ตอนที่ 7

Dungeon Defence

ห้องของจอมมารตกอยู่สภาพที่เละเทะจนไม่เหลือชิ้นดี

“จะมีสมบัติอยู่ในห้องนี้จริงหรือ?”

ห้องนี้ตกอยู่ในสภาพที่ดูเหมือนว่าจะถูกปล้นสะดมมาหลายต่อหลายครั้งเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเตียงก็ดี เก้าอี้ก็ดี เครื่องเรือนที่ทำจากไม้ทั้งหมดถูกพลิกหาจนหมดแล้ว ดูยังไงก็ไม่น่าเชื่อซักนิดว่าจะยังมีสมบัติซ่อนอยู่ในห้องที่ไม่เหลือชิ้นดีห้องนี้อีก

“ท่านจอมมาร ท่านรีบเปิดไอ้เจ้า มูลากโทง อะไรนั่นเร็วเข้าเถอะ”

ริฟ หัวหน้าของพวกนักผจญภัยก็พูดขึ้นมา

ผมพยักหน้ากลับไป

“ได้ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไป ข้ารู้ดีอยู่…… อ้าก!”

ผมจงใจเอาข้อเท้าข้างที่หักลงพื้นก่อน จากนั้นก็แกล้งทำเป็นกลิ้งตกลงมาจากหลังของเจ้าหน้าใหม่

เหล่านักผจญภัยพากันแตกตื่น

“หวา นี่ท่านเป็นอะไรรึเปล่า?”

“เฮ้ย รีบไปพยุงท่านจอมมารเร็วเข้า!”

“ขะ…ข้าไม่เป็นไร คะ…แค่นี้สบายมาก”

ผมลุกขึ้นยืนด้วยขาที่กำลังสั่นเทา สาระสำคัญของการแสดงนี้คือการเรียกความเห็นอกเห็นใจจากเหล่านักผจญภัย ดังนั้นถ้าผมไปยืมไหล่ของคนอื่นในการลุกขึ้นยืนล่ะก็ อาจจะต้องเสี่ยงกับการถูกเห็นว่าเป็นคนเจ็บที่น่ารำคาญแทนได้

ผมเขย่งตัวไปที่กำแพง

“ทุกท่าน คลังสมบัติอยู่ที่นี่แหละ”

“เอ๋ ตรงนั้นข้าเห็นแต่กำแพงเปล่า ๆ ไม่ใช่หรือ?”

“ที่นี่มีรอยแกะสลักที่มีแต่จอมมารเท่านั้นถึงจะเห็นได้ ถ้าเอามือวางไว้บนรอยแกะสลักนี้แล้วท่องคาถาพิเศษออกไปล่ะก็ คลังสมบัติก็จะถูกเปิดออก”

ผมพูดโกหกออกไปอย่างลื่นไหล

ส่วนเหล่านักผจญภัยต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจปรากฎขึ้นมาบนใบหน้า

“อ้อ เวทมนตร์ สินะ”

นักผจญภัยมือใหม่ส่วนมากแทบจะไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับเวทมตร์เลย เดิมทีนักผจญภัยก็มาจากชาวนาธรรมดาหรือไม่ก็คนตัดไม้กันทั้งนั้น คนพวกนี้ส่วนมากไม่เคยมีโอกาสได้เห็นเวทมนตร์จริง ๆ มาก่อนเลยในชีวิต ดังนั้นถ้าผมบอกว่ามันคือเวทมนตร์ พวกนี้ก็ได้แต่พยักหน้าตามพร้อมกับพูดว่า “งั้นหรือ” เท่านั้นเอง

จากนั้นผมพูดขอร้องออกไปทั้ง ๆ ที่แสดงสีหน้าเจ็บปวด

“ทุกท่าน ต้องขอโทษด้วย แต่ช่วยออกไปห่างจากตัวข้าซัก 10 ก้าวก่อนได้ไหม”

“ทำไม?”

“มีแต่จอมมารเท่านั้นที่จะสามารถปลดเวทมตร์ที่ผนึกคลังสมบัติอยู่ได้ แต่ถ้ารอบ ๆ บริเวณมีคนนอกอยู่ด้วยก็จะปลดผนึกไม่สำเร็จ และถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาด อย่างเช่นกลไกป้องกันเกิดทำงานขึ้นพวกนายอาจจะได้รับบาดเจ็บไปด้วยก็ได้

“กลไกป้องกันงั้นเหรอ……”

“ในกรณีที่แย่ที่สุด คลังสมบัติก็จะถูกปิดผนึกไปตลอดกาล”

ทันทีที่ได้ยินเรื่องนี้สีหน้าของเหล่านักผจญภัยก็ซีดเป็นไก่ต้ม

นักผจญภัยทั้งสิบที่ตอนนี้กลายเป็นพวกหิวเงินจนหน้ามืดไปแล้ว ทันทีที่ได้ยินคำขู่ว่าอาจจะอดสมบัติได้ของผมเข้าก็รีบทำตามคำแนะนำของผมด้วยการก็ยืนเรียงกันเป็นแถวแล้วถอยออกไปทันที

หนึ่งก้าว สองก้าว

หลังจากที่ถอยไปได้สิบก้าวเป๊ะ พวกนักผจญภัยก็เอ่ยปากถามอีกครั้ง

“แบบนี้เป็นยังไงบ้าง สิบก้าวตามที่บอกแล้ว”

“……”

ทีเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ล่ะตรงเป็นไม้บรรทัดเชียวนะไอ้พวกนี้นี่

ผมรู้สึกทึ่ง แต่เพื่อรักษาการแสดงให้ดำเนินต่อไป ผมจึงรักษารอยยิ้มใบของตัวเองเอาไว้อย่างดี

“สิบก้าวพอดิบพอดี ไม่มากหรือไม่น้อยเกินไป ด้วยระยะชนาดนั้นทุกคนคงจะไม่โดนผลของเวทมตร์เป็นแน่ ทำได้ดีมากทุกท่าน

พวกนักผจญภัยต่างฉีกยิ้มกว้าง

“เรื่องง่าย ๆ แค่นี้เอง”

“ข้าเนี่ยเป็นพวกชอบทำอะไรสมบูรณ์แบบอยู่เสมอล่ะ”

ดูเหมือนว่าพวกมันจะเชื่อว่าผมพูดชมพวกมันจริง ๆ

ผมล่ะต้องรู้สึกตกตะลึงทุกครั้งที่ผมได้เจอกับพวกมนุษย์ที่หลงตัวเองแบบพวกนี้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามนุษย์ที่มีสมองแบบเจ้าพวกนี้จะสามารถแยกตัวมาจาก Homo sapiens sapiens สายพันธุ์อื่นมาได้

แบบนี้นี่ต้องถือว่าเป็นปาฎิหาริย์รึเปล่านะ?

ผมหันหลังให้กับพวกมันแล้วกันหน้าเข้าหากำแพง

“ข้ากำลังจะร่ายเวทมนตร์แล้ว ทุกท่าน โปรดเงียบเสียงด้วย!”

แน่นอนว่ามันไม่มีรอยแกะอะไรนั่นสลักบนกำแพงหรอก และเรื่องที่มีคลังสมบัติอยู่ที่นี่ก็เป็นเรื่องเพ้อเจ้อเหลวไหลเท่านั้น ทุกอย่างเป็นเรื่องหลอกลวงเหมือนกับที่ผมได้พูดมาตลอด

แต่มันมีสิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อมั่นอยู่

‘สมบัติของปราสาทจอมมาร’

ตัวอักษรสีขาวปรากฎขึ้นบนผิวกำแพงราบเรียบ

สมบัติของปราสาทจอมมาร

จำนวนที่ต้องการถอน : xxx ลิบรา

มีเงินเหลือทั้งหมดจำนวน: 100 ลิบรา

※คำเตือน ถ้าถอนเงินเป็นจำนวนมากเกินไปในครั้งเดียว ท่านอาจตกอยุ่ในสภาพล้มละลายได้

นี่คือระบบหนึ่งของเกมที่ผมค้นพบเมื่อสักครู่

ต้องขอบคุณสิทธิ์ของจอมมาร ที่ทำให้ผมสามารถถอนเงินจากที่ไหนและเมื่อไหร่ก้ได้ที่ผมต้องการ ผมแค่ใส่ตัวเลขลงไปทุกอย่างก็เรียบร้อยแล้ว

แต่ว่า ถ้าผมเรียกเงินออกมาง่าย ๆ ให้พวกนี้มันเห็นก็แย่น่ะสิ

มันต้องมีการแสดงเล็ก ๆ น้อย ๆ กันก่อน

จากนั้นก็ต้องเหยาะเครื่องปรุงตามให้การแสดงมันซาบซ่าแล้วห่อของขวัญเป็นการปิดท้าย

ผมสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ แล้วก็ตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจังที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้

“มหาปรัชญาปาระมิตาหฤทัยสูตรัม……!”

…… ……

…… ผมตะโกนคำพวกนี้ออกไปจริง ๆ นะ

ย้อนกลับไปตอนที่ผมเขียนคำว่า มินลัคดง ลงบนพื้น คำพูดของผมในตอนนั้นถูกแปลออกไปอย่างแน่นอน แต่ว่าพวกนักผจญภัยต่างก็ไม่สามารถออกเสียง ‘มินลัคดง’ ได้ แสดงว่าคำพูดของผมนั้นไม่ได้ถูกแปลออกไปจนหมดทุกคำเสียทีเดียว

“คัมภีรายาง ปรัชญาปารมิตายาง จารยาง จะรตุกามะห์ กะถัง ศิกษิตะวยะห์ เอวะมุกเต อารยาวโลกิเตศวะโร โพธิสัตตโว มหาสัตตวะห์ อายุษมันตัง ศาริปุตระเม……” (บันทึกผู้แปล: ตัวเอกกำลังท่องบทปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตรอยู่)

ถ้าให้ยกตัวอย่างของคำพูดที่ไม่สามารถถูกแปลออกมาเป็นภาษาในโลกนี้ ก็จะเป็นพวกสูตรทางเคมีทั้งหลายเช่น H2O หรือคำศัพท์ทางวิทย์ศาสตร์อย่าง ‘การเสียรูป(Deformation)’ ก็ไม่สามารถแปลถูกออกไป นอกจากนี้ก็ยังจะมีพวกคำที่ตัวผมเองรับรู้ว่ามันเป็นคำนามก็จะไม่ถูกแปลออกไปเช่นกัน นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกนักผจญภัยถึงไม่รู้ว่า มินลัคดง คืออะไร แน่นอนว่าบทสวดอย่างปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร ก็อยู่ในจำพวกนี้

ทั้งที่ความจริงแล้วคำว่า มินลัค มีความหมายว่า ‘ความสุขของประชาชน’ แท้ ๆ แต่กลับไม่ถูกแปลออกไป ที่จริงความหมายของ ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร ก็สามารถเข้าใจได้เหมือนกัน แต่ไม่ว่ายังไงคนพวกนี้ก็ไม่สามารถรู้ความหมายของมันได้

เหตุผลของเรื่องนี้ก็คือในขณะที่ผมพูดคำเหล่านี้ออกไปผมไม่ได้คิดถึงความหมายของพวกมันตามไปด้วย

ดังนั้น

“นะ…นี่คือภาษาของปีศาจหรือนี่?”

“หมอนี่พูดอะไรก็ไม่รู้ล่ะ แต่ฟังดูน่ากลัวชะมัดเลย”

“รู้สึกเหมือนหัวใจของตัวเองกำลังสั่นด้วยความกลัวเลย……”

สำหรับพวกนักผจญภัยแล้ว ดูเหมือนจะคิดว่าผมกำลังร่ายเวทมนตร์ที่ไม่รู้จักอยู่จริง ๆ

“ตะทะโวจัต-ยะห์ กัศจิจฉาริปุตระ กุละปุโตร วะ กุละทูหิตา วา คัมภีรายาง ปรัชญาปารมิตายาง จะรยาง จะรตุกามะห์ เตไนวัง……”

ในขณะที่ปากผมกำลังท่องมนต์อยู่นั้นเอง ผมก็ตั้งใจใช้สายตาจ้องไปที่หน้าต่างสมบัติของปราสาทจอมมารไปด้วย

ผมค่อย ๆ กะเวลาดึงเงินออกมาอย่างช้า ๆ

สมบัติของปราสาทจอมมาร

จำนวนที่ต้องการถอน :79 ลิบรา

มีเงินเหลือทั้งหมดจำนวน: 21 ลิบรา

※คำเตือน ถ้าถอนเงินเป็นจำนวนมากเกินไปในครั้งเดียว ท่านอาจตกอยุ่ในสภาพล้มละลายได้

ผมตัดสินใจถอนออกมาเป็นจำนวน 8 ใน 10 ของเงินทั้งหมดที่มี

แต่ถ้าผมถอนออกมาเป็นจำนวนเต็มอย่าง 80 ลิบรา มันก็คงจะดูน่าสงสัยไปหน่อย ดังนั้นผมเลยเลือกถอนออกมาแค่ 79 ลิบรา

“อิติ ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตรัม สะมาปตัมฯฯ—!”

ผมชูสองแขนขึ้นพร้อมกับตะโกนออกมาอย่างอลังการ

ทันทีที่ผมพูดคำสุดท้ายเสร็จ ผมก็คิดคำว่า ‘ถอนเงิน’ ในใจ

ทันใดนั้นเองกองเหรียญเงินก็ปรากฎขึ้นบนอากาศแล้วร่วงหล่นลงมา

“ระ-เหรียญเงิน! เหรียญเงินล่ะ!”

“ทั้งหมดนี้มันมีเท่าไหร่กันเนี่ย!?”

“เป็นเวทมนตร์จริง ๆ ด้วย!”

เหรียญทอง 1 เหรียญมีค่าเท่ากับ 5 เหรียญเงิน ดังนั้นจึงมีเหรียญเงินทั้งหมด 395 เหรียญที่ตกลงมา รายได้เฉลี่ยทั่วไปของชาวนาในเกม อยู่ราว ๆ 15 เหรียญเงินต่อปี

สำหรับนักผจญภัยแล้วนี่ก็เสมือนกับการถูกหวยดี ๆ นี่เอง

“โอ! โอววววว……!

เหรียญเงินจำนวนมากตกลงมากองอยู่บนพื้น

สมบัติ 80% ของผมออกกำลังหลั่งไหลออกมาภายในพริบตา

คนพวกนี้คงจะรู้สึกเร่าร้อนจากการที่ได้เห็นเงินตกลงมาเหมือนห่าฝนตรงหน้ากระมั้ง

“เฮ้ย พวกแกคงไม่ได้ลืมว่าพวกเราจะแบ่งทั้งหมดนี่คนละเท่า ๆ กันใช่มั้ย?”

“แน่นอนอยู่แล้ว ใครหน้าไหนที่คิดจะเปลี่ยนคำพูดตอนนี้ล่ะก็ ข้าจะฆ่ามันเอง!”

เหล่านักผจญภัยพากันจ้องมองกองเหรียญเงินด้านหน้าด้วยสายตาแดงก่ำ

กลิ่นของความโลภลอยฟุ้งออกมาจากปากของพวกมัน

สมบัติของปราสาทจอมมาร

จำนวนที่ต้องการถอน :xx ลิบรา

มีเงินเหลือทั้งหมดจำนวน: 21 ลิบรา

※คำเตือน ถ้าถอนเงินเป็นจำนวนมากเกินไปในครั้งเดียว ท่านอาจตกอยุ่ในสภาพล้มละลายได้

ทันทีที่เหรียญเงินเหรียญสุดท้ายตกลงมา

นักผจญภัยต่างก็ทำท่าพยายามพุ่งออกมาข้างข้างหน้าราวกับฝูงหมาป่าไม่มีผิด

ช่างเป็นพวกที่ใจร้อนเสียจริง

ผมจ้องรอโอกาสที่พวกมันกำลังจะก้าวเท้าออกมาเป็นก้าวแรก— ยกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว

“อย่าเพิ่งเข้ามาตอนนี้! ไม่อย่างนั้นจะถูกคำสาป!”

“คะ…คำสาป?”

พวกมันหยุดลงทันทีที่ได้ยินคำที่น่ากลัวคำนี้

ผมคุกเข่าลงกับพื้น

ทำท่าราวกับว่ากำลังเจ็บปวดอย่างรุนแรง จากนั้นก็ร้องครวญครางออกมา

“อ้ากกกก……!”

ผมทำหน้าให้บิดเบี้ยวที่สุดเท่าที่จะทำได้

แถมยังทำน้ำลายฟูมปากด้วย

เหล่านักผจญภัยต่างก็พากันรู้สึกหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน

“กะ…เกิดอะไรขึ้น!? นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ท่านจอมมาร!?”

“นี่มันเวทมนตร์ดำ! จอมมารต้องคำสาปมนตร์ดำเข้าแล้ว!”

ทุกคนต่างก้าวถอยหลังไปด้วยความกลัว

เพื่อที่จะทำให้การแสดงสมจริงยิ่งขึ้น ผมจึงกระแทกข้อเท้าข้างที่แตกไปแล้วของผมกับพื้น พร้อมกับส่งเสียงร้องตะโกนโหยหวนถ่ายทอดความเจ็บปวดนั้นออกมาอย่างสุดเสียง

“อ๊าาา— อ้ากกกกกกกกกกก!”

ผมร้องตะโกนออกไปพร้อมเอามือปิดหน้าปิดตาตัวเอง ซึ่งในระหว่างนั้นแผมก็แอบมองพวกนักผจญภัยผ่านช่องว่างระหว่างนิ้วมือผมไปด้วย พวกหน้ามีสีหน้าซีดเผือก บางคนถึงกับพยายามหันหลังวิ่งหนีด้วยซ้ำ ดูท่าการแสดงขั้นสุดยอดของผมจะได้ผลแล้ว

“พระเจ้า……”

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ท่านจอมมารเป็นอะไรหรือเปล่า!?”

มีนักผจญภัยใจกล้าคนหนึ่งพยายามที่จะเข้ามาดูอาการผม แต่ผมรีบจัดการห้ามหมอนั่นเอาไว้ก่อน

“ถะ…ถอยไป! นี่เป็นค่าตอบแทนของการใช้เวทมนตร์ดำ…… ถ้าเข้ามาใกล้ล่ะก็ อ๊ากกก! ก็จะต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกับข้า…… อึก อ้ากกก!

“อึ๋ยยย!”

นักผจญภัยคนนั้นรีบหยุดทันที

สำหรับคนพวกนี้ที่เพิ่งจะได้เห็นเหรียญเงินโผล่ออกมาจากอากาศแล้ว ยังไงก็ต้องเชื่อว่าเวทมนตร์ของผมนั้นเป็นของจริงดังนั้นจึงมีเหรืยญโผล่ออกมาจากอากาศได้ และถ้าผมบอกว่าเหรียญที่ผมเรียกออกมาเองพวกนี้มีคำสาปอยู่ พวกมันก็จะทำอะไรได้อีกนอกจากจะต้องเชื่อสิ่งที่ผมบอก

เหล่านักผจญภัยต่างก็เริ่มหันหน้าคุยกัน

“นี่หรือว่าท่าน บอกให้พวกเราเดินถอยไป……ก็ เพื่อความปลอดภัยของพวกเราเองงั้นเหรอ?”

“ทั้ง ๆ ที่เป็นโอกาสกำจัดพวกเราแท้ ๆ …”

ใช่แล้ว

นี่ล่ะคือการตอบสนองที่ผมต้องการ

เพื่อที่จะทำให้แผนของผมสำเร็จขึ้นมาได้ ผมต้องเพิ่มค่าความชอบของพวกมันให้สูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และผมขอถามกับทุกท่านว่าคนเราจะมีความรู้สึกประทับใจที่ล้ำลึกมากที่สุดเมื่อใดงั้นหรือ

ก็เมื่อเวลาที่มีใครบางคนเสียสละเพื่อช่วยเหลือตัวเองไงล่ะ

อย่างเช่นตอนนี้เป็นต้น

“อ้ากกกกกกก!”

ผมทำเป็นบิดตัวด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรงอีกครั้ง

“ดะ…เดี๋ยวสิ ถ้าขีนเป็นแบบนี้ล่ะก็ท่านจอมมารต้องตายแน่! เราไม่เข้าไปช่วยจะดีเหรอ!?”

“เจ้าโง่ ไม่ได้ยินที่ท่านบอกเหรอว่านี่เป็นเวทมนตร์ดำ? แกไม่เคยได้ยินเรื่องที่คนถูกคำสาปแปลก ๆ เข้าจนต้องตายรึไง!?”

“เดลพูดถูกต้องแล้ว สิ่งเดียวที่พวกเราจะทำได้…… ถึงจะน่าเสียดายแต่พวกเราทำได้แต่อดทนรอเท่านั้น”

“บัดซบเอ้ย”

นักผจญภัยบางคนถึงกับหัวเสีย

และตอนนี้เอง ก็มีเสียงของหน้าต่างแจ้งเตือนปรากฎขึ้นดังติดต่อกัน

[การแสดงที่แยบยลดุจปีศาจร้ายของท่านได้ยึดกุมหัวใจของผู้อื่น]

[ค่าความชอบ นักผจญภัย ริฟ เพิ่มขึ้น 15 แต้ม]

[ค่าความชอบ นักผจญภัย เดล เพิ่มขึ้น 13 แต้ม]

[ค่าความชอบ นักผจญภัย เซด เพิ่มขึ้น 19 แต้ม]

สมบูรณ์แบบ

ค่าความชอบที่มีต่อตัวผมพุ่งทะยานขึ้นไปอย่างที่ต้องการ

แต่แค่นี้ยังไม่พอ ผมใช้เล็บมือฉีกผิวหนังบนใบหน้าตัวเองออกมา ฉีกจนเลือดสีแดงฉานของผมมันพุ่งทะลัก มันเจ็บ เจ็บมาก เจ็บอย่างยิ่ง เพียงแต่มันถือเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับชีวิตของตัวผมเอง ผมตะโกนส่งเสียงอันร้องโหยหวนต่อไปไม่หยุด

จนกระทั่งพักใหญ่ ๆ ต่อมา

ผมส่งเสียงหอบหายใจ

“ตอนนี้…ไม่เป็นไรแล้ว…พวกเจ้ามาเก็บเหรียญได้แล้วล่ะ… มันปลอดภัยแล้ว”

“อือ…”

“อะ…อืม”

ท่าทีของพวกมันตอนนี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

ภาพลักษณ์ของเหล่าหมาป่าหิวโซที่คิดแต่จะสวาปามกองเหรียญเงินเมื่อกี้อย่างหน้ามืดตามัวของทุกคนนั้นไม่มีเหลือเลยซักนิด คงเหลือแต่ความหวาดกลัวว่าจะยังมีคำสาปหลงเหลืออยู่บนเหรียญเท่านั้น

“แกไปลองตรวจดูก่อนซิ”

“ไม่ ๆ เขาว่า ‘คนเราควรให้ความเคารพแก่ผู้อาวุโส’ คนที่มีอายุเยอะที่สุดควรจะไปก่อนต่างหาก”

พวกนักผจญภัยเอาแต่โยนกันไปโยนกันมาว่าใครควรจะไปก่อน ไม่มีใครคิดจะออกมาเลยซักคน

ในที่สุด หัวหน้าของพวกมันก็ทนไม่ไหวจนเดินออกมาข้างหน้า

“ห่าเอ้ย! ไม่ว่าหน้าไหนก็เป็นพวกขี้ขลาดกันทั้งนั้น! ถ้าไอ้ของที่ห้อยอยู่ตรงหว่างขามันมีเสียเปล่าแบบนี้ เดี๋ยวข้าช่วยใช้ขวานของข้าสับให้เลยซะดีมั้ย ก่อนหน้านี้ยังทำเป็นปากดีบอกว่าจะพิชิตปราสาทจอมมารกันอยู่เลยแท้ ๆ แล้วสภาพในตอนนี้มันอะไรกัน!”

หัวหน้าของพวกมัน ริฟ ส่งเสียงคำราม

“ส่วนแก ไอ้ตาเดียว เดล นี่แกก็อยู่กับข้ามาตั้ง 2 ปีแล้วจะไปซุกหัวกับพวกเด็กใหม่แบบนั้นทำไม!”

“เอ่อ ก็นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นมนตร์ดำนี่นา”

“ยังจะมาแก้ตัวอีก ไอ้ตัวบัดซบเอ้ย ดูแกซิ ซุกหัวแบบนั้นจนข้าแยกไม่ออกแล้วเนี่ยว่าคนไหนมันเป็นรุ่นพี่ คนไหนมันเป็นเด็กใหม่!”

“งั้นท่านหัวหน้าไปก่อนเลย”

“ใช่ ท่านหัวหน้าไปก่อนเลย”

คนอื่น ๆ ต่างพยักหน้าเห็นด้วย

ริฟ ทำท่าย่นจมูก

“เออ ไม่ต้องบอกข้าก็จะไปอยู่แล้ว ไอ้พวกขี้ขลาดเอ๊ย”

ริฟ เดินตรงเข้าไปที่กองเหรียญเงินด้วยท่าทางองอาจ

พวกนักผจญภัยต่างหันไปซุบซิบกันระหว่างที่เฝ้าดูหัวหน้าของตัวเองเดินเข้าไป

“หัวหน้าทำตัวขี้โอ่อีกแล้ว

“เวลาหัวหน้าจะทำตัวขี้โอ่ทีไร ก็ชอบทำจมูกย่นแบบนี้ล่ะ”

“พวกแกพูดอะไรกัน!?”

ริฟ หันกลับไปจ้องพวกนักผจญภัย เจ้ามนุษย์หน้าหมีนี่เวลาทำหน้าถมึงทึงแล้วหน้าตาเหมือนพวกเผ่าแวนเดิล ของเยอรมันโบราณไม่มีผิด ส่วนพวกที่ถูกจ้องก็ต่างก็หันหน้าหนีแล้วทำเป็นแกล้งผิวปาก

ริฟ หันกลับไปยังกองเหรียญเงินบนพื้นอีกครั้ง

“ฟู่… ฟู่…… ไปล่ะเว้ย!”

แล้วก็พุ่งเข้าไปคว้าเหรียญเงิน

แน่นอนอยู่แล้วว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็เวทมนตร์ดำอะไรนั่นน่ะมันไม่มีตั้งแต่แรกแล้ว

แต่เนื่องจากไม่รู้ความจริงข้อนี้ ริฟจึงหันกลับไปทำท่าเยาะเย้ยพวกที่เหลือ

“เป็นยังไงล่ะพวกแก! ท่านจอมมารก็พูดไม่ใช่เหรอว่าตอนนี้ไม่มีคำสาปแล้ว? เจ้าพวกโง่ ว่ายังไงล่ะ ข้าช่วยตัดลูกกระแป๋งของพวกแกให้เดี๋ยวนี้เลยดีมั้ย! ก๊ากฮ่าฮ่า!”

“……”

เหล่านักผจญภัยต่างก็เริ่มมองหน้ากันไม่ติด

ได้ดูเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นอยู่ห่าง ๆ แบบนี้ตัวผมเองก็อดที่จะเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมาไม่ได้

อาจจะเป็นเพราะค่าความชอบของ ริฟ ที่มีต่อผมในตอนนี้มันมีสูงพอ ตอนนี้ผมจึงเห็นข้อมูลต่าง ๆ ในหน้าข้อมูลของริฟมากกว่าเดิม และตอนนี้ผมก็สามารถเห็นสภาพจิตใจภายในของ ริฟ ที่ไม่ได้พูดออกมาด้วย

ชื่อ: ริฟ ฮอฟแมน

เผ่าพันธุ์: มนุษย์

อาชีพ: คนตัดไม้(B) นักผจญภัย(F)

ระดับชื่อเสียง: เศษฝุ่นในจักรวาล

ความเป็นผู้นำ: E พละกำลัง: E ความฉลาด : F

ไหวพริบทางการเมือง: F เสน่ห์: F ความชำนาญ: E

ค่าความชอบ: 21

สภาพจิตใจปัจจุบัน: ‘แม่งเอ้ย นึกว่าไส้ของเราจะทะลักออกมาแล้วซะอีก ขายังสั่นอยู่เลยเว้ย…….!’

โธ่เอ้ย ที่แท้ก็แค่ทำเป็นเก่งนี่หว่า

แต่ก็ต้องถือว่าทำได้ดีมากที่สามารถตะโกนดุลูกน้องทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็กำลังกลัวจนขี้หดตดหาย ส่วนพวกนักผจญภัยคนอื่นที่ไม่รู้ถึงเรื่องนี้ ต่างก็พากันเอามือมาเกาหัวแก้เก้อกันหมด

“งะ…งั้นพวกเราก็ไปกันบ้างดีกว่า”

“นั่นสิ หัวหน้าเองก็พิสูนจ์ให้พวกเราเห็นแล้ว”

“ตัวกระจอกอย่างพวกเราก็ตามหัวหน้าไปกันเถอะ”

พวกที่เหลือต่างค่อย ๆ ขยับเข้าไปอย่างระมัดระวัง

“เฮอะ เจ้าพวกน่าสมเพชเอ้ย”

ริฟ กำลังทำท่าดูถูกพวกที่เหลือแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีห้ามคนอื่น ๆ ให้เข้าใกล้กองเหรียญแต่อย่างใด

หลังจากนั้น เหล่านักผจญภัยค่อย ๆ พากันเริ่มนับจำนวนเหรียญที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความละโมภ พร้อมกับจับจ้องมองคนอื่น ๆ อย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อป้องกันไม่ให้มีใครฉวยโอกาสแอบขโมยเหรียญเข้ากระเป๋าของตัวเองได้

“ถ้าข้าพบว่าใครมีเหรียญซ่อนอยู่ในกระเป๋าล่ะก็ ข้าจะเป็นคนกระทืบมันเองกับมือ”

“แบ่งออกมาให้เท่ากัน อย่าพยายามทำตัวเป็นหัวขโมย!”

หลังจากที่เวลาผ่านไปนานพอสมควร เหล่านักผจญภัยก็นับเหรียญทั้งหมดเสร็จสิ้น

ริฟ พ่นลมออกจากจมูกด้วยท่าทางพอใจ

“โฮ่ มีเหรียญเงินทั้งหมด 386 เหรียญ”

หือ

ผมขมวดคิ้วเล้กน้อย เพราะผมมั่นใจว่าตัวเองเรียกเหรียญออกมาทั้งหมด 395 เหรียญเงิน

แล้วอีก 9 เหรียญที่เหลือมันไปไหน

“……”

“……”

หลายคนมีท่าทางกระสับกระส่าย

……ที่แท้เจ้าพวกนี้ก็ห้ามใจตัวเองไม่ไหวแลัวขโมยไปบางส่วนนี่เอง ทั้ง ๆ ที่พวกมันจ้องจับผิดกันเองจนตาแทบถลนออกมาแท้ ๆ แต่ก็ยังอุตสาห์มีบางคนที่อุตสาห์ขโมยได้สำเร็จอีกนะ ยอดเยี่ยมจริง ๆ

“โอเค แบ่งเท่า ๆ กันได้คนละ 38 สินะ”

“แล้วส่วนเกินที่เหลือ 6 เหรียญล่ะหัวหน้า?”

“ส่วนที่เหลือน่ะรึ? ข้าที่เป็นห้วหน้าของพวกแกจะเป็นคนรับเอาไว้เอง”

ริฟ ประกาศออกมาอย่างไร้ยางอาย

ตามมาด้วยเสียโห่และด่าทอจากนักผจญภัยคนอื่น

“ตอนแรกหัวหน้าเป็นเป็นคนพูดเองนะว่าไม่ว่ายังไงก็ตามก็จะแบ่งเท่า ๆ กัน!”

“ขี้โกง แบบนี้มันโกงกันนี่นา!”

“เงียบไปเลยไอ้พวกตะกละ! นี่ถ้าไม่ได้เป็นเพราะข้า ป่านนี้พวกแกยังไม่กล้าเข้ามาใกล้กองเหรียญนี่ด้วยซ้ำ”

“เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้นสิ!”

“เรื่องก็ส่วนเรื่องนั้นอะไรหา! พูดออกมาให้ชัด ๆ เลยสิวะ!”

ไม่ทันไรกลุ่มนักผจญภัยกระจอกเริ่มทำท่าตีกันเองซะแล้ว

ทะเลาะกันยังกับเด็ก ๆ ไม่มีผิด

หลักจากทะเลาะกันยกใหญ่ สุดท้ายก็ตัดสินได้ว่า ริฟ จะเป็นคนเอาส่วนที่เหลือเอง

“จุ๊ จุ๊ ไอ้พวกใจแคบพวกนี้นี่”

ริฟ บ่นพึมพำ ดูเหมือนว่าจะรู้สึกโกรธที่นักผจญภัยคนอื่นต่างพากันคัดค้านเรื่องที่จะยก 6 เหรียญเงินที่เกินมาให้เขา ผมล่ะดูไม่ออกออกจริง ๆ ว่าฝ่ายไหนกันแน่ที่เป็นพวกใจแคบ

ยังไงก็ช่างเถอะ ตอนนี้ได้เวลาเริ่มของจริงแล้ว

“ทุกท่าน”

ผมเอ่ยปากพูด

“ต้องขอโทษที่ขัดจังหวะทุกท่านในขณะที่กำลังยุ่งด้วย แต่ข้ามีเรื่องที่จะต้องบอกกับทุกท่าน”

“หือ? โอ้ มีอะไรหรือท่านจอมมาร?”

พวกนักผจญภัยต่างก็ตอบรับกลับมาแบบไม่ค่อยสนใจนักเพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับการเก็บส่วนแบ่งของตัวเองลงไปในกระเป๋าไม่ก็รองเท้าอยู่ มีบางคนที่ถึงกับปลดเข็มขัดตัวเองให้หลวมขึ้นเพื่อที่จะเอาเหรียญไปซุกไว้ในกางเกงใน สกปรกจริง

“ขออภัยจริง ๆ แต่ว่าเหตุการณ์ที่พวกเรากลัวได้เกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้กำลังมีนักผจญภัยอีกกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาในปราสาท ”

“……”

มือของทุกคนหยุดชะงักทันที

“ว่ายังไงนะ?”

“ข้าคือจอมมาร ดังนั้นจึงมีระบบเวทมนตร์ที่ถูกติดตั้งไว้เพื่อแจ้งเตือนให้ข้ารู้เวลามีใครบุกเข้ามาในปราสาทของข้า และเมื่อสักครู่นี้ก็มีเสียงกระดิ่งแจ้งเตือนดังขึ้นมาในหัวของข้า”

เหล่านักผจญภัยต่างเบิกตากว้างด้วยความสับสน

“ทะ-ท่านจอมมาร ที่ท่านพูดมาคือเรื่องจริงเหรอ?”

“จริง ถึงจะน่าเสียดาย แต่มันก็คือความจริง”

“มีโอกาสที่ท่านอาจจะได้ยินผิดไปเองรึเปล่า?”

“……แน่นอนว่ามีโอกาสนั้นอยู่ และข้าเองก็หวังว่าจะได้ยินผิดไปเองเช่นกัน แต่เดือนนี้ข้าได้ยินเสียงกระดิ่งนี้ดังมาแล้วถึง 4 ครั้ง โอกาสที่ข้าจะฟังผิดไปเองคิดว่าคงจะน้อยเต็มทน

ข้าทำท่าทีเศร้าสลดตอบกลับไป

พวกมันเริ่มตัวสั่นด้วยความกลัว ในระหว่างที่ผมทำการแสดง ก็มีบางครั้งบางคราวเหมือนกันที่ผมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองสามารถมองเห็นอารมณ์ต่าง ๆ ของผู้คนในรูปร่างของหมอกควันหนา ๆ ได้และผมก็ทำการจับตรงนั้นทีตรงนี้ทีเพื่อปั้นหมอกควันนั้นให้มีรูปร่างตามที่ผมต้องการ

“จะ-จำนวนล่ะ ท่านจอมมารรู้ไหมว่าพวกมันมีทั้งหมดกี่คน?”

“ถึงจะไม่รู้จำนวนที่แน่นอน แต่ก็พอจะเดาได้ในระดับหนึ่งจากจำนวนครั้งที่กระดิ่งสั่น……”

ผมกัดริมฝีปาก และทำทางท่าราวกับกำลังพยายามครุ่นคิดถึงจำนวนของผู้บุกรุก ยิ่งทำให้เหล่านักผจญภัยยิ่งรู้สึกร้อนรนยิ่งกว่าเดิม

“จะเดาคร่าว ๆ ก็ได้! แค่บอกมาก็พอว่าพวกมันมีจำนวนเท่าไหร่!”

“……เสียงกระดิ่งดังทั้งหมด 3 ครั้ง”

“แล้วมันหมายความว่ายังไง?”

“ทุก ๆ ครั้งที่มีคนจำนวน 10 คนบุกเข้ามาในปราสาทข้าก็จะมีเสียงกระดิ่งจะดังขึ้น 1 ครั้ง นั่นก็คือ อย่างน้อยที่สุด ผู้ที่บุกรุกเข้ามามีจำนวนไม่ต่ำกว่า 30 คน”

สามสิบคน

นั่นเป็นจำนวนคนที่มากเกินกว่าที่พวกที่อยู่เบื้องหน้าผมตอนนี้จะรับมือไหว

เหล่านักผจญภัยต่างก็พากันหน้าซีด