ตอนที่ 6

Dungeon Defence

“สมบัติอยู่ใน มินลัคดง”

อีกฝ่ายทำท่าขมวดคิ้ว

“เมยิลอค…. อะไรนะ?”

“มินลัคดง สมบัตอยู่ที่มินลัคดง”

ผมพูดชื่อสถานที่เก็บสมบัติให้พวกนี้ฟังเป็นรอบที่สอง

แต่ความจริงผมก็แค่พูดชื่อเมืองข้าง ๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัวออกไปแบบส่งเดช

ก็ผมจะไปรู้ได้ไงว่าสมบัติของที่นี่มันถูกเก็บไว้ตรงไหน

และถ้าผมตอบไปอย่างซื่อสัตย์ว่า ‘ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน’ สงสัยจะได้มีดาบลอยมาทางหัวผมแหง ๆ ดังนั้นตอนนี้ ผมต้องพูดอะไรก็ได้ออกไปเพื่อให้พวกมันไม่หมดความสนใจในตัวผมไปเสียก่อน

และระหว่างนั้นผมก็ต้องตั้งใจสังเกตุทุกการตอบสนองของคนพวกนี้

“มิลลาค มูลากโทง…. วะ ทำไมมันออกเสียงพิลึกแบบนี้!”

“ไม่รู้จักเหรอ? งั้นเดี๋ยวจะเขียนให้ดู”

หลังจากเสนอว่าจะเขียนให้ดูออกไป ผมก็ก้มตัวลงไปเขียนบนพื้นถ้ำ

ถึงจะไม่มีเครื่องเขียนอะไรติดตัวอยู่ก็จริง แต่บนตัวผมเองก็มีเลือดไหลออกมาไม่ใช่เล่น เลยเอานิ้วมือปาดเลือดบนตัวเองนี่แหละมาเขียนตัวหนังสือ

민락동

民樂洞

แถวบนเป็นภาษาเกาหลี ส่วนแถวล่างเป็นตัวอักษรจีน

จากนั้นก็เหลือบมองเพื่อสังเกตุท่าทางของแต่ละคน

“เฮ้ย เอาคบไฟมาใกล้ ๆ หน่อย”

“อ่านไม่รู้เรื่องเลยซักนิด… มันมีตัวหนังสือแบบนี้อยู่ด้วยเหรอวะ?”

พวกมันแต่ละคนมองหน้ากันเองแล้วก็เริ่มคุยกัน

“เดิมทีพวกเราที่นี่ก็ไม่มีใครอ่านหนังสือออกแต่แรกแล้ว”

“ใช่ แต่ว่าตัวหนังสือแบบนี้รู้สึกเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”

ดี

เริ่มที่จะเข้าใจหลักการทำงานของภาษาที่นี่แล้ว

ตอนนี้ผมได้ยินทุกอย่างที่พวกนี้พูดเป็นภาษาเกาหลีก็จริง แต่ว่าพอผมเขียนคัวหนังสือลงไปพวกนี้กลับอ่านไม่ได้

สรุปว่า การที่ผมได้ยินทุกอย่างเป็นภาษาเกาหลีไม่ได้หมายความว่าคนพวกนี้จะได้ยินเป็นภาษาเกาหลีไปด้วย

เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สองประการ

หนึ่งคือวิธีการพูดเหมือนกันแต่ตัวหนังสือไม่เหมือนกัน หรือไม่ก็ทั้งวิธีการพูดและตัวหนังสือแตกต่างกัน แต่ผมกลับได้ยินทุกอย่างเป็นภาษาเกาหลีด้วยเหตุผลบางอย่าง

คำตอบเป็นอย่างไหนกันแน่

ผมตัดสินใจทำการทดสอบทันที

“การที่พวกนายจะไม่เข้าใจมันก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะนี่คือภาษาปีศาจโบราณที่ผมตั้งใจใช้เป็นผนึกเวทมนตร์เพื่อป้องกันคลังสมบัติให้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลายยังไงล่ะ”

“เวทมนตร์?’

“ใช่แล้ว คลังสมบัติจะไม่เปิดให้แก่ผู้ที่ไม่เข้าใจภาษานี้โดยเด็ดขาด”

ทุกคนเริ่มตะโกะเอะอะโวยวาย

และบทสนทนานี้ก็ได้เปิดเผยคำตอบให้ผมทราบแล้ว

ว่าตอนนี้พวกเรากำลังพูดในภาษาที่ไม่ใช่ภาษาเกาหลีอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นวิธีการพูดหรือตัวหนังสือ

ผมรู้เรื่องนี้ได้ยังไงน่ะหรือ? เพราะเมื่อกี้นี้ผมพูดในภาษาต่างประเทศยังไงล่ะ

ทั้งที่ประโยคแรกเป็นภาษาอังกฤษ ประโยคที่สองเป็นภาษาเยอรมัน ประโยคที่สามเป็นภาษาจีนกลาง และประโยคที่สี่เป็นภาษาญี่ปุ่น แต่คนพวกนี้ก็ยังสามารถเข้าใจสิ่งที่ผมพูดได้อย่างชัดเจน

จะด้วยทฤษฎีอะไรก็ไม่รู้หรอกนะ แต่ดูท่าบทสนทนาจะถูกแปลงภาษาให้โดยอัตโนมัติ

“นี่คุณจอมมาร นี่พวกเรา… เอ่อ จะต้องเข้าใจภาษาปีศาจโบราณนั่นเท่านั้นถึงจะเปิดคลังสมบัติได้งั้นหรือ

“ใช่แล้ว”

“อืมมมม”

ชายที่อยู่เบื้องหน้าผมขมวดคิ้ว

— เจ้าหมอนี่ตั้งใจที่จะฆ่าผมจนถึงเมื่อกี้นี้

โกหกคำโตว่าจะยอมไว้ชีวิตถ้าผมบอกสถานที่ตั้งของคลังสมบัติลับกับมัน แต่พวกที่โกหกอย่างไร้ยางอายน่ะ แค่มองหน้านิดเดียวก็รู้แล้ว

ดังนั้น ผมจึงต้องสร้างเหตุผลที่จะทำให้พวกมันต้องเก็บผมเอาไว้ก่อนขึ้นมา

“เอาล่ะ ท่านจอมมาร ข้าชอบการแลกแปลี่ยนที่ยุติธรรมครั้งนี้ยิ่งนัก”

และหมอนี่ก็ตกหลุมพลางคำลวงของผมอย่างสวยงาม

“ท่าทางพวกเราจะเป็นเพื่อนกันที่ดีต่อกันได้ แล้วไอ้ มูลากโทง อะไรนั่นน่ะมันอยุ่่ที่ไหนล่ะ?

“มีทางลับอยู่ในห้องของข้าน่ะ”

“ห้องของจอมมารน่ะหรือ? แต่ตอนที่เราค้นไม่เห็นจะเจออะไรเลย”

“มีสิ อยู่ในห้องของข้านี่แหละ เพียงแต่มันจะเปิดให้ผมคนเดียวเท่านั้น… มันเป็นทางลับที่จะเปิดต่อเมื่อข้าเอามือไปวางทาบเท่านั้นน่ะ”

“กลไกเวทมนตร์สินะ เข้าใจล่ะ”

จากนั้นผมก็ถูกดึงแขนให้ลุกขึ้น

ความเจ็บปวดจากข้อเท้าขวาถูกส่งขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้มันเจ็บจนทนไม่ไหว

“อ้ากก!”

“โอ๊ะ เท้าแกสภาพแย่เอาการเลยนี่หว่า”

เขาเดาะลิ้น

“เฮ้ย เจ้าหน้าใหม่! แกมาช่วยพยุงท่านดันทาเลี่ยนหน่อยซิ”

“ได้เลยหัวหน้า”

ชายหนุ่มที่มีมีดเสียบอยู่บนเข็มขัดคนหนึ่งได้เข้ามาช่วยพยุงตัวผม หมอนี่น่าจะเป็นเจ้าหน้าใหม่ที่ว่า จากนั้นเจ้าหัวหน้าของนักผจญภัยก็ส่งเสียงตะโกน

“ไปกันได้แล้วเด็ก ๆ !”

และกลุ่มนักผจญภัยสิบคนก็ออกเดินทางไปตามถ้ำ

ดูท่าคนพวกนี้จะรู้ว่าห้องของจอมมารอยู่ไหน โชคดีจริง ๆ ที่เป็นแบบนั้น ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะผมน่ะไม่รู้น่ะสิ

ถ้าผมต้องเป็นคนนำทางพวกมันไปที่ห้องเองล่ะก็ ผมคงถึงฆาตแหง ๆ

มีเสียงกระดิ่งดัง ‘ติ๊ง~’ ขึ้นมา

[1. ยอมรับคำสั่งจากหัวหน้ากลุ่มนักผจญภัย ริฟ]

[2. ไม่ยอมรับคำสั่งจากหัวหน้ากลุ่มนักผจญภัย ริฟ]

ตัวเลือกแรกส่องแสงสว่างจากนั้นก็เริ่มมีคำใหม่ปรากฎขึ้น ดูท่าการเลือกตัวเลือกจะไม่ใช่การแค่การที่ผมคิดจะเลือก แต่มันจะถูกเลือกด้วยผลการจากกระทำทั้งหลายของผม

[ผ่านพ้นวิกฤติด้วยคำพูดอันชาญฉลาด]

[คำเตือน การกระทำต่าง ๆ ในระหว่างโหมดฝึกหัดจะส่งผลกับค่าสถานะต่อจากนี้ไป]

ผมเอาตัวรอดจากวิกฤติมาได้

หรือจะพูดในทางกลับกันว่า ถ้าเมื่อกี้นี้ไม่ได้โกหกพวกนี้ไปตอนนี้คงตายไปแล้ว เรื่องที่ผมฉุกคิดขึ้นมาได้โดยที่ไม่ต้องขอนี้ทำให้ผมเกิดอาการหนาวสันหลังขึ้นมา

คนพวกนี้ไม่ได้พูดเล่น ๆ

จะมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือจะตาย นั่นคือคำถาม

ผมเอาตัวรอดจากอุปสรรคแรกได้อย่างหวุดหวิด

และผมจะต้องมีชีวิตรอดไป ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม

กลุ่มนักผจญภัยยังคงเคลื่อนที่ไปข้างหน้า

“ฆ่ามันตอนนี้เลยดีไหม……”

“นั่นสิ พวกเราเองก็ไม่ใช่พวกโจรซักหน่อย แทนที่จะมาเสียเวลาตามหาคลังสมบัติลับ สู้ฆ่ามันให้หมดเรื่องหมดราวซะที่นี่เลยดีกว่า……”

“ข้าไม่รู้ว่าพวกแกคิดยังไงหรอกนะ แต่ข้าเห็นด้วยกับหัวหน้า ได้เงินมากกว่าเดิมก็ไม่เห็นจะมีอะไรไม่ดีตรงไหน……”

ผมได้ยินเสียงพวกนักผจญภัยด้านหน้าผมคุยกันอย่างชัดเจน

ไอ้เรื่องที่จะฆ่าหรือไว้ชีวิตผมเนี่ย จะปรึกษากันในกลุ่มผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ แต่อย่างน้อย ๆ ก็ช่วยพูดกันเบา ๆ ไม่ให้ผมได้ยินหน่อยได้ไหม

ไอ้พวกนี้นี่มารยาททรามจริง ๆ

“เฮ้ย ขาแพลงแค่นิดหน่อยจะเดินช้าอะไรนักหนา?”

“ก็บอกแล้วว่าหมอนี่มันตั้งใจถ่วงเวลา~”

แถมยังคอยพูดจาถากถางแบบไร้รสนิยมอีก

พวกนักผจญภัยที่จับตัวผมอยู่พวกนี้ดูไม่ค่อยจะมีระดับเอาเสียเลย

นอกจากจะมีรัศมีความจนจับแล้ว อาวุธของแต่ละคนยังมีรอยบิ่นอีก นี่เป็นหลักฐานอย่างดีเลยว่าพวกมันไม่ค่อยจะดูแลอาวุธชุดเกราะของตัวเองซักเท่าไหร่ ถ้าอ้างอิงตามาตรฐานของเกมล่ะก็ พวกมันก็น่าจะเป็นพวกนักผจญภัยแรงค์ F หรือพวกที่กระจอกที่สุดนั่นล่ะ

ไอ้พวกนี้เจอแค่ก็อบลิน 20 ตัวก็จอดแล้ว

…แต่พูดก็พูดเถอะ จอมมารกระจอกอย่างดันทาเลี่ยน ก็ไม่สามารถทำให้ไอ้พวกก็อบลินกระจอก ๆ ที่ไปที่ไหนก็เจอนั่นน่ะก้มหัวให้มันเหมือนกัน

“ท่านจอมมาร ดูท่าพรรคพวกของข้าจะรู้สึกร้อนใจขึ้นมาแล้ว”

ชายที่ชื่อ ริฟ พูดกับผมพร้อมกับหัวเราะคิกคัก

“ต้องขอโทษด้วย ข้าจะพยายามเดินให้เร็วกว่านี้”

“ตอบได้ดีแถมยังเร็วอีก ดีมาก”

เจ้าหมอนี่พูดกับผมเหมือนพูดกับคนที่ต่ำกว่าสินะ

ผมตัดสินใจแล้วว่าจะต้องบดขยี้ท่าทางโอหังนั่น และกระชากหน้าของมันให้จมลงกองโคลนให้ได้

ต่อให้มันร้องขอความเมตตาก็จะไม่ออมมือให้เด็ดขาด คอยดูเถอะ ริฟ

“นักผจญภัยแบบพวกเราน่ะต่างก็ป่วยเป็นโรคประจำอาชีพกันทุกคน โรคที่ว่านั่นก็คือโรคที่ทำให้พวกเรากำลังคิดว่าท่านจอมมารกำลังพยายามหลอกเรา ด้วยการถ่วงเวลาเพื่อที่จะทำอะไรบางอย่างอยู่นะท่าน”

“นั่นน่ะเป็นไปไม่ได้หรอก”

ผมตอบกลับไปทันที

ถึงขั้นนี้แล้ว จะสารภาพบอกความจริงกับพวกมันไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร

และแล้ว การแสดงของผมก็ได้เปิดม่านขึ้น

“ข้าเองก็เคยมีลูกน้องอยู่เหมือนกันนะ ก็อบลินเอย อิมป์เอย ออร์คเอย… ถึงจะไม่ใช่พวกวิเศษวิโสอะไรก็เถอะ แต่ยังไงพวกมันก็ถือว่าเป็นลูกน้องที่ไม่มีใครมาแทนที่ได้ของข้า ทว่าก่อนที่พวกเจ้าจะมา ก็มีกลุ่มนักผจญภัยเข้ามาโจมตีปราสาทแห่งนี้ติด ๆ กันถึงสามกลุ่ม”

บริเวณขอบตาของผมเริ่มชื้นขึ้น

ผมสามารถที่จะแกล้งร้องไห้ปลอม ๆ เมื่อไหร่ก็ได้ ซึ่งการจะทำแบบนี้ได้มันต้องมีลูกเล่นนิดหน่อย นี่เป็นท่าไม้ตายที่เหล่าน้องสาวสอนให้ผมเอง

“พวกเจ้าเป็นกลุ่มที่สี่ที่มายังปราสาทของข้า ส่วนลูกน้องของข้าทุกคนตอนนี้ต่างก็ตายกันไปหมดแล้ว แม้กระทั่งเจ้าตัวเล็กที่อยู่กับข้ามาตลอด 30 ปี ไม่ว่าจะเป็นคนไหนทุกคนต่างก็……”

“หะ…หือ?”

ริฟ ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

“นี่ท่านจอมมารคงไม่ได้กำลังร้องไห้ใช่ไหม?”

“ระ…ร้องไห้งั้นหรือ? มะ… ไม่หรอก คนอย่างข้าไม่มีทางที่จะ…”

ผมส่งเสียงพูดราวกับเด็กที่กำลังพยายามกลั้นน้ำตาของตัวเองเอาไว้อย่างสุดชีวิต

“มันก็แค่ในหมู่พวกลูกน้องข้า มีแม่เลี้ยงที่คอยดูแลข้ามาตั้งแต่ยังเด็กอยู่ด้วย ถึงเธอจะดูเหมือนออร์ค เพราะว่าเป็นออร์คจริง ๆ ก็เถอะ แต่เธอก็คอยดูแลข้าด้วยความเต็มใจ แม้แต่ข้าเองก็ยังเรียกเธอว่า ‘แม่’ ด้วยซ้ำ จนกระทั่งเมื่ออาทิตย์ก่อน ที่เธอถูกนักผจญภัยใช้หอกแทงใส่หน้าอกของเธอจนต้องเสียชีวิตไป……”

เสียงคร่ำครวญที่ชวนให้รู้สึกสงสารดังก้องไปในถ้ำ

“คือว่า ข้าควรจะพูดยังไงดีล่ะ นายนี่โชคไม่ดีเอาซะเลยนะ ขอแสดงความเสียใจด้วยก็แล้วกัน”

“แต่ทั้ง ๆ ที่เธอถูกแทง เธอก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากข้าจนถึงที่สุด ทั้ง ๆ ที่เธอเลือดไหลออกมามากมายขนาดนั้น เธอก็ยังคงกอดข้าไม่ยอมปล่อยเพื่อที่จะปกป้องข้าจากห่าธนูที่ตกลงมา ความรู้สึกในตอนนั้นไม่ว่าข้าจะพยายามอย่างไรข้าก็ลืมไม่ลง…”

“……”

“แขนทั้งสองข้างของเธอโอบกอดตัวข้า ถึงแม้ข้าจะมองไม่เห็นด้านหลังของเธอก็ตามที แต่เมื่อไรก็ตามที่มีเสียง ฉึก ร่างกายเธอก็จะกระตุกตามเสียงนั้น ในตอนแรกข้ายังไม่รู้ว่านั่นคือเสียงอะไร แต่ในเวลาไม่นานข้าก็รู้ว่าเสียงนั้นมันคือเสียงของลูกธนูที่ปักลงบนร่างกายของเธอ แม้ว่าทุกครั้งที่ลูกธนูตกลงมา ร่างกายของเธอก็จะสั่นด้วยความกลัวก็ตาม แต่ทั้งที่เป็นแบบนั้น……”

เรามาทำให้น้ำตาไหลรินกันเถอะ

การแสดงของผมกำลังใกล้จะถึงจุดสุดยอดแล้ว

“ทั้งที่เป็นแบบนั้น เธอก็ยังก้มมองดูข้าด้วยรอยยิ้ม! ใช่ เธอยิ้มให้ข้าจวบจนลมหายใจสุดท้าย ข้าไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตอนนั้นสติของข้ามันยังดีอยู่หรือเปล่า ข้านึกว่าตัวเองเป็นบ้าไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่ คนที่สำคัญที่สุดของข้ากำลังจะตายต่อหน้าต่อตา…… ตายเพื่อปกป้องข้า แต่กระนั้นเธอก็ยังคงยิ้มให้ข้าอยู่…… แล้วข้าล่ะ ข้าในตอนนั้นควรจะทำอะไร!? ควรที่จะพูดอะไรกับเธอที่เอาตัวบังลูกธนูให้กับข้า!?

ข้าใช้สองมือปิดหน้าปิดตาตัวเอง

และปล่อยเสียงร่ำไห้เบา ๆ ให้ลอดออกมาระหว่างนิ้ว

“ข้าถามเธอว่าเจ็บหรือเปล่า เธอเจ็บมากไหม แต่รู้ไหมว่าเธอตอบข้ากลับมาว่าอะไร?”

“……”

“ ‘ข้าไม่เป็นไรค่ะ นายท่าน’ “

บรรยากาศรอบ ๆ ตัวข้าเงียบสนิท

เหล่านักผจญภัยต่างก็มีอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องราวของผมจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้

ผมน่ะถูกพ่อของผมจับฝึกฝนฝีมือในการแสดงมาตั้งแต่เด็ก

จนกระทั่งช่วงหนึ่งที่ผมก็ได้ออกไปทดสอบตัวเอง ด้วยการไปที่คาเฟ่ที่ต่าง ๆ แล้วก็พูดโทรศัพท์

ซึ่งในความจริงแล้ว ไทรศัพท์นั้นไม่ได้ต่อสายกับใครอยู่ แต่ผมแกล้งทำเป็นทะเลาะกับแฟนของตัวเอง

‘ผมขอโทษ ผมขอโทษสำหรับทุกอย่าง’

‘จากนี้ไปผมจะทำให้ดีกว่าเดิม’

แสดงสดทุกอย่างโดยไม่มีบทล่วงหน้า

ในช่วงแรก ลูกค้าคนอื่น ๆ ในคาเฟ่ต่างก็มีท่าทางรำคาญ

พวกเขานั่งผ่อนคลายอยู่ในคาเฟ่อยู่ดี ๆ ก็มีนักเรียนมัธยมปลายที่ไหนไม่รู้โผล่มาพูดโทรศัพท์เสียงดังหนวกหู แต่กระนั้น พอเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ท่าทางของพวกเขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป และความรู้สึกของพวกเขาที่มีต่อผมก็เปลี่ยนไปเช่นกัน

มันคืออารมณ์ร่วม

พวกเขาทุกคนต่างก็เคยมีประสบการณ์ในเรื่องอย่างเดียวกันมาก่อน ในช่วงหนึ่งของชีวิตพวกเขาต่างก็ผ่านเหตุการณ์ที่เคยร้องขอความเห็นใจจากคนที่เขารักกันทั้งนั้น ทุกคนต่างมีอารมณ์ร่วมไปกับผม จนท้ายที่สุดทุกคนก็พากันเลี้ยงผมเพราะรู้สึกเห็นใจ

นั่นคือปฎิกิริยาของผู้คนในยุคปัจจุบันที่เคยผ่านพวกหนังละครน้ำเน่ามาหมดทุกประเภทแล้วนะ

ส่วนคนในโลกนี้ที่อย่างมากก็แค่เคยได้ยินบทกลอนของนักกวีขี้โอ่น่ะเหรอ ไม่อยากจะพูดหรอกนะ แต่ไม่มีทางคณามือผมหรอก

ต้องขอบคุณกล้ามเนื้อใบหน้าอันยอดเยี่ยมของผม

ที่สามารถแสดงได้ทุกรายละเอียดไม่ว่ามันจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม

ผมสามารถควบคุมทุกมุมของใบหน้าตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ และใช้มันในการแสดงอย่างเต็มที่

“เธอพูดว่า ข้าไม่เป็นไร…… จากนั้นเธอก็สิ้นลม”

“……”

“ตอนนี้ข้าไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว ถึงข้าจะยังเคยมีก็อปลินเหลืออีกสองตนก็เถอะ แต่สุดท้ายข้าก็ไล่พวกมันไป…… เพราะข้าไม่ต้องการพวกมันอีกต่อไป ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าข้าจะเล่นลูกไม้อะไรหรอก เพราะที่นี่ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว”

ผมเอามือปิดหน้าอีกครั้งจากนั้นก็เริ่มสะอื้น

และการแสดงของผม ที่สามารถทำให้นักแสดงฝรั่งเศษที่มาเห็นต้องสะอื้นก็ได้สิ้นสุดลง

ภายใต้บรรยากาศที่เศร้าสลดเช่นนี้ พวกนักผจญภัยต่างก็เริ่มกระซิบกระซาบกัน

“เฮ้ย เฮ้ย ใครเป็นคนทำให้ท่านจอมมารต้องร้องไห้เนี่ย?”

“ไม่รู้มีก่อนเลยว่าท่านจอมมารเองก็ต้องเจอกับเรื่องพวกนี้เหมือนกัน”

“สงสัยอยู่เลยว่าทำไมถึงไม่มีทหารเฝ้ายามเลยซักคน ที่แท้กลุ่มก่อนหน้าเราก็จัดการไปหมดแล้วนี่เอง”

“อยู่ ๆ ก็ต้องเสียสูญเสียหมดทุกอย่าง ไม่น่าเลย…”

ความเห็นอกเห็นใจประดังเข้ามา อย่างที่คาดการณ์ไม่มีผิด

แต่ก็มีสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อนโผล่ออกมาเหมือนกัน นั่นคือตัวอักษรแจ้งเตือนสีขาวที่โผล่ขึ้นมาบนอากาศ

[คำพูดคารมคมคายดุจปีศาจร้ายของท่านพูดได้จับใจผู้คนยิ่ง]

[ค่าความชอบ นักผจญภัย ริฟ เพิ่มขึ้น 2 แต้ม]

[ค่าความชอบ นักผจญภัย เดล เพิ่มขึ้น 2 แต้ม]

มีระบบค่าความชอบด้วยเรอะ หืม

อย่างนี้ก็ง่ายกว่าเดิมสิ

“ข้าดีใจจริง ๆ นะที่ได้เจอกับพวกเจ้าทุกคน”

ผมเผยรอยยิ้มบาง ๆ ออกมา

การสร้างบรรยากาศที่เหมือนกับว่าผมได้ผ่านมาแล้วทั้งทุกข์และสุขของชีวิตแล้วนี่แหละ คือเรื่องสำคัญ

“นอกจากพวกเจ้าจะไม่ได้ฆ่าจอมมารอย่างข้าในทันทีที่พบตัวแล้ว พวกเจ้ายังเห็นรู้สึกอกเห็นใจข้าที่กำลังบาดเจ็บสาหัส และตอนนี้ก็ยังช่วยพยุงข้าเดินอีก นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของข้าเลยที่ได้พบกับนักผจญภัยที่อ่อนโยนอย่างพวกเจ้า…… ข้าเคยคิดว่าพวกนักผจญภัยทุกคนต่างก็เป็นพวกโฉดชั่วเหมือนกับคนที่เป็นคนฆ่าแม่เลี้ยงของข้าซะอีก!”

นั่นคือการโกหก

โกหกแบบหน้าด้าน ๆ

ผมรู้ดีว่าคนพวกนี้ตั้งใจที่จะฆ่าผมตั้งแต่แรก สาเหตุเดียวที่ดาบยังไม่ได้ถูกชักออกมาจากฝักก็เพราะว่าพวกมันต้องการสมบัติของผมเท่านั้นเอง ตัวร้ายตามตำราชัด ๆ

แต่ว่า ไม่มีมนุษย์คนไหนหรอกที่จะไม่ชอบคำเยินยอ ดูสิ ตอนนี้เหล่านักผจญภัยต่างก็พากันลูบหนวดตัวเองแก้เขินกันใหญ่

“ไม่หรอก พวกเราไม่ได้ทำอะไรยิ่งใหญ่ถึงขนาดนั้น…”

“ทั้งหมดนี่ก็เป็นเพราะท่านยอมให้ความร่วมมือกับพวกเราอย่างเต็มใจต่างหาก”

[ค่าความชอบ นักผจญภัย ริฟ เพิ่มขึ้น 4 แต้ม]

[ค่าความชอบ นักผจญภัย เดล เพิ่มขึ้น 3 แต้ม]

ค่าของชอบของนักผจญภัยอีก 8 คนที่เหลือก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน

รู้สึกระแวงเราน้อยลงแล้วสินะ? เพราะเทียบกับเมื่อกี้ แต้มในคราวนี้เพิ่มขึ้นกว่าเมื่อกี้เยอะทีเดียว คงจะเจอการแสดงของเราปั่นหัวเข้าไปเต็ม ๆ แล้วสิ

จากนั้นผมก็ได้เผยรอยยิ้มกว้างออกมาทั้ง ๆ ที่น้ำตานองหน้า

“ข้าต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ทุกคนต้องเสียเวลา พวกเราเดินทางไปยังคลังสมบัติกันต่อเถอะ”

“……”

รอยยิ้มที่ผมแสดงออกมานั้นไม่ใช่รอยยิ้มที่มาจากความสุข แต่เป็นรอยยิ้มที่ใคร ๆ ก็รู้ว่านั่นคือการฝืนยิ้มออกมา ผมจงใจเน้นอารมณ์นี้มากเพื่อที่จะหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งของความรู้สึกผิดลงไปในตัวพวกมัน

มีนักผจญภัยคนหนึ่งยกมือขึ้นมาทำเป็นกระแอมไอ

“ฮะแฮ่ม เรื่องนั้น เอ่อ จริง ๆ แล้วพวกเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรีบอะไรเท่าไหร่”

“นั่นสินะ คลังสมบัติเองก็ใช่ว่าจะมีขางอกออกมาแล้ววิ่งหนีไปเองได้เสียหน่อย”

“ในเมื่อขาของท่านจอมมารเจ็บถึงขนาดนี้ เราก็ไปกันช้า ๆ เถอะ ขนาดท่านเองยังบอกเลยว่าที่นี่ไม่มีปีศาจตนอื่นแล้ว”

บรรยากาศรอบ ๆ เริ่มผ่อนคลายลง

มีคนเคยบอกว่าสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวที่สุดบนโลกนี้คือมนุษย์ แต่ผมกลับคิดตรงกันข้าม มนุษย์นี่แหละคือสัตว์ที่ผมอยุ่ด้วยแล้วอุ่นใจที่สุด

ผมไม่สามารถที่จะหลอกหมีหรือหมูป่าได้ ถ้าคนอ่อนแออย่างผมไปเจอกับพวกมันเข้าก็มีแต่ตายสถานเดียว

แต่มนุษย์

มนุษย์สามารถหลอกใช้ได้

ขอเพียงมีฝีมือ คุณเองเองก็สามารถเล่นกับจิตใจของผู้อื่นได้

‘ไอ้ลูกชาย’

‘แกมันเป็นปีศาจยิ่งกว่าพ่อซะอีก’

พ่อของผมพูดถูก

ถึงผมไม่อยากจะยอมรับก็เถอะ แต่ผมก็มีความสามารถในการหลอกลวงคนอื่นจริง ๆ

โดยส่วนตัว ผมไม่ค่อยอยากได้ความสามารถแบบนี้ซักเท่าไหร่ เพราะการทำให้คนอื่นเชื่อใจในตัวผมด้วยความจริงใจมันน่าสนใจกว่าทำให้เชื่อใจจากเรื่องโกหกเป็นไหน ๆ

ดังนั้นผมจะพยายามไม่หลอกลวงคนอื่นยกเว้นในกรณีว่าผมกำลังรู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในอันตราย เพราะการเก่งในด้านการหลอกลวงผู้อื่นน่ะน่ะ มันไม่ใช่เรื่องที่น่าเอามาอวดเลยซักนิด

ซึ่งตอนนี้ก็ยังคงแบบนั้น

“อ๊ะ แต่ว่า”

ถ้าพวกนักผจญภัยพวกนี้ไม่ข่มขู่จะเอาชีวิตผม

ถ้าพวกมันเข้าหาผมด้วยความสุภาพมากกว่านี้อีกนิด

ผมก็คงจะไม่ต้องเผยเขี้ยวของตัวเองออกมา

“ทุกท่าน ถ้าพวกเราเสียเวลามากเกินไปล่ะก็ นักผจญภัยกลุ่มอื่นก็อาจจะมาถึงก่อนก็ได้นะ”

“อะไรนะ?”

“ก็อย่างที่ทุกคนทราบดีว่าตอนนี้ในปราสาทของข้าไม่มีแม้แต่ก็อบลินซักตัวเดียว มันคือปราสาทโล่ง ๆ ดี ๆ นี่เอง และนักผจญภัยกลุ่มอื่นก็คงจะเล็งที่ขุมสมบัติของที่นี่เหมือนกัน นี่คงต้องลำบากพวกเจ้าแล้ว…”

นักผจญภัยต่างมองหน้ากันด้วยท่าทางเลิกลัก

เพราะที่ปราสาทแห่งนี้ไม่มีมอนสเตอร์หลงเหลืออยู่อีกแล้ว ถึงต่อให้มีเหลือ คนพวกนี้ก็สามารถใช้ผมเป็นตัวประกันไล่พวกมันออกไปได้ แต่ว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งที่อันตรายกว่าเหล่ามอนสเตอร์อยู่

นั่นคือมนุษย์ด้วยกัน

เหล่านักผจญภัยต่างก็ต้องแข่งขันกันเองอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นสมบัติที่ซ่อนอยู่ในปราสาทของจอมมาร หรือค่าหัวของตัวจอมมารเอง…… ไม่ว่าใครก็อยากจะได้ส่วนแบ่งกันทั้งนั้น ถึงแม้จะต้องฆ่ามนุษย์ด้วยกันก็ตามที

ใน สิ่งที่ผู้กล้าต้องต่อสู้ด้วยก็ไม่ได้มีแค่พวกปีศาจเท่านั้น แต่ยังต้องต่อสู้กับกลุ่มนักผจญภัยจำนวนมากมายที่พยายามโจมตีผู้กล้าเพื่อปล้นชิงสมบัติ พวกนี้ก็แค่ใช้ชื่อของนักผจญภัยบังหน้า แต่โดยเนื้อแท้แล้วก็ไม่ได้ต่างอะไรจากพวกโจรเลย

“บัดซบเอ้ย ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเลย”

“มันก็ยังไม่แน่ซักหน่อยว่าจะมีนักผจญภัยกลุ่มอื่นมาด้วย”

ทุกคนเริ่มทำหน้านิ่วคิ้วขมวด หลงเชื่อคำโกหกของผมเข้าไปเต็ม ๆ

“เจ้าโง่ เมื่อกี้นี้ไม่ได้ยินหรือไงว่าก่อนหน้าพวกเรามีกลุ่มอื่นเข้ามาโจมตีที่นี่ถึง 3 กลุ่มแล้ว? ไอ้พวกหมาป่าหิวโซกลุ่มอื่นที่ได้ยินเรื่องนี้เหมือนกับพวกเรายังไงก็ต้องมาแน่”

“บัดซบ บัดซบเอ้ย…… นี่พวกเราเพิ่งจะจับจอมมารได้แท้ ๆ แล้วนี่พวกเราก็ต้องมาเสี่ยงชีวิตสู้กับนักผจญภัยกลุ่มอื่นต่องั้นเรอะ? นี่มันไม่ตลกเลยซักนิด”

“ไอ้พวกลูกหมาเอ้ย คิดรึว่าพวกเราจะยอมยกจอมมารให้กับพวกมันง่าย ๆ “

ในหมู่นักผจญภัยเอง ก็มีคนประเภทที่ออกจากบ้านเกิดของตัวเองเป็นครั้งแรกเพราะหวังรวยทางลัดเหมือนกัน ซึ่งคนประเภทนี้น่ะ ถ้าลองเห็นโอกาสที่จะทำให้ตัวเองร่ำรวยแล้วล่ะก็ ยังไงก็เก็บซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่

“ทุกท่าน”

ผมพูดด้วยเสียงที่สงบนิ่ง และสายตาของทุกคนกลับมาอยู่ที่ผมอีกครั้ง

“ในตอนนี้ นักผจญภัยกลุ่มอื่นอาจกำลังเข้าใกล้พวกเรามากขึ้นทุกที ก่อนอื่นข้าคิดว่าพวกเราทุกคนควรจะมุ่งหน้าไปยังคลังสมบัติก่อน ส่วนเรื่องอื่น ๆ ก็ค่อย ๆ ปรึกษากันระหว่างทางดีไหม? ตอนนี้พวกเรามีเวลาเหลือไม่มากนักแล้ว”

ทุกคนต่างมองหน้ากันและพยักหน้า

“ท่านจอมมารพูดได้ถูกต้อง พวกเรามุ่งหน้าไปยังคลังสมบัติกันก่อนเถอะ โอ้!

“ออกเดินทางกันเถอะ! ถ้างานนี้ไม่ได้แผลซักแผลสองแผล พวกเราคงไม่มีหน้ากลับไปที่เมืองจาวเซนแน่”

แล้วเหล่านักผจญภัยก็ออกเดินทางต่อพร้อมเสียงตะโกนอันดัง

ดี

สำหรับตอนนี้แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

หลังจากที่ผมมอบคำแนะนำที่ฟังดูดีให้ ถึงพวกนี้จะยังไม่ถึงขั้นเลิกระแวงจอมมาร ดันทาเลี่ยน ก็จริง แต่อย่างน้อย ๆ พวกนี้ก็เลิกมองเห็นผมเป็น ‘ศัตรู’ ไปแล้ว ค่าความชอบก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย นั่นเป็นสัญญาณที่ดี……

“เจ้าหน้าใหม่ แกแบกท่านจอมมารขึ้นหลังแกดีกว่าพวกเราจะได้ไปได้เร็วขึ้น”

“รับทราบ หัวหน้า!”

เจ้าหน้าใหม่แบกผมขึ้นหลังอย่างดี

“อ๊ะ ขอบใจนายมากนะ”

“นี่ปกติท่านกินอะไรถึงได้ตัวเบาขนาดนี้เนี่ย? ข้างนอกท่านก็ดูปกติดีอยู่หรอกแต่นี่มันเบาจนเหมือนกับว่าข้างในตัวมันไม่มีอะไรอย่างนั้นแหละ”

เจ้าหน้าใหม่แบกผมขึ้นหลังแล้วก็เดินด้วยท่าทางสบาย ๆ เหมือนกับว่าผมไม่มีน้ำหนักยังไรอย่างนั้น ไม่นึกว่าอยู่ ๆ ก็มีคนช่วยแบกผมไปแฮะ อืม แบบนี้ดีกว่าถูกบังคับให้ผมต้องรีบเดินต่อเยอะเลย

ตอนนี้จะบอกว่าผมได้ผ่านอุปสรรค์ที่สองมาแล้วก็ได้

ตัวของผมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการเปิดคลังสมบัติ พวกมันจึงจำเป็นต้องเก็บผมเอาไว้ก่อน ยิ่งไปกว่านั้น ผมยังทำให้พวกมันมีความรู้สึกที่ดีกับผม แถมยังสร้างความรู้สึกปลอม ๆ ว่าผมอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกมันอีก ทั้งหมดนี้ถือเป็นเรื่องดี แต่ว่ามันก็ยังมีปัญหาเหลืออยู่อีก 2 ปัญหา

ปัญหาแรกคือผมไม่รู้ว่ามันจะมีสมบัติอยู่จริงรึเปล่า ถ้าพวกมันรู้เมื่อไหร่ว่าผมโกหกพวกมันล่ะก็ ต่อให้ผมเพิ่มแต้มค่าความชอบเอาไว้แค่ไหน พวกมันก็จะฆ่าผมอยู่ดี

ปัญหาที่สองคือต้องหาวิธีกำจัดพวกนักผจญภัยพวกนี้ให้ได้ ตราบใดที่ผมยังแก้ปัญหาสองปัญหานี้ไม่ได้อนาคตของผมก็มีแต่จะต้องตายเท่านั้น

‘สถานะพื้นฐาน’

ผมขยับปากเล็กน้อยส่งเสียงราวกับกระซิบออกมา

ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แต่ผมก็ยังทดลองพูดต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไม่ย่อท้อ

‘สถานะดันเจี้ยน, สถานการณ์ของดันเจี้ยน…. อืม พวกนี้ก็ไม่ใช่แฮะ’

ตอนนี้ผมน่าจะมีความสามารถในการเข้าถึงระบบของเกมอยู่

ถึงนี่จะเป็นแค่การเดาเอาก็เถอะ แต่นอกจากหน้าต่างค่าความชอบแล้วผมก็ควรที่จะเปิดเรียกหน้าต่างของสถานะอื่น ๆ ขึ้นมาดูได้เหมือนกัน อย่างเช่น แผนที่ของปราสาทอะไรพวกนี้ ตอนนี้ผมกำลังพยายามหาคีย์เวริดอยู่

และในที่สุดการเดาสุ่มของผมก็ผลิดอกออกผล

‘สถานะปราสาทจอมมาร’

มีเสียง ‘ตึ้ง~’ ดังขึ้นในหัวของผม

จากนั้นตัวหนังสือสีขาวก็ลอยขึ้นมาปรากฎทางด้านหน้า

ปราสาทของจอมมารดันทาเลี่ยน

ประเภท: ถ้ำ

ฉายา: ไม่มี

ระดับ: F

สถานะพิเศษ: ไม่มี

กองกำลังทหาร: ไม่มี

ประชาชน: ไม่มี

สมบัติ: 100 ลิบรา

※ปราสาทอยู่ในสภาพซากปรักหักพัง เด็กรอบ ๆ บริเวณต่างเรียกสถานที่เแห่งนี้ว่าสนามเด็กเล่นแสนสนุก ที่นี่ตกอยู่ในสภาพอันตรายที่อาจจะถูกพิชิตได้ตลอดเวลา กรุณาเปิด ‘หน้าจอจัดจ้าง’ และจ้างกองกำลังทหารโดยทันที

อย่างนั้นหรอกหรือ สุดท้ายแล้วก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ

เคยหวังเอาไว้ว่าที่นี่อาจจะมีกองกำลังทหารอะไรหลงเหลืออยู่บ้าง แต่มันก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่จริง ๆ นี่มันมันไม่ต่างอะไรจากสนามเด็กเล่นจริง ๆ ด้วย

แต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกดีใจที่ยังมีสมบัติเหลืออยู่บ้าง

‘ลิบรา’ เป็นชื่อเรียกของสกุลเงินในเกม มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมรู้สึกเบื่อ ๆ ก็เลยทำการคำนวณเปรียบเทียบค่าเงินออกมาดู และก็ได้ออกมาว่าในสกุลเงินเกาหลี 1 ลิบรามีค่าประมาณ 500,000 วอน* (บันทึกผู้แปล: ราว ๆ 15,698 บาทไทย)

ตอนนี้ผมมี 100 ลิบรา

นั่นก็คือ ตอนนี้ผมมีเงินอยู่ราว ๆ 50,000,000 วอน (บันทึกผู้แปล: 1,569,826 บาท)

ผมจะสามารถไปได้ไกลแค่ไหนด้วยเงินก้อนนี้นะ

หลังจากทำการค้นหาระบบทุกอย่างในเกม ในที่สุดผมก็เจอกับสิ่งที่ผมต้องการ

‘หน้าจอจัดจ้าง’

มีตัวหนังสือตัวจาง ๆ ปรากฎขึ้นมาด้านหน้าผม

มอนสเตอร์

ความอึด

พลังโจมตี

พลังป้องกัน

ราคา

สไลม์

F

F

E

4 ลิบรา

ภูตอ่อนแอ

F

E

F

8 ลิบรา

ก็อบลินหนีทัพ

E

E

F

12 ลิบรา

โกเลมอ่อนแอ

D

D

C

20 ลิบรา

……

กระจอกแท้

แถมยังแพงอีกต่างหาก

ไม่ว่าจะดูยังไง สไลม์ตัวเดียวราคาตั้งสองแสนวอนเนี่ยมันโขกราคากันเห็น ๆ สมัยนี้นี่เงินสองแสนวอนนี่ซื้อวัวสุขภาพดีได้ตั้งสองตัวเลยนะเฟ้ย วัวตัวเต็มวัยด้วยนะ ไม่ใช่แค่ลูกวัว แล้วไอ้สไลม์ไร้ประโยชน์นี่มันจะมีราคาเป็นสองเท่าของวัวที่สามารถทำงานในฟาร์มได้ไงฟระ?

ดูท่า ราคามันจะแพงขึ้นตามระดับความยากของเกมแหง ๆ

‘ชิ แบบนี้เสียแผนที่วางไว้หมด……’

ตอนแรก ผมวางแผนไว้ว่าจะทุ่มเงินทั้งหมดที่มีทำการจ้างมอนสเตอร์ออกมาเยอะ ๆ แต่ตอนนี้ต่อให้ผมใช้เงินทั้งหมดจ้างก็อบลินหนีทัพ 8 ตัวออกมา โอกาสที่จะชนะพวกนักผจญภัยพวกนี้ได้มันจะมีซักเท่าไหร่กัน

ไม่สิ บางทีคนพวกนี้อาจจะกระจอกกว่าที่ผมคิดเอาไว้ก็ได้ ลองทดสอบดูดีไหมนะ?

‘สถานะ’

ผมพูดในใจในขณะที่มองไปยังนักผจญภัย

[ค่าความชอบของคุณกับเป้าหมายมีไม่เพียงพอ]

[สามารถดูได้เพียงแค่ค่าสถานะพื้นฐานเท่านั้น]

ทันทีที่มีเสียง ‘ตึ้ง~’ แบบเดียวกับเมื่อกี้ ก็มีหน้าต่างคำพูดปรากฎขึ้นมาบนหัวของนักผจญภัย

ผมเดาว่าถ้าอยากเห็นรายละเอียดที่ชัดเจนกว่านี้คงต้องเพิ่มค่าความชอบให้มากกว่านี้ก่อน

ชื่อ: ริฟ ฮอฟแมน

ความอึด: E

พลังโจมตี: E

พลังป้องกัน: E

ค่าความชอบ: 6

“อึก”

ผมถึงกับลืมตัวส่งเสียงร้องออกมา

แข็งแกร่งกว่าก็อบลินนิดหน่อยงั้นเหรอ

เจ้าหมอนี่น่ะเป็นแค่พวกกระจอกแน่นอน แต่ว่าความแตกต่างเล็กน้อยนั่นก็ยังเป็นปัญหาใหญ่ของผมอยู่ดี พวกนักผจญภัยคนอื่นเองก็มีค่าสถานะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับหมอนี่ ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ ต่อให้ผมจ้างก็อบลินออกมาทั้งหมด 8 ตัว โอกาสที่จะเอาชนะนักผจญภัยพวกนี้ได้อย่างแน่นอนนั้นมันก็ยังอยู่ห่างไกลนัก

จะทำยังไงดี

ในเมื่อไม่รู้ว่าจะชนะหรือแพ้ จะเดิมพันชีวิตเอาไว้กับโชคชะตาดีมั้ยนะ? จะเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงมันก็ไม่ใช่สไตล์ของผมซะด้วย ปกติแล้วผมชอบที่จะเพิ่มโอกาสเอาชนะของผมก่อนที่จะเริ่มต่อสู้มากกว่า

ในระหว่างที่ผมกำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเองนั้นเอง

“พวกเราใกล้จะถึงแล้ว!”

นักผจญภัยคนหนึ่งตะโกนออกมา

ตอนนี้พวกเราใกล้จะถึงห้องของจอมมารแล้ว

“เฮ้อ ทำไมถ้ำนี้มันถึงได้ใหญ่แบบนี้นะ?”

“แกเพิ่งเคยมาปราสาทของพวกจอมมารเป็นครั้งแรกล่ะสิ ที่นี่ยังดีนะ ปกติปราสาทจอมมารเนี่ยจะมีแต่กับดักเต็มไปหมด กว่าจะเดินกันได้แต่ละก้าวนี่นานสุด ๆ เลยล่ะ”

พวกนักผจญภัยเริ่มส่งเสียงดังคุยกันแล้ว

มีเวลาเหลือไม่มาก ถึงเวลาที่ผมจำเป็นจะต้องตัดสินใจแล้ว

ผมควรจะใช้จำนวนเข้าข่มโดยการเรียกฝูงสไลม์กับภูตออกมาดีไหม? หรือผมควรจะเรียกโกเล็มที่เป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่งที่สุดมาลอบโจมตีพวกมันดี? ไม่ได้ ยังไงสองตัวเลือกนี้ก็ยังห่างไกลจากคำว่า ‘ชนะแน่นอน’ นัก ถ้าผมต้องปล่อยให้ตัวเองต้องเสี่ยงอันตรายล่ะก็……

……เอาเถอะ นั่นคงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้วล่ะนะ

“พวกเรา! เข้าไปข้างในกันเลย”

พวกนักผจญภัยต่างกรูกันเข้าไปในห้อง

ผมกัดริมฝีปากตัวเองอย่างแรงจนปากฉีกและมีเลือดไหลเข้าไปในปาก

ถ้าให้ผมประเมินโอกาสสำเร็จของผมล่ะก็ ก็คงซัก 70% ถึงมันจะต่ำจนน่าสงเพชสำหรับการพนันที่มีชีวิตตัวเองเป็นเดิมพันก็เถอะ แต่ยังไงก็ตาม นี่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่มีแล้ว

ผมเคยคิดว่าผมจะได้เป็นอิสระหลังจากที่พ่อผมตายไป ผมวิ่งหนีจากทุกอย่างเพียงเพราะหวังว่าผมจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข

ผมมาได้ถึงขนาดนี้แล้วแต่กลับจะมาบอกว่าชีวิตผมกำลังตกอยู่ในอันตรายอีกแล้วงั้นเหรอ? อยู่ ๆ ก็มาโผล่ที่โลกแปลก ๆ แล้วก็บอกให้ผมตายไปซะโดยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นซักนิดเพียงเพราะว่าผมได้กลายเป็นจอมมารเนี่ยนะ? อย่ามากพูดอะไรบ้า ๆ นะเฟ้ย!

จะเป็นจอมมารหรืออะไรก็ช่างมันสิวะ แต่ถ้ามันมีพวกที่คิดจะปิดฉากชีวิตเรื่อยเปื่อยของผมลงล่ะก็ ผมก็พร้อมจะเผชิญหน้ากับพวกมันโดยไม่มีคำว่าปราณีใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะใช้วิธีอะไรก็ตามที ผมก็จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป……