ตอนที่ 12: อุปสรรค

ทันใดนั้นเอง อีกฝ่ายเองก็รีบโทรเรียกกองหนุนมาเพิ่มอีกหลายสิบคน

ทว่า ใครคนหนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพลันรู้จักกับพี่ใหญ่หลิน ชายคนนั้นเผยยิ้มพร้อมกล่าวคำพูดออกมา “ว่าไง… นั่นใช่พี่ใหญ่หลินหรือเปล่า?”

ถึงพี่ใหญ่หลินจะรู้จักและจำหน้าชายที่พูดได้ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร มันไม่ใช่เรื่องที่จะนำมาหักล้างกับความโกรธได้เลย

ผู้ชายคนนั้นก็เพียงแค่ต้องการให้ทั้งสองฝ่ายเลิกทะเลาะกัน “มันก็แค่น้ำลายเปื้อนรถเอง อย่างน้อยก็ไม่ได้ไปโดนใครสักหน่อย นี่พี่ใหญ่หลิน… เอาเป็นว่าเราไปหาอะไรกินกันแทนไหม? ยุติเรื่องบาดหมางพวกนี้กัน”

“ถ้ามีใครสักคนมาถ่มน้ำลายใส่รถฉันที่มหาลัย ฉันก็คงจะต้องไล่กระทืบมันแน่” น้องชายผมสีบลอนด์ของพี่ใหญ่หลินพลันพูดแทรกขึ้นพร้อมเผยสีหน้าไม่พอใจ

นั่นเป็นผลให้อีกฝ่ายจ้องมองไปที่เขา “ยังมีหน้ามาปากดีในสถานการณ์แบบนี้อยู่อีกเหรอ? ไปให้พ้นไป!”

พี่ใหญ่หลินเผยท่าทีที่เต็มไปด้วยโทสะออกมาทันที “ระวังคำพูดหน่อย นั่นน้องชายฉัน!”

“งั้นเหรอ? น้องชายแก? โทษทีแล้วกัน แต่ช่วยสั่งสอนมันให้ดีกว่านี้หน่อยนะ! อย่างน้อยก็สอนมันหน่อยว่าตอนไหนควรพูด ตอนไหนควรหุบปาก!”

พี่ใหญ่หลินพลันกัดฟัน “ไอ้บัดซบ!”

หลังจากนั้นไม่นาน พี่ใหญ่หลินก็พุ่งเข้าไปและเหวี่ยงเท้าเตะอีกฝ่ายเต็มแรง ทันใดนั้นเอง ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มโห่ร้องและวิ่งเข้าหาพร้อมเปิดฉากต่อยกันจนทำให้ฝุ่นตลบอบอวลไปหมด

มันเป็นการทะเลาะกันที่ค่อนข้างรุนแรง แต่ละฝ่ายมีจำนวนคนมากกว่าหนึ่งโหลเสียอีก นอกจากนั้น พวกเขายังใช้ขวดแก้ว โทรศัพท์และไม้เซลฟี่เป็นอาวุธอีกด้วย

“เราจะไม่เข้าไปห้ามหน่อยเหรอ?” เสี่ยวเฉิงพลันถามฉางเหรินที่ยืนอยู่ข้างกาย

ฉางเหรินมองดูภาพความโกลาหลตรงหน้าและทำอะไรไม่ถูก “เข้าไปห้าม? เราจะเข้าไปห้ามยังไงล่ะ? ถึงแม้ว่าตำรวจอย่างเราจะจับพวกเขาทั้งหมดเข้าคุกและขังเอาไว้ได้ แต่ในวันรุ่งขึ้น หน้าสถานีก็จะเต็มไปด้วยจดหมายร้องเรียนทุกประเภทจากทนายความของพวกเขา”

ทว่า เสี่ยวเฉิงทนดูไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ทันใดนั้นเอง เขาก็พุ่งเข้าไปพร้อมตะโกนออกมา “ทุกคนหยุด! ถ้าใครยังทะเลาะกันอยู่ ฉันจะจับไปขังให้หมด!”

วัยรุ่นผมบลอนด์ที่ไม่ได้เข้าไปร่วมวงด้วยเผยเสียงหัวเราะและมองไปยังเสี่ยวเฉิง “นายเป็นเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนที่โง่เขลาที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลย”

“งั้นก็บอกให้พี่ชายนายแล้วก็คนอื่นหยุดสักทีสิ!” เสี่ยวเฉิงตอบกลับ

วัยรุ่นผมบลอนด์คนนั้นแทบจะกลั้นขำไม่อยู่ “ทำแบบนั้นในเมืองซ่างเฉิงเนี่ยนะ? นายรู้หรือเปล่าว่าการใช้ชีวิตในยามค่ำคืนที่แท้จริงเป็นยังไง?”

เสี่ยวเฉิงลังเลอยู่ชั่วครู่

เขาจะสื่ออะไรอย่างอื่นอีกไหม?

ฉางเหรินพลันตอบกลับ “ชีวิตในยามค่ำคืน! ชีวิตที่ดำมืด! มันก็เป็นแบบนี้แหละ! ตำรวจอย่างเราถือเป็นตัวแทนของแสงสว่าง และหลังจากที่เข็มนาฬิกาชี้เลยเลขสิบเอ็ดไป ทุกอย่างมันก็จะกลายเป็นแบบนี้…”

ทว่า เสี่ยวเฉิงไม่ได้สนใจเลยว่ามันจะเป็นช่วงกลางวันหรือกลางคืน เขารีบหยิบปืนออกมาพร้อมยิงขึ้นฟ้า

ด้วยเสียงที่ดังสนั่นหลังจากการลั่นไก ทุกคนก็พลันตกใจและการทะเลาะวิวาทก็ยุติลงไปชั่วขณะ

“หยุดได้แล้ว!” เสี่ยวเฉิงตะโกนเสียงดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ นั่นทำให้พวกลูกเศรษฐีหยุดชะงักไปชั่วครู่และมองมาด้วยสายตาที่แปลกประหลาด

“เรื่องแค่นี้… แค่ต่างฝ่ายต่างขอโทษกันไปก็จบแล้ว ทำไมต้องมาทะเลาะวิวาทกันด้วย?!”

นายหนุ่มที่เป็นคนถ่มน้ำลายเผยท่าทีไม่พอใจ “ก็เพราะว่าฉันไม่อยากขอโทษยังไงล่ะ!”

พี่ใหญ่หลินเองก็เผยท่าทีไม่พอใจเช่นกัน “ก็รู้อยู่หรอกว่าคนอย่างไอ้บัดซบนี่ไม่ยอมขอโทษอยู่แล้ว เพราะแบบนั้น เราก็เลยแก้ปัญหาตามวิธีของเราเอง”

จากนั้นไม่นาน เกือบทุกคนก็หันมามองที่เสี่ยวเฉิงราวกับเป็นตัวประหลาด ทว่า ใครคนหนึ่งก็พลันปรบมือดังขึ้นมา “คุณตำรวจ… ถึงกับยิงปืนขึ้นฟ้าด้วย เจ๋งไปเลย ว่าแต่ทำแบบนั้นใครจะไปกลัวกัน?”

ทันทีที่พูดจบ ชายคนนั้นก็เดินมายืนตรงหน้าเสี่ยวเฉิงพร้อมลูบป้ายชื่อที่หน้าอก “ขับมอเตอร์ไซค์คันจิ๋วของแกไปที่อื่นเลยไป! ไปลาดตระเวนที่อื่นดีกว่า อย่ามาหาเรื่องใส่ตัวเลย จะว่าไป… แถวนี้ก็โจรเยอะแยะเหมือนกันนะ ว่างมากก็ไปจับพวกมันแทนสิ! ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเราหรอก เรามันคนละชั้นกัน!“

เสี่ยวเฉิงยักไหล่เพื่อสะบัดมือของชายคนนั้นออกไป จากนั้น เขาก็ชายมองไปยังกลุ่มลูกเศรษฐีที่ยืนอยู่ข้างกาย “พวกนายทุกคนไม่จำเป็นต้องมาทะเลาะกันแบบนี้เลยด้วยซ้ำ… ส่วนนายคนนั้น คนที่ถ่มน้ำลายใส่รถคนอื่น ก็แค่ขอโทษคนที่ชื่อพี่ใหญ่หลินไปเสีย แล้วก็แยกย้าย แค่นั้นเอง”

ชายที่ถ่มน้ำลายเบิกตากว้างพร้อมคิดว่าตัวเองคงฟังผิดไป จากนั้นไม่นาน เขาก็พลันหัวเราะออกมาเสียงดังและมองไปยังเสี่ยวเฉิง “แกปัญญาอ่อนหรือไงกัน?”

ดวงตาของเสี่ยวเฉิงสั่นไหวอีกครั้ง “เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ?”