่งของชิ้นนี้ไว้ข้างหลัง” นักพรตเต๋าชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม “การขจัดอันตรายที่ซ่อนอยู่บางอย่างให้เขาย่อมถือได้ว่าเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีเช่นกัน ไปกันเถิด ไม่เช่นนั้นจะมีผู้บำเพ็ญคนอื่นมาตรวจสอบที่นี่ และจะอธิบายสถานการณ์นี้ลำบาก”
หานจื่อพยักหน้าเบาๆ พลางมองลงไปที่หลุมดำใต้ทะเลก่อนจะถูกอาจารย์พานางบินตรงไปทางตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป
……
ไม่รู้ว่าจะมีคนพบเสื้อเปื้อนเลือดที่ทิ้งไว้หรือไม่
หลี่ฉางโซ่วคิดในใจ เวลานี้เขาอาศัยพลังเซียนในร่างของเขาใช้หลีกลี้วารีเร้นกายอย่างสุดกำลังแล้วรีบพุ่งไปทางทิศตะวันตก
เขาสังเกตเห็นคู่ของนักพรตเต๋าชราและเด็กสาวที่กำลังใกล้เข้ามายังจุดที่เขาข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ ซึ่งเป็นเหตุให้เขาเลิกพักฟื้นตรงจุดนั้น จากนั้นเขาก็ดูดซับลมปราณสุดท้ายของพลังวิญญาณแล้วรีบหนีไป
เสื้อเปื้อนเลือดนั้นถูกถอดออกมาจากศพของทหารมนุษย์ในสนามรบเมื่อเขาอยู่ในโลกมนุษย์ซึ่ง หลี่ฉางโซ่วได้แช่มันด้วยพลังวิญญาณ ดังนั้นมันน่าจะสามารถแทรกแซงผู้ที่ต้องการไล่ติดตามเขาได้
เขาได้สวดพระสูตรล้างบาปให้กับทหารคนนั้นด้วยตัวเขาเอง เพื่อช่วยให้คนผู้นี้มุ่งหน้าไปยังนรกแล้วกลับชาติมาเกิดอย่างรวดเร็ว
“แค่กๆ!”
กระแสน้ำที่ก่อตัวขึ้นจากการใช้เวทหลีกลี้วารีเร้นกายพลันสั่นสะเทือนเล็กน้อยเมื่อมีเลือดไหลออกมา แต่ก่อนที่คราบเลือดเหล่านี้จะทันได้แพร่กระจายออกไป มันก็ถูกกระแสน้ำเชี่ยวกรากพัดพาหายไป
ในเวลานี้ร่างของหลี่ฉางโซ่วเปล่งประกายด้วยแสงเซียนเจ็ดสี แต่มีรอยแตกคล้ายใยแมงมุมปกคลุมร่างกายของเขาตั้งแต่หน้าอกจนจรดเอวของเขา
อันที่จริง ร่างเซียนของเขาไม่ได้ย่ำแย่ขนาดนั้น แต่ที่เลวร้ายยิ่งกว่า ก็คือ ในเวลานี้แก่นเซียนของเขาเสียหายที่จุดตันเถียนกลางจนขยับไม่ได้แม้แต่นิดเดียว…
ทุกคนย่อมเข้าใจในตรรกะนั้น แต่เหตุใด…จึงมีสายฟ้าสายที่สิบในเก้าสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์ได้เล่า
“แค่ก! แค่ก!”
หลี่ฉางโซ่วไอออกมาสองครั้งในขณะที่เขารู้สึกเจ็บปวดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทว่ายากที่จะจัดการตัวเองไม่ให้กระอักโลหิตออกมาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดได้
ตั้งแต่โบราณกาลมา มีผู้บำเพ็ญสักกี่คนกันที่ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ของพวกเขาได้สำเร็จ แล้วจบลงด้วยสภาพน่าอนาถเหมือนเขาเช่นนี้
ขณะนี้เขาหยุดอยู่ในน้ำทะเลและตรวจสอบชิ้นส่วนหยกที่สลักคำว่าไฟของเขารวมถึงเครื่องประดับที่เขาเคยเอาออกจากร่างกายของเขาเมื่อก่อนหน้านี้ไปด้วย
ทันใดนั้นเขาก็เริ่มเวียนศีรษะเล็กน้อย และร่างของเขาก็เริ่มโซเซไปมาในน้ำทะเล
แน่นอนว่าหลี่ฉางโซ่วรู้ว่าสายฟ้าเทพสวรรค์ม่วงสายสุดท้ายนั้น ความจริงแล้วเป็นการลงทัณฑ์จากเต๋าสวรรค์สำหรับการที่เขาปิดบังสวรรค์…
และโดยหลักแล้ว อาการบาดเจ็บสาหัสของเขาในเวลานี้ก็เกิดจากการลงทัณฑ์จากเต๋าสวรรค์
แต่โชคดีที่ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วยังมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว ทันทีที่สัมผัสได้ว่าการลงทัณฑ์จากเต๋าสวรรค์กำลังจะมาถึง เขาก็หยิบอาวุธเวทสายป้องกันบางส่วนของเขาออกมา…
ทว่าไม่มีผู้ใดต้านทานทัณฑ์สวรรค์บรรลุเซียนด้วยสมบัติและอาวุธเวทได้ ยกเว้นแต่ว่าจะเป็นการลงทัณฑ์จากสวรรค์ระดับเล็กเท่านั้น
แม้สมบัติและอาวุธเวทเหล่านี้จะไม่ได้มีคุณภาพดีมากนัก แต่พวกมันก็ได้ช่วยหลี่ฉางโซ่วลดพลังการลงทัณฑ์จากสวรรค์ไปได้บ้าง ซึ่งทำให้เขาหลบหนีได้
และเมื่อสายฟ้าเทพสวรรค์ม่วงฟาดลงมา หลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกสบายใจ
เพราะเขาจะไม่ได้ติดหนี้กรรมต่อเต๋าสวรรค์แล้ว
“พรวด!”
ทันใดนั้นโลหิตพลันพุ่งกระฉูดออกมา แล้วหลี่ฉางโซ่วก็รีบใช้มือของเขาหยุดการไหลเวียนของโลหิตทันที
ปราณวิญญาณและแก่นเซียนของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสมากจนเขาต้องรีบหาสถานที่พักฟื้นอย่างเงียบๆ หากไม่ทำเช่นนั้น ขอบเขตพลังที่เขาได้รับหลังจากดูดซับพลังวิญญาณมาอย่างบ้าคลั่งจากการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์จะหมดลงอย่างรวดเร็ว…
เขาได้หยั่งรู้ข้อมูลมากมายนับไม่ถ้วนขณะที่ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ สิ่งเหล่านี้จะเป็นรากฐานของการบรรลุสู่เซียนอย่างต่อเนื่องของเขาและเขาจะต้องดูดซับมันให้รวดเร็ว
หลี่ฉางโซ่วแผ่สัมผัสเซียนรับรู้ของเขาออกไปและค้นหาสถานที่ในท้องทะเลกว้างใหญ่อย่างร้อนรน จากนั้นไม่นานเขาก็ยิ้มออกมา แล้วพุ่งร่างไปในท้องทะเลทางทิศใต้
ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีเสียงคำรามลึกดังมาจากท้องทะเล และปลาประหลาดที่มีความยาวมากกว่ายี่สิบจั้งก็รีบแหวกว่ายออกมาจากน่านน้ำที่มันอาศัยอยู่มาหลายร้อยปีไปทางทิศตะวันตกอย่างรวดเร็ว
ในขณะนั้นก้อนเนื้อนูนบนหลังของปลาประหลาดตัวนี้ก็เปล่งแสงเซียนออกมา และมีบงกชหยกขาวหนึ่งดอกปรากฏขึ้นมาเป็นครั้งคราว
ยามนี้หลี่ฉางโซ่วซ่อนอยู่ภายในปลาประหลาดตัวนี้ ปกปิดลมปราณของเขาเอาไว้ได้ทั้งหมด
แม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่หลี่ฉางโซ่วก็ยังไม่ลืมที่จะใช้เวทสงบลมปราณเต่า
ปลาประหลาดตัวนี้ไม่รู้ว่าตัวมันเองเป็นอะไร จึงอยากว่ายไปทางทิศตะวันตกอย่างต่อเนื่องขณะที่อยู่ห่างจากชายฝั่งไปหลายร้อยลี้…
เดิมทีหลี่ฉางโซ่วคิดจะรักษาอาการบาดเจ็บและพักฟื้นภายในตัวของปลาประหลาดนี้ แต่สองสามวันต่อมา อาการบาดเจ็บของเขาก็ทุเลาลงจนเกือบจะหายเป็นปกติขณะที่ทั้งแก่นเซียนและร่างเซียนของเขาค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นเองได้อย่างช้าๆ
เขาผ่อนคลายจิตใจ จากนั้นความเข้าใจก็หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่รู้จบและดึงจิตสำนึกของหลี่ฉางโซ่วเข้าสู่ขอบเขตเซียนที่ลึกล้ำ…
ขอบเขตนี้ดุจประตูแห่งหยั่งรู้ ซึ่งเรียกขอบเขตนี้ว่า ขอบเขตเสวียน
ชั่วเวลานั้น หลี่ฉางโซ่วตกอยู่ในสภาวะแปลกๆ เขาสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมของเขาและควบคุมทิศทางที่ปลาประหลาดนี้กำลังแหวกว่ายไปอย่างลวกๆ โดยที่ตัวเขาเองก็ยังไม่อาจฟื้นตื่นขึ้นมาได้
เขาไม่รู้สึกถึงเวลาที่ผ่านไปเลยในขณะที่หลงทางแหวกว่ายอยู่ภายในขอบเขตเสวียน
อย่างไรก็ตาม สัมผัสเซียนรับรู้ของเขาก็ยังคงแผ่ออกไปรอบๆ ปลาประหลาดนั้นเพื่อจะเตือนเขาในเวลาที่เหมาะสม
ปลาประหลาดนั้นยังคงแหวกว่ายไปทางทิศตะวันตกจนเวลาผ่านไปห้าเดือน แล้วจู่ๆ ในวันหนึ่งก็มีเหล็กแหลมขนาดใหญ่สองแท่งพุ่งเข้าไปในทะเลและแทงทะลุปลาประหลาดนั้น
หลี่ฉางโซ่วตื่นตระหนกตกใจอย่างยิ่ง แต่เขาก็ไม่รู้สึกถึงอันตรายใดๆ ในขณะที่ยังไม่บรรลุขอบเขตเสวียน เขายังคงรอเงียบๆ อยู่ในตัวของปลาและยังคงหยั่งรู้ในขอบเขตแห่งเต๋านั้น
อันที่จริง แม้ปรารถนาจะหนีออกไป เขาก็ยังไม่อาจออกไปได้…
หลังจากนั้น ปลาประหลาดที่มีหลี่ฉางโซ่วอยู่ข้างใน ก็ถูกเรือขนาดใหญ่สองลำลากไปที่ชายฝั่ง แล้วนำเข้าไปในหมู่บ้านที่ค่อนข้างใหญ่โดยกลุ่มคนหนุ่มสาวที่แข็งแรงและสุขภาพดีซึ่งสวมเสื้อผ้าแบบดั้งเดิม
เมื่อแผ่สัมผัสเซียนรับรู้ของเขาออกไปสำรวจดูภายนอกคร่าวๆ หลี่ฉางโซ่วก็ค้นพบว่าคนส่วนใหญ่ที่นี่เป็นมนุษย์ และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่บรรลุขอบเขตหลอมรวมปราณและขอบเขตสร้างปราณวิญญาณเทพ
ปลาประหลาดถูกผ่าออก และหลี่ฉางโซ่วรู้สึกเหมือนตนเองหลุดออกมาจากหลังปลาแปลกประหลาดตัวนั้น
แล้วฉากละครก็บังเกิดขึ้น…
ชาวประมงที่อยู่ห่างไกลเหล่านี้ปฏิบัติต่อหลี่ฉางโซ่วราวกับเขาเป็นเทพแห่งท้องทะเล โดยเริ่มก้มกราบกรานขอพรและร่ายรำเพื่อเฉลิมฉลองรอบกายเขา ยิ่งกว่านั้นยังจัดงานเลี้ยงฉลองที่กินเวลานานหลายวันหลายคืนในขณะที่วางเขาลงบนแท่น…
อาจเพราะเมื่อตอนที่เขาหลุดออกจากตัวปลา แสงแห่งเซียนก็ส่องประกายรอบๆ ตัว ทำให้เขาดูพิสุทธิ์ไม่ได้แปดเปื้อนสิ่งสกปรกใดๆ และภาพลักษณ์ของเขาก็ดูเป็นวีรบุรุษที่กล้าหาญมาก
หลี่ฉางโซ่วยังคงอยู่ในสภาพนี้ต่อไปอีกเป็นเวลาสองเดือนในขณะที่ชาวประมงเหล่านี้ปฏิบัติต่อเขาเสมือนเป็นเทพของพวกเขา
ในเวลานั้น มีเด็กสาวอายุราวสิบสามปีได้รับเลือกให้เป็นสาวใช้คอยดูแลอยู่เคียงข้างหลี่ฉางโซ่ว ทั้งกลางวันและกลางคืน
เมื่อเวลาผ่านไปอีกครึ่งเดือน ในที่สุด หลี่ฉางโซ่วก็ซึมซับและหยั่งรู้ข้อมูลเชิงลึกเหล่านั้นทั้งหมดจนทะลวงผ่านขอบเขตเสวียนได้ จากนั้นเขาก็หลับตาพลางตรวจสอบภายในร่างจนกระทั่งยามอรุณรุ่งมาเยือน และเด็กสาวที่อยู่ในห้องข้างๆ ก็ตื่นขึ้นมา
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ หลี่ฉางโซ่วก็ลืมตาและลุกขึ้นเตรียมพร้อมจะขอบคุณหญิงสาวก่อนจะรีบออกจากที่นี่ไปอย่างรวดเร็ว
หลี่ฉางโซ่วกล่าวในขณะที่เด็กสาวกำลังจะยกขาของนางข้ามธรณีประตูเข้ามา
“ขอบคุณ แม่นาง…”
ทว่าเมื่อม่านประตูถูกเปิดออก ลำแขนหนาเท่าต้นขาของหลี่ฉางโซ่วก็เอื้อมเข้ามาข้างใน
หลี่ฉางโซ่วกะพริบตาฉับพลัน
การรับรู้ของเขาผิดปกติไปหรือไม่ กลายเป็นเด็กหนุ่มไม่ใช่เด็กสาวหรือ
เขาจึงเปลี่ยนคำพูดของเขาทันที “ขอบคุณคุณชายที่ช่วยเหลือ!”
“หือ?”
ทว่าร่างหนึ่งที่เข้ามาในห้องนั้น อย่างแรกคือ มีใบหน้าสวย และตามต่อมาด้วย ร่างใหญ่ล่ำเตี้ยราวหอคอยเหล็กและเส้นผมสีดำสลวยสามพันเส้น…
จากนั้นเด็กสาวก็กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “เอ๋! เหตุใดท่านจึงตื่นขึ้นมาเล่าเจ้าคะ ท่านเซียน”
ท่านเซียน?
หลี่ฉางโซ่วจับรายละเอียดเล็กน้อยนี้ไว้ได้อย่างดีที่สุด และมีความระแวดระวังเล็กน้อยภายในใจ
เพราะตามที่ชาวประมงเรียกขานเขาเมื่อก่อนหน้านี้ คือ เทพแห่งท้องทะเลมิใช่หรือ
……………………………………………………………………………………