อีกฝ่ายที่โดนผลักพลันรู้สึกโกรธและโมโหไม่น้อย

เสี่ยวเฉิงมองไปรอบกาย เขาก็เห็นแต่รถซูเปอร์คาร์และรถหรูราคาแพง เสี่ยวเฉิงสามารถบอกได้เลยว่าที่นี่เป็นสถานที่ของพวกเศรษฐีแล้วก็พวกมหาอำนาจ เขาเห็นเพื่อนร่วมงานทั้งสี่ยืนอยู่ด้านข้างพยายามไกล่เกลี่ยความขัดแย้งด้วยคำพูด ไม่มีใครกล้ากระโดดเข้าไปตรงกลางเลย

เสี่ยวเฉิงเดินไปหาฉางเหรินพร้อมกล่าวคำถาม “เกิดอะไรขึ้นกัน?”

“สองกลุ่มนี้ทะเลาะกัน มีคนเผลอไปถ่มน้ำลายใส่รถสปอร์ตของผู้ชายอีกคน กลุ่มที่ถ่มน้ำลายมีแปด ส่วนกลุ่มเจ้าของรถมีแค่สาม พวกเขาทะเลาะกันมาจะครึ่งชั่วโมงได้แล้ว”

พี่ชายของวัยรุ่นผมบลอนด์ที่เสี่ยวเฉิงพามาส่งนั้นเป็นฝ่ายที่ถูกถ่มน้ำลายใส่ เขากำลังจะไปรับน้องชายที่มหาลัย แต่ทันทีที่สตาร์ทรถ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่ออกมาจากคลับเฮาส์และเผลอถ่มน้ำลายใส่โดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้น ทุกคนก็ทะเลาะกันอย่างที่เห็น

ฝ่ายที่ถ่มน้ำลายไม่ได้ขอโทษแถมยังเผยท่าทีกวนตีน นั่นก็เป็นเพราะพวกเขามีคนเยอะกว่า ทันทีที่ฝ่ายพี่ชายของวัยรุ่นผมบลอนด์ไม่ได้รับคำขอโทษ เขาก็โทรเรียกพวกมาเพิ่มอีก แน่นอน เสี่ยวเฉิงสังเกตเห็นได้ทันทีว่ากำลังมีรถเก๋งและรถยนต์ราคาแพงหลายคันเข้ามาในลานจอดรถ

ชายหนุ่มอย่างน้อยเจ็ดหรือไม่ก็แปดคนลงมาจากรถ ดูจากท่าทีและรูปลักษณ์แล้ว พวกเขาก็น่าจะเป็นพวกที่มาจากตระกูลร่ำรวยและมีอำนาจเช่นกัน พวกเขาเดินไปยืนข้างพี่ชายของเด็กวัยรุ่นผมบลอนด์และเริ่มตะโกน “ไหน?! ใครกล้ามายุ่งกับลูกพี่หลินของเรา?!”

วัยรุ่นผมบลอนด์และพี่ชายมาจากตระกูลที่ชื่อว่าหลิน ในเมื่อมีคนมาหนุนหลัง ทุกคนก็เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น พวกเขามองไปยังอีกฝ่าย “ไม่รู้จักคำว่าขอโทษหรือยังไงกัน?”

ทันทีที่อีกฝ่ายเห็นว่าฝั่งพี่ใหญ่หลินมีจำนวนคนมากขึ้น พวกเขาก็เริ่มกลัวขึ้นมาทันที “มันก็แค่น้ำลายเอง… งั้นนายก็มาถ่มน้ำลายใส่รถฉันแทนสิ ว่าไงล่ะ?”

พอฝั่งพี่ใหญ่หลินรู้ว่าฝั่งตัวเองมีจำนวนคนมากขึ้น เขาจะปล่อยอีกฝ่ายไปได้อย่างไรกัน? ไม่ช้า เขาก็พูดขึ้น “ไอ้ปากดีคนเมื่อกี้ไปไหนแล้วล่ะ? อยากจะยุติเรื่องนี้? ได้เลย… งั้นก็มาเลียน้ำลายของแกที่รถฉันกลับไปสิ!”

“แก…!” ชายอีกคนกัดฟันและเผยสีหน้าเคร่งขรึม “อยากมีปัญหามากนักใช่ไหม? อยากรู้ใช่ไหมว่าพวกใครเยอะกว่า? ได้! ฉันจะโทรหาพวกของฉันเดี๋ยวนี้แหละ!”

จากนั้น เขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมาและเริ่มโทรออก

“พวกกลุ่มคนนิสัยเสียพวกนี้คงจะรับไม่ได้ที่ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่มันคิดสินะ” เสี่ยวเฉิงพลันถอนหายใจและพูดด้วยความดูถูก

ฉางเหรินสะกิดไหล่ “อย่าพูดอะไรเลยดีกว่า พวกเขากำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่”

“นี่ฉางเหริน… แล้วเราจะจัดการเรื่องนี้ยังไงดีล่ะ? ถ้าเกิดพวกเขาสู้กันขึ้นมา ทุกอย่างต้องเละแน่ แถมยังอยู่ตรงหน้าเราด้วย” เสี่ยวเฉิงถาม

“เราพยายามไกล่เกลี่ยแล้ว แต่ถ้าพวกเขาจะสู้กัน เราก็คงทำได้แค่เรียกรถพยาบาลนั้นแหละ ไม่ต้องไปสนใจมากหรอก” ฉางเหรินตอบกลับ

“งั้นเหรอ?” เสี่ยวเฉิงขมวดคิ้ว “แล้วถ้ามีใครบางคนเกิดถ่ายวิดีโอการทะเลาะวิวาทเก็บเอาไว้ แล้วไปบอกเบื้องบนว่าเราเอาแต่เก็บภาษี แต่ไม่ทำอะไรเลยสักอย่างเลยล่ะ? ภาพลักษณ์ของตำรวจจะเป็นยังไงกัน?”

“ถ้าพูดถึงสื่อ การทะเลาะกันของพวกวัยรุ่นมีอิทธิพลก็ไม่ได้มีผลอะไรมากนักหรอก”

“และในบางครั้งอย่างตอนนี้ ไม่ว่านายจะเข้าไปช่วยฝ่ายไหน นายก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เข้าใจใช่ไหม?” ฉางเหรินจ้องมองไปยังเสี่ยวเฉิง “ถ้าสองฝ่ายทะเลาะกันขึ้นมาแล้วเกิดไม่พอใจที่นายเข้าไปห้ามล่ะ? พวกเขาก็จะโยนความผิดมาที่นาย… นายได้ซวยของจริงแน่ ยังอยากมีงานทำอยู่ไหมล่ะ?”

“ฉันเคยเป็นทหารมาก่อน… และฉันคิดว่าทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมาย!” เสี่ยวเฉิงกัดฟันพร้อมกล่าวคำพูด “ถ้าจะให้ทำเป็นตาบอดไม่สนเรื่องนี้ ก็ต้องขอโทษด้วยแล้วกัน แต่ฉันทำไม่ได้!“