ทว่า ผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับพูดย้ำซ้ำทุกพยางค์ “ฉันถามว่าแกปัญญาอ่อนหรือเปล่า?!”

ท่าทีของเสี่ยวเฉิงพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ฉางเหรินที่ยืนอยู่ข้างกายพลันเอื้อมมือไปจับไหล่เสี่ยวเฉิง “อย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ไปมากกว่านี้เลย ปล่อยพวกเขาไปเถอะ”

“ปล่อยไป? แต่เราเป็นตำรวจนะ! แถมคนพวกนี้ก็พยายามจะมาหาเรื่องเราด้วย… งั้นเราจะมีกฎหมายไว้ทำไมกัน?!” เสี่ยวเฉิงตอบกลับ

พวกวัยรุ่นลูกเศรษฐีบังเอิญได้ยินคำพูดของเสี่ยวเฉิงเข้า จากนั้น พวกเขาก็เริ่มล้อเลียนด้วยคำพูดดูถูก “แล้วถ้าพวกเราอยากหาเรื่องเองล่ะ? เราไม่ได้ไปจุดไฟเผาหรือฆ่าใครตายสักหน่อย ตำรวจอย่างนายจะไปทำอะไรได้? หรือจะควักปืนมายิงกลางอกประชาชน? จะบอกอะไรให้นะคุณตำรวจ พวกเราจ่ายภาษีไปเยอะ ถ้าเราไม่จ่าย แล้วใครจะมาจ่ายแทนล่ะ? ไม่ขอบคุณยังไม่พอ แต่จะพยายามเข้ามายุ่งกับเรื่องของคนอื่นอีกเหรอ?”

พวกลูกเศรษฐีพลันระเบิดเสียงหัวเราะเยาะเย้ยออกมา

เสี่ยวเฉิงสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่และพูดต่อ “มันก็แค่น้ำลาย! จำเป็นต้องมาทะเลาะกันแบบนี้ไหมล่ะ? ฉันว่าพวกนายทุกคนก็โตกันหมดแล้วนะ ต่างฝ่ายก็แค่พูดคำว่าขอโทษ แล้วก็แยกย้าย”

ทว่า พี่ใหญ่หลินไม่ได้สนใจอะไรเสี่ยวเฉิงเลย เสี่ยวเฉิงก็เป็นเพียงแค่เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนเท่านั้น

ทว่า ทันทีที่เสี่ยวเฉิงพูดจบ ผู้ชายคนนั้นก็เดินตรงเข้ามาและถุยน้ำลายตรงหน้าของเสี่ยวเฉิง จากนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมองพร้อมเผยยิ้ม “แค่ขอโทษก็หายแล้วใช่ไหม?”

ดวงตาของเสี่ยวเฉิงพลันสั่นไหวอีกครั้ง

ดูเหมือนผู้ชายคนนั้นจะตรงเข้ามาและถุยน้ำลายใส่เสื้อผ้าของเสี่ยวเฉิง จากนั้น เขาก็เผยสีหน้าที่เหมือนอยากจะขอโทษ “ขอโทษทีนะคุณตำรวจ พอดีฉันไม่ได้ตั้งใจน่ะ นายเป็นคนพูดเองใช่ไหมว่าแค่ขอโทษแล้วทุกอย่างก็จบ?”

ทว่า ในตอนนั้นเอง ดวงตาของเสี่ยวเฉิงเต็มไปด้วยประกายแสงสุดเย็นชา เขาเก็บปืนเข้าไปในซองหนังข้างกายและหันไปพูดกับฉางเหริน “การดูหมิ่นตำรวจถือว่าเป็นอาชญากรรมไหม?”

ฉางเหรินครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่และพยายามหาคำตอบ จากนั้น เด็กวัยรุ่นที่ถ่มน้ำลายใส่เสี่ยวเฉิงก็หัวเราะออกมาทันที “ทำไมเหรอ? แล้วถ้าฉันกำลังดูหมิ่นเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างนายอยู่ล่ะ?”

ผัวะ!

ทันทีที่เด็กวัยรุ่นคนนั้นพูดจบ เสี่ยวเฉิงก็ใช้ฝ่ามือสับที่คอของเขาจนเกือบหัก! ชายคนนั้นล้มลงไปนอนกับพื้นทันทีด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว ทว่า จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นมาและพยายามพุ่งเข้าใส่เสี่ยวเฉิง “ไอ้ตำรวจเลว! แกกล้าทำฉันแบบนี้ได้ยังไง?!”

ทว่า เสี่ยวเฉิงไม่แม้แต่จะเปิดโอกาสให้ชายคนนั้นเข้าใกล้เลย เขาเตะวัยรุ่นชายคนนั้นเต็มแรงพร้อมตอบกลับ “ฉันไม่ได้แค่จะเตะนายนะ แต่ฉันจะจับนายเข้าคุกด้วย!”

ทันทีที่เสี่ยวเฉิงพูดจบ เขาก็ก้าวไปข้างหน้าพร้อมคว้าคอเสื้อของผู้ชายคนนั้นและพยายามลากตัวเขาออกไป ทว่า ในตอนนั้นเอง พวกวัยรุ่นที่เหลือก็รีบวิ่งเข้ามาปิดกั้นทางออกและล้อมเสี่ยวเฉิงเอาไว้ทันที

“แน่จริงก็จับพวกเราให้หมดสิคุณตำรวจ!” ใครบางคนตะโกนขึ้นมา

ทันใดนั้น เสี่ยวเฉิงก็พบว่าตัวเองถูกล้อมเอาไว้แล้ว แต่ทว่า เขาไม่ได้เผยท่าทีตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย ฉางเหรินพลันรีบเดินเข้ามาและกระซิบข้างหู “จะบ้าหรือไง? นายต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ?”

“ก็แค่ขังไอ้เด็กคนนี้ไว้ข้อหาดูหมิ่นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก แต่ถ้ามีปัญหาอย่างอื่นเกิดขึ้นอีก เราก็ยังขอให้ทนายติดต่อกับสถานีตำรวจได้” เสี่ยวเฉิงตอบกลับ เขาจับคอเสื้อของเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่หยิ่งผยองคนนั้นและพร้อมที่จะพาออกไป

ทว่า พวกคนที่เหลือก็ยังคงยืนขวางทางอยู่

“เข้ามาก้าวก่ายการทำงานของตำรวจ… พวกนายรู้ผลลัพธ์ที่จะตามมาใช่ไหม?”

“ทำไมจะต้องคิดเรื่องพวกนั้นด้วยล่ะ? แล้วนายที่ทำแบบนั้นล่ะ เคยคิดถึงผลที่ตามมาบ้างไหม?” ใครบางคนในกลุ่มวัยรุ่นพลันตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง

สำหรับฝั่งของพี่ใหญ่หลิน หลังจากที่เห็นว่าศัตรูของตนต้องเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว พวกเขาก็รู้สึกดีใจและเตรียมพร้อมที่จะจากไป

และทันทีที่พวกเขาหันกลับ น้องชายผมสีบลอนด์ก็เผยเสียงหัวเราะดังขึ้น “ตำรวจหัวรั้นอีกคนสินะ ไม่แน่เขาอาจจะถูกย้ายออกไปภายในสามวันนี้ก็ได้” เขาพลันดึงแขนเสื้อของพี่ชายและมองไปยังเสี่ยวเฉิงที่กำลังถูกกลุ่มวัยรุ่นล้อมอยู่ “พี่หลิน… ชายคนนั้นไม่เลวเลยนะ เราควรไปช่วยเขาหน่อยไหม?”

“ช่วยบ้าบออะไรกันล่ะ! ขนาดเพื่อนของตำรวจคนนั้นยังห้ามอะไรไม่ได้เลย ชายคนนี้ดูจะมีวินัยแล้วก็ยุติธรรมมากไปหน่อย ยังไงก็เถอะ พวกที่แหกกฎก็มักจะโดนดีก่อนคนอื่น เคยได้ยินสำนวนนี้ไหมล่ะน้องชาย? ครั้งนี้นายอาจจะยังช่วยหมอนั่นได้อยู่ แต่ครั้งหน้าคงไม่แล้ว… ออกไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ!” ทันใดนั้น พี่ใหญ่หลินก็ลากตัวน้องชายออกไปทันที