ตอนที่ 8

Dungeon Defence

ข้าไม่ชอบสถานการณ์ในตอนนี้เลยซักนิด

ตามที่จอมมารได้พูดมา ตอนนี้กำลังมีนักผจญภัยอีกกลุ่มที่กำลังบุกรุกเข้ามาในถ้ำนี้ และพวกมันก็มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 30 คน นี่ไม่ใช่เรื่องตลกเลย…… บัดซบเอ้ย

ข้าจงใจเลือกเอาแต่พวกอ่อนแอให้มาร่วมกลุ่มนักผจญภัยของข้าในตอนนี้เพราะไม่อยากเสียเงินให้กับนักผจญภัยเก่ง ๆ ที่ต้องใช้เงินมากกว่า แถมด้วยข้อตกลงที่ตกลงกันว่าเงินในคลังสมบัติจะแบ่งให้ทุกคนเท่า ๆ กัน แต่ค่าหัวของจอมมารดันทาเลี่ยนจะตกเป็นของข้าคนเดียว ยิ่งทำให้ไม่มีใครมมากับข้าเลยยกเว้นแต่พวกลูกเจี๊ยบที่เพิ่งจะมาเป็นนักผจญภัยเท่านั้น

บัดซบ รู้แบบนี้ข้าน่าจะยอมจ่ายเงินหาคนเก่ง ๆ มาดีกว่า ไม่สิ ต่อให้ข้าทำแบบนั้นไปก็สู้ฝั่งตรงข้ามที่มีถึง 30 คนไม่ได้อยู่ดี ยังไงก็รับมือกับคนจำนวนนี้ไม่ไหวแน่ ชักเครียดจนรู้สึกปวดท้องขึ้นมาแล้ว……

“ถ้าเราป้องกันห้องนี้ไว้ได้พวกเรายังมีโอกาสชนะ!”

“แกจะบ้ารึเปล่า ฝั่งตรงข้ามมี 30 คนนะ! พวกเราต้านไม่ไหวหรอก!”

“ถ้าพวกแกคิดจะสู้ล่ะก็ ไม่ต้องนับข้าเข้าไปด้วยนะ เผอิญว่าข้าไม่ได้มีงานอดิเรกเป็นการฆ่าตัวตาย เดี๋ยวข้าจะออกไปจากที่นี่คนเดียวเอง”

“เฮอะ! ไอ้ตัวขี้ขลาดโสโครก! ในที่สุดก็แสดงธาตุแท้ออกมาแล้วสินะ!

พวกมันเริ่มแแบ่งเป็น 2 ข้างและโต้เถียงกัน

มีพวกที่ต้องการตั้งหลักสู้อยู่ที่นี่กับพวกที่ต้องการหนีออกไป พวกมันเถียงกันมา 10 กว่านาทีแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปอะไรเหมือนเดิม

พูดตามตรงว่าข้าเองก็คิดอะไรดี ๆ ไม่ออกเหมือนกัน แน่นอนว่ายังไงพวกเราก็ควรจะต้องเลือกการหนีออกไปอยู่แล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรมารับประกันว่าจะไม่เจอกับนักผจญภัยกลุ่มอื่นในระหว่างทางกลับ บัดซบ จะต้องทำยังไงถึงหนีออกไปได้อย่างปลอดภัยนะ…..

……เดี๋ยวสิ

คิดดูแล้วก็ยังมีทางอื่นอยู่นี่นา

ถ้ายังไงก็ต้องเจอกับกลุ่มอื่นเข้าล่ะก็ จะเจอก็เจอไปสิ ขอแค่ข้ารอดออกไปได้อย่างปลอดภัยก็พอ ส่วนพวกที่เหลือจะอยู่หรือตายไปก็ไม่ใช่เรื่องของข้าซักหน่อย

ข้าหยิบแผนที่ขึ้นมาตรวจดู จากปากถ้ำมีทางมายังห้องนี้อยู่สามทาง

ข้าเลยเข้าไปหาจอมมารเพื่อถามคำถาม

“นี่ ฝ่าบาท จากปากถ้ำมายังห้องนี้มีทางทั้งหมดกี่ทางรึ?”

“มีทั้งหมด 3 ทาง”

แผนที่นี่ถูกต้องอย่างที่คิดไว้จริง ๆ ขนาดจอมมารเองยังยืนยันกับตัวเลย

“แล้วรู้ไหมว่าอีกฝ่ายเลือกใช้ทางไหน?”

“ขอโทษด้วย แต่ข้าเองก็ไม่รู้ถึงขั้นนั้น……”

จอมมารพูดด้วยท่าทางเหมือนรู้สึกอับอาย

“ไม่เป็นไร แค่ท่านช่วยเตือนพวกข้าว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาพวกข้าก็รู้สึกขอบคุณท่านแล้ว”

ข้าตบไหล่จอมมารเบา ๆ ส่วนจอมมารก็ก้มหัวอย่างสวยงามกลับมาให้

ก็อย่างที่ข้าบอกไป เจ้าหมอนี่มันไม่มีเศษเสี้ยวของความกล้าเลยจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นถึงจอมมารแท้ ๆ แต่กลับใช้คำพูดสุภาพกับข้าที่เป็นมนุษย์ นี่มันไม่มีศักดิ์ศรีเลยรึไง? แต่ถ้าจะพูดให้มันสวย ๆ ล่ะก็ต้องบอกว่ามันรู้จักประมาณตน ก็ลองมาหือกับข้าดูสิ ข้าตบมันคว่ำแน่ คึคึคึ

ทันใดนั้นเอง จอมมารก็หันมาจ้องมองตาข้าตรง ๆ แถมยังท่าทางจริงจังแปลก ๆ จน ข้าเผลอรู้สึกเกร็งตามไปด้วย

“ท่าน ริฟ ดูท่าไม่ว่าอย่างไรดวงชะตาของข้าก็คงไม่รอดพ้นจากการถูกนักผจญภัยจับตัวเป็นแน่”

“หือ? แล้วยังไง”

“ดังนั้น อย่างน้อย ๆ ข้าก็อยากจะเลือกทางที่ปลอดภัยกว่า พวกเจ้าไม่จัดการฆ่าข้าทิ้งทันทีที่เจอตัวข้า เพียงแค่เรื่องนี้ก็ทำให้ข้าอยากอยู่ฝั่งเดียวกับพวกเจ้าแล้ว ดังนั้นพวกท่านได้โปรดตัดสินใจอย่างชาญฉลาดและเอาชีวิตรอดออกไปให้ได้เถอะ”

อ่าฮ้า

เจ้าหมอนี่กำลังร้องขอให้ข้าช่วยชีวิตมันอยู่นี่เอง

ข้าชักรู้สึกเป็นสนิทสนมกับเจ้าตัวน้อยที่อยู่ตรงหน้าข้านี่แล้วสิ ใช่แล้ว เพื่อที่จะมีชีวิตรอดน่ะไอ้ของอย่างศักดิ์ศรีมันไม่มีความจำเป็นหรอก ข้าเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน

“หึหึ ท่านเองก็รู้อะไรดีเหมือนกันนี่นา ฝ่าบาท ไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าท่านเชื่อในตัวข้าล่ะก็พวกเราสองคนจะต้องรอดกลับไปถึงเมืองได้อย่างปลอดภัยแน่

“ขอบคุณ ขอบคุณมาก……”

พอหมอนี่ทำท่าก้มหัวแล้วก้มหัวอีกแบบนี้ก็ดูน่ารักยังกับสัตว์เลี้ยงเชียว

ข้าตบแก้มของจอมมารเบา ๆ ด้วยความรู้สึกเอ็นดู นี่ก็เป็นการแสดงความรักอย่างหนึ่ง ทุกอย่างจะต้องเป็นไปได้ด้วยดีแน่ ไม่ต้องเป็นกังวลไป

ข้าหันไปตะคอกใส่พวกคนอื่น ๆ ที่กำลังเถียงกันอยู่

“ฟังข้า!”

พวกมันปิดปากเงียบ ดูท่าพวกมันจะรู้ตัวแล้วว่าพวกมันทะเลาะกันไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมา และหันมาจ้องมองข้าด้วยดวงตาแดงก่ำ

“พวกเราจะถอย”

“แต่หัวหน้า!”

“ไอ้พวกไก่อ่อนเอ้ย นี่เหรียญเงินในกระเป๋าของพวกแกมันหนักจนสมองไม่ทำงานหรือไง? พวกแกคิดว่าตัวเองเป็นใครกันหา? ไก่อ่อนอย่างพวกแกที่ไม่เคยสู้กับอะไรมาก่อนนอกจากก็อบลิน 2 ตัวในระหว่างทางมาที่นี่น่ะ จะเอาอะไรไปสู้กับคนตั้ง 30 คนกัน?”

ข้าใช้สายตาข่มขู่พวกมัน

มีคนบอกว่าข้าเป็นพวกหน้าโหดตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ก็เพราะแบบนั้นล่ะไอ้พวกที่อยู่ที่นี่ถึงไม่มีใครกล้ามาหือกับข้าตรง ๆ

“เลิกฝันเฟืองซะ ถ้าพวกแกคิดจะสู้ก็มีแต่จะตายเปล่า”

“……แต่หัวหน้า ถึงพวกเราเลือกที่จะหนีก็ใช่ว่าจะปลอดภัยอยู่ดี

คนที่พูดประโยคนี้คือเจ้าตาเดียวที่เงียบมาโดยตลอดและไม่ได้เข้าไปถกเถียงกับพวกมือใหม่ที่เหลือ

ต้องแบบนี้สิถึงจะทำตัวสมกับเป็นนักผจญภัยรุ่นพี่หน่อย

“ถ้าระหว่างทางพวกเราไปเจอกับฝั่งตรงข้ามเข้าล่ะ? อยู่ในห้องนี้อย่างน้อยพวกเราก็คอยป้องกันไม่ให้พวกมันเข้ามาได้ แต่ถ้าไปเจอพวกมันด้านนอกห้องล่ะก็สถานการณ์จะเป็นยังไงก็รู้”

“เรื่องนั้นข้ารู้อยู่แล้วเจ้าตัวบัดซบ เพราะอย่างนั้นพวกเราจะแยกกันไปเป็นสามทางไงล่ะ”

“แยกเป็นสามทาง?”

“ทางจากห้องนี้ไปยังทางเข้าปราสาทมีทั้งหมดสามทาง ใครชอบทางไหนก็กระจาย ๆ กันไปซะ”

ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะ

ทุกคนต่างพากันขมวดคิ้ว

“หัวหน้า นี่ท่านคงไม่ได้หมายความว่า……”

“เออ ยังไงก็จะต้องมีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจากสามกลุ่มที่ต้องไปเจอกับฝั่งตรงข้ามยังไงล่ะ แต่ในทางกลับกัน อีกสองกลุ่มก็จะมีชีวิตรอดออกไป”

“แบบนี้มันก็คือเหยื่อล่อไม่ใช่เหรอ!”

เจ้าตาเดียวประท้วงเสียงดัง ดูท่าเจ้านี่จะรู้สึกโมโหจนเลือดขึ้นหน้าจริง ๆ เพราะตอนนี้ถึงขนาดสามารถมองเห็นเส้นเลือดที่ปูดขึ้นมาตรงคอได้เลย เชอะ เจ้าหมอนี่เป็นคนดีก็จริง แต่มาโมโหในตอนนี้ยิ่งทำให้ข้าต้องเหนื่อยเพิ่มกว่าเดิมอีก

ส่วนคนอื่น ๆ ก็เริ่มโวยวายเช่นกัน เอาแต่พูดว่า “แบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน!” บ้างล่ะ “แบบนี้ขอตายพร้อมกันหมดทุกคนดีกว่า!” บ้างล่ะ

ช่างเป็นพวกงี่เง่าเกินจะเยียวยาจริง ๆ ก็เพราะพวกแกไม่รู้ว่าความตายเป็นยังไงน่ะสิ ถึงได้มีหน้าพูดออกมาว่าจะตายพร้อมกันหมดได้

……แต่จะมาพูดความจริงตรงนี้ให้พวกมันฟังไปก็ไร้ประโยชน์ หันมาใช้การพูดโกหกตรงนั้นทีตรงนี้ทีหลอกพวกมันดีกว่า อะไรนะ? ข้าน่ะซื่อตรงต่อตัวข้าเองเท่านั้นล่ะเฟ้ย ข้าไม่เคยบอกว่าข้าจะต้องซื่อตรงกับคนอื่นด้วยเสียหน่อย จริงไหม?

“เงียบซะไอ้พวกตูดหมึก!ข้ามีหน้าที่ที่จะต้องทำให้พวกแกรอดกลับบ้านไปให้ได้มากที่สุด!”

พวกมันสะดุ้ง เฮอะ ดูพวกมันสิ แค่ข้าตะโกนออกมาหน่อยพวกมันก็กลัวกันแล้ว นี่น่ะรึท่าทางของคนที่คิดว่าจะสู้กับคน 30 กว่าคนไหว ให้มันน้อย ๆ หน่อย

“พวกแกทุกคนต่างก็มีครอบครัวใช่ไหม? ศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย? นั่นก็ดีหรอก มิตรภาพของพวกพ้อง ไอ้นั่นก็ไม่เลวนะ แต่จะมัวแต่ไปห่วงพวกมันทำไมถ้าพวกเรากำลังจะต้องตายกันหมด หืม? คิดบ้างมั้ยว่าใครจะเป็นคนรับผิดชอบครอบครัวของพวกแกหลังจากนี้?”

“……”

“แล้วลูก ๆ ของพวกแกล่ะ? แล้วเพื่อนร่วมหมู่บ้านที่กำลังทำงานในทุ่งนาแทนที่พวกแกล่ะ? แล้วภรรยาของพวกแกล่ะ?”

พวกมันต่างพากันเงียบด้วยความรู้สึกอึดอัด

ไม่มีอะไรที่ใช้จูงใจได้ดีเท่าครอบครัวอย่างที่คิดจริง ๆ แม้ข้าจะเป็นคนหยาบที่ไม่รู้จักหนังสือ แต่อย่างน้อยข้าก็ยังรู้วิธีจัดการผู้คน

“ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่คือผู้ที่จะต้องรับผิดชอบครอบครัวของผู้ที่จากไปแล้ว”

ข้าใช้เสียงพูดที่นุ่มนวลขึ้นและก็ทำการพูดปิดท้าย

“พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นเหลืออีกแล้ว ไอ้พวกบ้าทั้งหลาย คิดถึงเรื่องของหมู่บ้านและครอบครัวของพวกแกเข้าไว้ เรื่องอื่นนอกเหนือจากนั้นคือเรื่องไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น จงลืมพวกมันไปซะให้หมดและคิดแค่เรื่องของครอบครัวพวกแกก็พอ……”

พวกมันพากันก้มหัวลง

แหงอยู่แล้ว ถ้าคิดด้วยเหตุผลล่ะก็ คำแนะนำของข้านี่ล่ะคือทางเลือกที่ดีที่สุด ถึงมันจะยากที่ต้องจะยอมรับความจริงที่ว่าพวกมันจะต้องเสียสละชีวิตของใครซักคนเพื่อจะได้มีชีวิตรอดออกไปก็เถอะ แต่สุดท้ายแล้วพวกมันก็ต้องยอมรับความเห็นของข้าและทิ้งของไม่จำเป็นอย่างศักดิ์ศรีอะไรนั่นออกไปอยู่ดี

พวกเราแบ่งกันออกเป็น 3 กลุ่ม

มี 4 คนหนึ่งกลุ่ม 3 คน สองกลุ่ม

“พวกเราไปกันเถอะ”

ข้าออกคำสั่งด้วยท่าทางน่าเกรงขาม

ไม่มีใครทราบว่าศัตรูอยู่บนเส้นทางไหน ทุกอย่างต้องพึ่งพาโชคชะตาเท่านั้น แต่ถ้าถามข้าว่าทั้งหมดอยู่ที่โชคจริง ๆ งั้นหรือ ข้าก็ขอตอบว่าไม่ใช่

ข้าจงใจให้จอมมารเดินทางไปกับกลุ่มอื่น ถ้าศัตรูมีอุปกรณ์เวทมนตร์ตรวจจับล่ะก็ มันก็จะมีปฎิกิริยากับจอมมาร และก็ต้องเคลื่อนที่ไปทางนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย อีกนัยหนึ่งคือ ข้าใช้จอมมารเป็นเหยื่อล่อไงล่ะ ข้าล่ะฉลาดในเรื่องพวกนี้นักแล

เอาล่ะ ได้เวลาวิ่งหนีของจริงแล้ว

กรุณาตายเสียเถิด สหายร่วมรบที่สนิทสนมของข้า

เพื่อที่ข้า จะได้มีชีวิตอยู่

เหล่านักผจญภัยต่างตบไหล่กันและกันเบา ๆ จากนั้นก็เดินจากกันไปตามทางที่ตัวเองเลือกเอาไว้

“ตายซะเถอะ ไอ้บ้า”

“คนที่จะต้องตายมันแกต่างหาก ส่วนข้าจะกลับไปสนุกกับเมียของแกให้เอง”

เหล่านักผจญภัยต่างใช้วิธีเก็บซ่อนอารมณ์ของตัวเองง่าย ๆ อย่างการด่าทอกัน เพราะพวกเขาต่างก็รู้ว่าหากบรรยากาศของการจากลานั้นหนักอึ้ง เท้าของพวกเขาก็จะหนักอึ้งตามไปด้วย

ในที่สุด หัวหน้ากลุ่มที่ผมอยู่ด้วยก็ได้พูดออกมา

“พวกเราเองก็ไปกันเถอะ”

“อื้อ”

ผมกลับมาอยู่ด้านบนหลังของเจ้าหน้าใหม่อีกแล้ว

กลุ่มที่ผมอยู่ด้วยนั้นเนื่องจากต้องแบกสัมภาระพิเศษ นั่นก็คือผมนั่นเองกลับไปด้วย ก็เลยพิเศษหน่อยที่มี 4 คน ส่วนคนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มก็คือเจ้าตาเดียวหัวล้าน ที่โวยวายประท้วงคำสั่งของ ริฟ เมื่อสักครู่

“……”

“……”

เสียงก้าวเท้าที่เต็มไปด้วยความกังวลดังก้องไปในถ้ำ

ไม่มีใครพูดอะไรทั้งนั้น มีเพียงแค่เงาคนจากมาจากคบเพลิงเท่านั้นที่กำลังเต้นระริกบนผนังถ้ำราวกับภาพลวงตา

ตอนที่ ริฟ เสนอให้แบ่งออกเป็นสามกลุ่มนั้น ผมแทบจะวิ่งพล่านไปทั่วด้วยความยินดี ความจริงนั่นก็เป็นความคิดที่ผมตั้งใจจะเสนอให้กับพวกมันอยู่แล้ว ผมน่ะรู้สึกกลัวกลุ่มนักผจญภัย 10 คนก็จริง แต่สำหรับกลุ่ม 3 หรือ 4 คนน่ะ ไม่ได้รู้สึกกลัวเลยซักนิด

เจ้าพวกโง่เอ้ย

ริฟ เสนอให้แยกกันไปเพื่อที่จะเพิ่มโอกาสรอดของตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพียงแต่ทุกอย่างมันผิดพลาดมาตั้งแต่ต้นแล้ว ผิดพลาดที่ดันหลงเชื่อคำพูดของจอมมารโดยที่ไม่มีการสงสัยเลยซักนิด เดิมทีนักผจญภัยกับจอมมารก็สมควรจะเป็นศัตรูกันตั้งแต่แรก แต่พวกมันกลับหลงเชื่อข้อมูลที่ผมให้กับพวกมันอย่างง่าย ๆ

ไม่รู้ว่าเพราะพวกมันไม่ระวังตัว หรือเพราะผมดูน่าสมเพชถึงขนาดนั้นกันแน่ แต่ถ้าเป็นอย่างหลัง ก็ค่อยรู้สึกโล่งใจหน่อย เพราะนี่เป็นหลักฐานว่าความสามารถในการแสดงของผมยังไม่ขึ้นสนิม ริฟ เอ๋ย แกจะต้องจ่ายค่าทดแทนราคาแพงเพราะความประมาทของตัวแกเอง

ผมจ้องมองไปยังที่ว่าง ๆ ด้านหน้าผม

ตรงนั้น มีแผนที่โปร่งแสงกำลังถูกฉายอยู่ จุดแดง ๆ ถูกแบ่งออกไปเป็นสามทาง และกำลังออกห่างจากกันเรื่อย ๆ

ในจำนวนฟังก์ชั่นต่าง ๆ ของระบบ มีฟังก์ชั่นหนึ่งที่ทำให้ผมสามารถมองเห็นแผนที่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกนักผจญภัยยังถูกแสดงตำแหน่งขึ้นมาบนแผนที่ในรูปแบบของจุดสีแดงอีกด้วย แหม ช่างสะดวกสบายดีจริง ๆ

ระหว่างเส้นทางทั้งสามต่างก็มีกำแพงถ้ำหนา ๆ คอยกั้นอยู่ แม้จะมีทางเดินที่เชื่อมต่อเส้นทางแต่ละเส้นทางอยู่หลายจุดก็เถอะ แต่ก็มีผมคนเดียวเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้เพราะสามารถมองเห็นแผนที่จากระบบ ส่วนเหล่านักผจญภัยทั้งสามกลุ่มก็ไม่มีวิธีใด ๆ ที่จะติดต่อสื่อสารกันได้

แม้จะมีการฆ่าล้างเกิดขึ้นในอีกฝั่งของถ้ำก็ไม่มีใครรู้

‘หน้าจอจัดจ้าง’

ผมพูดในหัวของตัวเอง

จากนั้นก็มีเสียงเอฟเฟคที่ฟังดูสดใสแบบตลก ๆ ดัง ‘ตึ้งงง~’ ขึ้นมา

มอนสเตอร์

ความอึด

พลังโจมตี

พลังป้องกัน

ราคา

สไลม์

F

F

E

4 ลิบรา

ภูตอ่อนแอ

F

E

F

8 ลิบรา

ก็อบลินหนีทัพ

E

E

F

12 ลิบรา

โกเลมอ่อนแอ

D

D

C

20 ลิบรา

เพียงชั่วขณะหนึ่ง

แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงพริบตา แต่ก็มีความรู้สึกลังเลปรากฎขึ้นบนดวงตาของผม

เหล่านักผจญภัยได้แยกจากกันออกเป็นสามกลุ่ม ทุกคนต่างก็เชื่อในตัวของจอมมารดันทาเลี่ยน ทั้งที่ควรจะมองว่าเป็นศัตรู กำลังรบของพวกมันแยกออกจากกัน และไม่มีใครเตรียมตัวรับมือกับความเป็นไปได้ที่จะถูกทรยศ

ทั้งหมดนี้เป็นเงื่อนไขขั้นต่ำสำหรับการลอบโจมตี

ส่วนเหตุผลว่าทำไมผมถึงลังเลไปชั่วขณะนั้น…… ไม่รู้สินะ

เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมจ้างมอนสเตอร์ออกมาโจมตีพวกนักผจญภัย เมื่อนั้นก็คือเวลาที่ผมข้ามแม่น้ำรูบิคอนไปโดยไม่มีทางหวนกลับ หลังจากนั้นก็เหลือตัวเลือกเพียงแค่ผมกับเหล่านักผจญภัยจะต้องฆ่ากันตายกันไปข้าง ฝ่ายทีรอดจะมีเพียงหนึ่งไม่มีสอง ไม่มีทางถอยกลับมาอีกแล้ว

(บันทึกผู้แปล: ข้ามแม่น้ำรูบิคอน” มีความหมายว่า ผ่านจุดที่ไม่มีทางหวนกลับ และหมายถึง การข้ามแม่น้ำดังกล่าวของจูเลียส ซีซาร์ เมื่อ 49 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งพิจารณาว่าเป็นการประกาศสงคราม)

“……”

ด้านในปากของผมรู้สึกแห้งผาก

ทันทีที่ผมตัดสินใจลงไป ก็จะไม่มีทางหวนกลับมาที่เดิมอีก

ผมเข้าใจถึงน้ำหนักของตัวเลือกของตัวเองดี

ทันใดนั้นเอง หน้าต่างตัวเลือกหน้าต่างที่สองหลังจากที่ผมมายังที่โลกนี้ก็ปรากฎขึ้น

[1.กำจัดนักผจญภัยไปทั้งแบบนี้]

[2.ถูกนักผจญภัยจับตัวไปทั้งแบบนี้]

……เหมือนที่คิดไว้ไม่มีผิด ผมนึกอยู่แล้วว่าในสถานการณ์แบบนี้จะต้องมีตัวเลือกโผล่ออกมา

เมื่อไหร่ก็ตามที่ชีวิตของผมหรือชีวิตของคนอื่นกำลังอยู่ในช่วงคับขัน หน้าต่างตัวเลือกนี้ก็จะโผล่ขึ้นมาในช่วงที่สำคัญที่สุด ราวกับต้องการจะบอกผมว่าให้คิดถึงการตัดสินใจของตัวเองดี ๆ

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตัวเลือกของผมยังไงก็ต้องเป็นข้อแรกอยู่แล้ว

จอมมารที่ถูกมนุษย์จับตัวไปมันไม่มีอนาคตที่สดใสหรอกนะ ต่อให้พวกนักผจญภัยตัดสินใจที่จะไม่ฆ่าผมก็ไม่มีประโยชน์ เพราะสุดท้ายผมก็จะถูกขายให้กับเมืองเพื่อเอารางวัลค่าหัว จากนั้นหัวของผมก็จะถูกเอาไปแสดงบนลานใจกลางเมืองเพื่อแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่าหัวของผมน่ะตัดได้สวยแค่ไหนก็เท่านั้นเอง

ดังนั้น ผมจึงเลือกข้อหนึ่ง

ผมจะฆ่ามนุษย์ทุกคนที่อยู่เบื้องหน้าผมในตอนนี้ให้หมด

‘จ้างโกเล็มอ่อนแอ’

[คุณได้จ้างโกเล็มอ่อนแอแล้ว]

[ต้องการเรียกโกเล็มอ่อนแอออกมาหรือไม่?]

สมบัติทั้งหมดของผมที่เหลือ 21 ลิบราลดลงเหลือเพียง 1 ลิบราในพริบตา

ในเวลาเดียวกันพื้นถ้ำก็ส่องแสงสว่างออกมา

“หะ-หืออ?”

“เกิดอะไรขึ้น!?”

นักผจญภัยต่างก็รู้สึกสับสน

แสงที่เกิดจากวงเวทอัญเชิญส่องสว่างไปทั่วทั้งถ้ำมืด ๆ แห่งนี้ไปชั่วขณะ และในจังหวะที่สายตาของทุกคนจ้องมองไปยังวงเวทนั้นเอง ผมก็อ้าปากของผม

กร๊วมมมมมม!

เสียงของมันเหมือนกับเสียงเวลาที่ถุงพลาสติกขาด เพียงแค่ครั้งนี้สิ่งที่ขาดมันเป็นของที่ดิบกว่าถุงพลาสิกก็เท่านั้น ผมใช้ฟันของผม กัดเข้าไปที่ใบหูของเจ้านักผจญภัยหน้าใหม่ที่กำลังแบกผมอยู่เต็มแรง

“โอ้ยยยยยย!”

เจ้าหน้าใหม่ร้องลั่นก่อนจะเสียการทรงตัวแล้วล้มลงไป ส่วนผมที่อยู่บนหลังของมันก็ตกลงไปบนพื้นเช่นกัน เพียงแต่ผมได้เตรียมตัวลงอย่างปลอดภัยเอาไว้แล้ว ก็เลยไม่ได้รับผลกระทบเท่าไหร่

“จะ-แจ็ค!? เกิดอะไรขึ้น! เป็นอะไรไปน่ะ!?”

“โอ้ย หู! หูของข้ามัน!

จุดรวมสายตาของทุกคนเปลี่ยนจากวงเวทอัญเชิญมายังทางผม

ส่วนผมก็เสแสร้งทำสีหน้าเหมือนกับคนที่ตกใจกลัวถึงขีดสุด แล้วก็เอามือชี้ไปยังอีกด้าน

“ทุกคน! ด้านหลัง! มองไปทางด้านหลัง!”

จุดที่ผมชี้ในตอนนี้กำลังมีแขนข้างหนึ่งชูขึ้นมาจากพื้นดิน

แขนหินกำลังจับพื้นดินเอาไว้และค่อย ๆ ดันส่วนตัวขึ้นมาราวกับปีศาจที่กำลังผุดขึ้นมาจากนรก เสียงที่ชวนให้รู้สึกสะพรึงของหินที่กำลังบดขยี้กัน ‘ครีดดดดด ครืดด’ ดังก้องไปทั่ว เหล่านักผจญภัยต่างก็พากันอ้าปากค้างจ้องมองไปยังวงเวทอัญเชิญ

“พ-พระเจ้า……”

“ยกโล่ขึ้น! ชักดาบออกมาเร็ว!”

พวกนักผจญภัยต่างก็เริ่มขยับตัวด้วยความสับสน แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตาเดียวหัวล้านก็ยังสามารถออกคำสั่งกับนัผจญภัยคนอื่นได้ สมแล้วที่เป็นถึงรองหัวหน้ากลุ่ม ไม่ได้มีแต่ชื่อจริง ๆ เพียงแต่ว่าศัตรูของพวกแกน่ะ ไม่ได้มีเพียงแค่โกเล็มที่อยู่ ๆ ก็ปรากฎขึ้นมาหรอกนะ

“อุ๊บบบบ……!?”

ผมกระโดดกลับไปเกาะหลังและปิดปากเจ้าหน้าใหม่จนมันเบิกตาโพลง

ดวงตาของมันราวกำลังกำลังตะโกนออกมาว่า ‘นี่แกคิดจะทำอะไร!?’

ผมชักมีดสั้นของมันที่ผมเล็งเอาไว้ตั้งแต่แรกออกมา จากนั้นก็แทงลงไปที่ลำคอของมัน หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง และครั้งสุดท้ายรวมเป็นสี่ครั้ง โดยไม่ให้โอกาสมันขัดขืนผมแม้แต่น้อย

“อุ๊บ บบบ…… อึกกกก……”

เจ้าหน้าใหม่พยายามที่จะร้องตะโกนออกมา แต่เสียงของมันก็ถูกฝ่ามือของผมปิดจนมิด เสียงที่ลอดออกมาได้ก็เหลือเพียงแต่เสียงครางเบา ๆ เท่านั้น

ไม่นานเสียงที่ออกมาจากปากก็กลายเป็นเลือดสีแดงย้อมมือของผมให้เหนียวเหนอะหนะเท่านั้น

“ออ…….ก……”

ผมจ้องมองดวงตาของเจ้าหน้าใหม่อย่างเงียบ ๆ

ในที่สุด ร่างก็มันก็สิ้นแรง

ทั้งหมดนี้ใช้เวลา 8 วินาที

นักผจญภัยคนอื่น ๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าหน้าใหม่ถูกผมฆ่าตายที่ด้านหลังของพวกมัน

ในที่สุด ผมก็ได้ทำการฆ่าคนเป็นครั้งแรก แต่ตอนนี้ยังไม่มีเวลามาซาบซึ้งกับเรื่องนั้น สถานการณ์ของผมยังลูกผีลูกคนอยู่ ผมรีบเก็บซ่อนมีดเข้าไปในเสื้อแล้วหันหน้าไปมองอีกด้าน

“∎∎∎∎∎∎—!”

ก็เห็นว่าโกเล็มได้ปีนออกมาจากวงเวทอัญเชิญเสร็จเรียบร้อยพอดี

ราวกับว่ามันกำลังฉลองที่ตัวเองได้หลบหนีออกมาจากโลกใต้ดินที่น่าอึดอัดสำเร็จ มันก็ชูคอส่งเสียงคำรามออกมาอย่างยาวนาน จนเพดานถ้ำ รวมไปถึงหินย้อยบนผนังทั้งหลายสะเทือน ถึงแม้ว่าตัวมันคือสิ่งที่มีชื่อว่า ‘โกเล็มอ่อนแอ’ ก็ตามที แต่ในตอนนี้ มันคือผู้ที่มีพลังและมีอำนาจสูงที่สุดในบริเวณนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

นี่น่ะหรือคือมอนสเตอร์

นี่น่ะหรือคือปีศาจ

มันช่างดูแตกต่างกับมนุษย์เหลือเกิน เพียงแค่รูปร่างภายนอกอันโหดร้ายนั่นก็เพียงพอที่จะฝังความกลัวเข้าไปในหัวใจของมนุษย์แล้ว

“อึ๋ยยย……!”

นักผจญภัยต่างพากันหดตัวลีบ มือของใครซักคนในนั้นถึงกับสั่นเพราะความกลัวจนเผลอทำคบเพลิงหลุดมือ รวมกับสภาพของถ้ำที่กลับมามืดมิดอีกครั้งเพราะแสงจากวงเวทอัญเชิญได้หายไปแล้ว ยิ่งเพิ่มความหวาดกลัวของนักผจญภัยจนถึงขีดสุด แสงสีแดงสลัว ๆ ของคบเพลิง สามารถช่วยทำให้แค่มองเห็นเงาร่างกายอันใหญ่โตของโกเล็มที่อยู่ในความมืดอันห่างไกลเท่านั้น

คนพวกนี้เคยชินแต่กับการทำนาเลี้ยงชีพในบ้านเกิดของตัวเอง

คนพวกนี้อาจจะเพิ่งได้รับรู้เป็นครั้งแรกว่า

อาชีพนักผจญภัยนั้น ก็คืออาชีพแย่ ๆ ที่ต้องเผชิญหน้ากับความสยดสยองในตำนานอย่างพวกนี้เสมอ

“อะ-อึ๋ยยยย……”

นักผจญภัยทั้งสามคนต่างก็เข้ามารวมตัวกัน มันเป็นสัญชาตญาณที่ถูกฝังมาของมนุษย์ ที่จะรวมตัวกับเพื่อนร่วมรบของตัวเองเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายตัวโต เพียงแต่ว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สัญชาตญาณนั้นกลับเป็นสิ่งที่ทำให้พวกมันกระทำความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง

“∎∎, ∎∎∎∎∎∎∎—!”

โกเล็มที่มีขนาดใหญ่แบบนั้น ย่อมมีฝีเท้าที่เชื่องช้า

ถ้าทั้งสามคน พระจายกันออกไปแทนที่จะรวมกลุ่มกัน บางทีพวกมันก็อาจจะสามารถจัดการกับโกเล็มก็ได้ใครจะไปรู้ แต่ว่าพวกมันต่างก็ไม่มีประสบการณ์ของการต่อสู้กับปีศาจทั้งหลายเลย

โกเล็มเคลื่อนที่เข้าไปหาพวกมันราวกับรถถัง ทุกก้าวที่เดินเข้ามาทำให้พื้นสั่นสะเทือนและเสียงอันดัง

เมื่อรวมพื้นดินที่สั่นไหวอย่างรุนแรงกับความมืดมิดเข้าไปด้วยกันแล้ว นักผจญภัยสามคนที่เหลือต่างก็รู้สึกกลัวไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่ายกโล่ไม้ของตัวเองขึ้นเท่านั้น ร่างกายของทั้งสามเกร็งจนไม่สามารถขยับได้ แค่ยังไม่วิ่งหนีไปทันทีตอนนี้ก็สมควรแก่การได้รับคำชมแล้ว

“ค-คน ๆ นี้ตายไปแล้ว!”

ผมตั้งใจที่จะเขย่าประสาทที่กำลังเตลิดของมันให้มากขึ้นไปอีก ผมอุ้มตัวของเจ้าหน้าใหม่ขึ้นมาพร้อมกับร้องตะโกน

“อยู่ดี ๆ ก็ล้มลงไปเอง! นี่มันเวทมนตร์ดำ! มีใครซักคนที่ข้าไม่รู้จักกำลังโจมตีทุกคนอยู่! เร็วเข้า ทุกคนรีบหนีไปเร็ว!”

“อะไรนะ……”

ชั่วพริบตาที่รู้สึกสับสน

เพียงพริบตาเดียวที่เสียสมาธิในขณะที่โกเล็มอยู่เบื้องหน้า ก็เป็นเวลาที่ยาวนานเพียงพอที่จะนำมาซึ่งจุดจบอันน่าเศร้า

ราวกับว่ากำลังเล็งพริบตาที่นักผจญภัยถูกดึงดูดความสนใจไป โกเล็มก็เหวี่ยงแขนของมันออกไปทันที เป้าหมายของมันคือเจ้าตาเดียวหัวล้าน ซึ่งเป็นคนรับผิดชอบหน่วยย่อยนี้ ในตอนที่ผมบอกว่าเจ้าหน้าใหม่ตายไปแล้ว เจ้าหมอนี่ก็ได้หันกลับมามองทางนี้ชั่วขณะ และก็ชั่วขณะนั้นเองที่กำปั้นหินอันหนักอึ้งของโกเล็มได้ทุบเข้าไปตัวของหมอนี่ทั้ง ๆ แบบนั้นเลย

ไม่มีกระทั่งเสียงร้องตะโกนออกมา

กะโหลกศรีษะของมันถูกขยี้และก็เสียชีวิตทันที

โล่ไม้ที่ช่างตีเหล็กของหมู่บ้านสร้างขึ้นมานั้นไม่มีประโยชน์เลยซักนิด

“………… อะ เอ๋?”

อีกสองคนที่รอดอยู่ต่างก็ตอบสนองช้าไปหนึ่งก้าว

แต่จะให้เรียกว่านั่นเป็นการตอบสนอง ก็ขอพูดตามตรงว่ามันออกจะน่าสมเพชเกินไปหน่อย

คนหนึ่ง ราวกับว่าละทิ้งความหวังทั้งหมดแล้วคุกเข่าลงกันพื้น ส่วนอีกคนตัดสินใจที่จะทำตรงกันข้ามและกำลังคิดที่จะหนี หมอนี่นอกจากจะโยนคบไฟกับดาบในมือทิ้งแล้วยังปลดทุกอย่างที่ถ่วงตัวเองไว้แล้วก็วิ่งหนีไป

ถ้าปล่อยให้มีคนรอดไปได้ผมคงลำบากแย่

“ทางนี้! รีบวิ่งมาทางนี้เร็ว!”

“เอ๋ อ๋า! อ๊าา!”

หลังจากที่ตอบกลับมาแบบไม่ค่อยรู้เรื่องนัก มันก็วิ่งตรงมาหาผมทันที มันก็เหมือนกับพฤติกรรมที่ไม่รู้สึกตัวของคนเวลาที่เกิดไฟไหม้นั่นล่ะ ถ้าบอกให้หนีไปทางไหนก็จะรีบวิ่งไปทางนั้นโดยไม่ระมัดระวังเลยซักนิด

ผมดึงมันเข้ามาใกล้ ๆ แล้วก็กระซิบ

“ค่อย ๆ หายใจเบา ๆ โกเล็มน่ะนอกจากสายตาจะไม่ดีแล้วหูของมันก็ไม่ค่อยได้ยินอะไรด้วย ถ้าซ่อนตัวอยู่เงียบ ๆ ตรงมุมถ้ำล่ะก็ เจ้าต้องปลอดภัยแน่ เชื่อข้าสิ ข้าน่ะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านปีศาจ”

“งะ-งั้นเหรอ เข้าใจแล้ว”

“เอาล่ะค่อย ๆ หายใจช้า ๆ ตามข้านะ หนึ่ง สอง เอ้า”

“ซู๊ด……. ซู๊ด……”

“ดีมาก แบบนั้นแหละ หายใจเข้าออกช้า ๆ “

ในขณะที่นักผจญภัยด้านหน้าผมกำลังค่อย ๆ ปรับลมหายใจ ผมก็จับมือของมันไว้ไม่ปล่อย นี่ก็เป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็รู้กันว่า คนเราจะสามารถทำใจให้สงบลงได้ในเวลาวิกฤติหากเขาหรือเธอคนนั้นกำลังจับมืออยู่กับมืออาชีพที่สามารถวางใจได้อยู่”

“หนึ่ง……”

ในขณะที่นักผจญภัยกำลังหายใจตามคำสั่ง ผมก็ดึงมีดออกมาอย่างเงียบเชียบ

“สอง……”

ช่วงที่กำลังจะปล่อยลมหายใจออกมานั้นเอง ผมก็ใช้คมดาบเชือดคอของมัน ลมหายใจที่เงียบสงบไม่สามารถถูกปล่อยออกมาจากปากของมันได้อีก มีเพียงเลือดที่ทะลักออกมาตามหลอดอาหารและลมหายใจที่ไม่สามารถปล่อยออกมาเป็นคำพูด เสียงที่ออกมาก็มีแต่เสียงสำลักและไอเท่านั้น และหมอนี่ก็ได้สิ้นลมไปในเวลาไม่นาน

แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่หมอนี่สิ้นลมในอ้อมแขนของผม โกเล็มก็จัดการปลิดชีพคนสุดท้ายที่เหลืออยู่เสร็จ

โกเล็มก็เพียงแค่ยกขาขึ้นและเหยียบลงไปยังคนสุดท้ายที่เหลืออยุ่เท่านั้น ร่างกายของคนเรานี่มันแข็งกว่าที่ผมเคยคิดเอาไว้เสียอีก เพราะโกเล็มกลับไม่สามารถขยี้คนสุดท้ายที่รอดอยู่นั้นในการเหยียบลงไปครั้งเดียว

มีเสียงร้องโหยหวนอันน่าสยดสยองดังขึ้นทุกครั้งที่เท้าของโกเล็มเหยียบลงไป แต่กระนั้นเสียงโหยหวนก็ค่อย ๆ เบาลงไปเรื่อย ๆ ทุกครั้ง จนเมื่อถึงจุด ๆ หนึ่งเสียงโหยหวนก็เงียบลงไปอย่างสมบูรณ์ เหลือเพียงแต่เสียงแตกหักของกระดูกที่สะท้อนบนผนังถ้ำเบา ๆ และเสียงของเหลวหนึบหนับที่น่าจะเป็นเสียงของเครื่องในติดอยู่บนเท้าของโกเล็มเท่านั้น

เป็นบทสรุปที่น่าสยดสยอง

“……เฮ้อ”

ผมนั่งพิงผนังถ้ำ

ความหนื่อยอ่อนถาโถมเข้ามาจนตัวของผมหนักอึ้ง ความร้อนจากร่างกายของผมยังไม่จางหายไป ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าความร้อนของร่างกายจะทำให้รู้สึกไม่ดีแบบนี้ได้เหมือนกัน กลับกันความเย็นจากผนังถ้ำกลับทำให้ผมรู้สึกดี อุณหภูมิแบบนี้ล่ะสมบูรณ์แบบเลยสำหรับตัวผมในตอนนี้

ครึ่งร้อนครึ่งเย็น

ครึ่งงั้นหรือ

“……มันยังไม่จบ”

ผมพูดพึมพัมกับตัวเอง

แม้ผมจะรู้สึกเหนื่อยล้าเหมือนเพิ่งจะโต่รุ่งมา 4 คืนติดก็ตามที แต่กระนั้น ในสมองของผมก็มีบันทึกสิ่งที่ต้องทำหลายอย่างที่ถูกแกะสลักเข้าไปในกะโหลกของผมอยู่ แกะสลักเข้าไปข้างในเหมือนกับตัวหนังสือไฮโรกริฟฟิค สัญชาตญาณที่ถูกปลูกฝังมาในตัวผมตั้งแต่เด็กนั้น กำลังพูดกระซิบกับตัวผม

‘เก็บกวาดทุกอย่างหมด’

ถ้าไม่อยากให้ความผิดของตัวเองถูกเปิดเผยขึ้นมาในภายหลัง

‘จงปิดฉากสิ่งที่ตัวเองได้เริ่มต้นเอาไว้’

ถ้าไม่อยากให้ความแค้นและความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่

“……”

“……”

ผมค่อย ๆ ขมวดคิ้วของตัวเอง

หัวใจของผมเริ่มเต้นช้าลง

ลมหายใจของผมกลับมาเป็นปกติและอารมณ์ของผมก็กลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง

มนุษย์เป็นสัตว์แห่งสัญชาตญาณ

หากเราสามารถสร้างสัญชาตญาณขึ้นมาเพื่อรับมือกับทุกสถานการณ์ที่เป็นไปได้แล้ว ไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหน เมื่อไหร่ และจะเกิดอะไรก็ตาม เราก็จะสามารถปรับตัวกับสถานการณ์ได้ราวกับเป็นสัตว์นักล่า

ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องมานั่งทำการทดลองและผิดพลาดซ้ำ ๆ

ถ้าพูดกันในแง่นั้น ถือว่าคำพูดของพ่อผมนั้นถูกต้อง

ความจริงแล้ว แม้แต่ตัวผมเองในขณะที่ ‘ชีวิตกำลังตกอยู่ในอันตราย’ ก็ตอบสนองกลับด้วย ‘กำจัดมนุษย์ที่เป็นอันตรายต่อตัวเอง’ โดยไร้ซึ่งความลังเล และต้องขอบคุณที่มันเป็นแบบนั้นด้วยซ้ำผมจึงสามารถมีชีวิตรอดมาได้

“แม้แต่ตอนนี้ พ่อก็ยัง…”

ขนาดตายไปแล้วแต่ก็ยังคงคอยตามหลอกหลอนผมเหมือนวิญญาณตามติด.

ผมลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มทำการค้นกระเป๋าจากศพของนักผจญภัย นี่ไม่ใช่การขโมยหรอกนะ

แต่ผมกำลังทวงเอาสิ่งที่เป็นของผมแต่แรกกลับมาต่างหาก หลังจากที่รื้อค้นข้างในกระเป๋าแล้วรองเท้าของทั้งหมด ผมก็กลับมามีเงินทั้งหมด 34 เหรียญทอง

มีเพียงพอที่จะอัญเชิญโกเล็มและก็อบลินอออกมาอีกหนึ่งตัว

“หน้าต่างแผนที่”

แผนที่ภายในถ้ำลอยโผล่ขึ้นมากลางอากาศ

ไม่รู้ว่าเพราะพวกนั้นเคลื่อนที่ไปอย่างระมัดระวังหรือเปล่า แต่สองกลุ่มที่เหลือก็ไม่ได้นำหน้าผมไปไกลนัก ผมจึงตัดสินใจใช้เส้นทางลัดที่พวกมันไม่รู้ ไปดักหน้ารอพวกมัน

“บัดซบเอ้ย ทำไมถึงยังมีมอนสเตอร์เหลือได้อีก……!”

การต่อสู้ครั้งที่สองได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

แผนการนั้นง่ายดายอย่างยิ่ง

ให้โกเล็มนั่งรออยู่ตรงมุมมืดของถ้ำ เพราะในที่มืด ๆ อย่างในถ้ำแบบนี้ไม่มีทางที่จะแยกร่างกายที่เป็นหินของมันจากก้อนหินทั่ว ๆ ไปได้หรอก แล้วพอนักผจญภัยเดินผ่าน ผมก็จัดการเปิดฉากลอบโจมตี

การลอบจู่โจมได้ผลอย่างงดงาม

การโจมตีครั้งแรกก็โดนหัวของนักผจญภัยคนหนึ่งจนไม่เหลือชิ้นดี จากนั้นนักผจญภัยคนที่สองก็ถูกโกเล็มใช้มือจับได้และบดขยี้ไปแบบสบาย ๆ

ทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียงแค่ 40 วินาทีเท่านั้นในการจัดการลดจำนวนสมาชิกในกลุ่ม 3 คนให้เหลือเพียงคนสุดท้าย

“อึกกก!?”

และผมก็จัดการแทงนักผจญภัยคนสุดท้ายที่มัวแต่สนใจโกเล็มจากทางด้านหลัง

คราวนี้ที่ผมใช้ไม่ใช่แค่มีดสั้นแต่เป็นดาบยาว แทงจนคมดาบทะลุออกจากหน้าอกของคนที่เหลือรอดเป็นคนสุดท้าย

“เป็นไปไม่ได้……”

นักผจญภัยก้มลงมองที่หน้าอกของตัวเอง สีหน้าของมันราวกับไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามีดาบทะลุออกมาจากหน้าอก

สีหน้าของมันบิดเบี้ยว ดวงตาสีแดงฉานจับจ้องมองมาที่ผม

“จอมมาร ไอ้ระยำเอ้ย…… แกทรยศพวกเรา……!”

“……”

ผมดึงดาบยาวที่เสียบอยู่บนตัวมันออก

และปล่อยให้มันล้มลงไปบนพื้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะดาบของผมแทงทะลุปอดของมันหรือเปล่า แต่เสียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายของมันตอนนี้เป็นเสียงเหมือนกับคนที่หายใจไม่ออก และเสียงตะโกนสุดท้ายของมันก็เป็นเสียงที่เหมือนกับเสียงลมรั่วออกมายากยางรถจักรยานอย่างไรอย่างนั้น

“ทรยศ งั้นเหรอ”

ผิดแล้ว

ผมไม่เคยทรยศพวกแก ที่จริงแล้วมันกลับกันเลยต่างหาก ถ้าพวกแกไม่ใช่ผู้บุกรุกที่บุกเข้ามาในบ้านของจอมมารดันทาเลี่ยนล่ะก็ พวกแกก็ก็ไม่ต้องตายแล้ว

“เฮ้อ”

ผมลงมือค้นหาข้างในกระเป๋าของศพ

และกำเหรียญเงินและทองแดงที่ย้อมไปด้วยเลือดสีแดงที่หยิบออกมาได้เอาไว้แน่น

ตราบใดที่ผมยังต้องอยู่ในบทบาทของจอมมารดันทาเลี่ยน ในอนาคตก็คงมีนักผจญภัยกลุ่มที่พยายามจะมาจับตัวผมอีก และเพื่อเตรียมตัวสำหรับวันนั้น ผมต้องเก็บรวบรวมเงินสำหรับการต่อสู้เอาไว้

สมบัติของปราสาทจอมมาร

จำนวนที่ต้องการถอน :xx ลิบรา

มีเงินเหลือทั้งหมดจำนวน: 58 ลิบรา

※คำเตือน ถ้าถอนเงินเป็นจำนวนมากเกินไปในครั้งเดียว ท่านอาจตกอยุ่ในสภาพล้มละลายได้

ผมเก็บเงินที่ได้มาเข้าไปในคลังสมบัติ

ถ้านับรวมเงิน 20 ลิบราที่ผมใช้ในการเรียกโกเล็มออกมา ตอนนี้ผมก็แทบได้เงินกลับมาทั้งหมดแล้ว ที่เหลือก็มีเพียงแค่กำจัดกลุ่มของ ริฟ เท่านั้น

ผมปีนขึ้นไปบนไหล่ของโกเล็มและมุ่งหน้าไปยังเวทีต่อไป

ไม่นานผมก็มาถึงหน้าทางเข้าของปราสาท

และให้โกเล็มซ่อนตัวรออยู่ในขณะที่ผมยืนอยู่ที่ปากทางเข้าถ้ำอย่างสง่างาม

หลังจากผ่านไปราว ๆ 20 นาที กลุ่มของริฟก้ได้ปรากฎตัวออกมาจากอีด้านของถ้ำ

“หือ? นั่นมันท่านจอมมารของเราไม่ใช่รึ”

ริฟ ที่สังเหตุเห็นผมได้เริ่มขมวดคิ้ว

“นี่ท่านมาอยู่ที่นี่คนเดียวได้ยังไง?์ แล้วคนอื่น ๆ อยู่ที่ไหน?”

ผมไม่ได้ตอบกลับ

อาจจะเป็นเพราะคนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศชักจะไม่ค่อยดี ทุกคนในกลุ่มก็เลยต่างพากันหยุดเดินด้วยตัวเอง ก็นะ ถ้าไม่ใช่คนตาบอดเป็นใครก็ต้องรู้แล้วว่ามีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้น

“ฝ่าบาท ข้ากำลังถามท่านอยู่ว่าคนอื่น ๆ อยู่ที่ไหน”

ริฟ เอ่ยปากถามอีกครั้ง และเริ่มมีท่าทางหมดความอดทนปรากฎขึ้นบนใบหน้า ดุท่าหมอนี่จะหวังว่าผมคงจะตอบกลับไปประมาณว่า ‘ทุกคนสบายดี แค่ผละออกไปทำธุระอะไรนิดหน่อย’ อยู่ล่ะมั้ง แต่ผมก็ทำการขยี้ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ นั่นไปลงไปอย่างไร้เยื่อใย

“พวกมันตายหมดแล้ว”

“…… เอ๋?”

“พวกมันทุกคนตายไปหมดแล้ว ไม่ใช่แค่กลุ่มที่มากับข้าเท่านั้น แต่ทุกคนยกเว้นกลุ่มที่มากับเจ้าต่างก็ตายไปหมดแล้ว ตอนนี้พวกมันคงกำลังสนุกกับเบียร์อร่อย ๆ ด้วยกันในโลกหน้าแล้วล่ะ”

น้ำเสียงที่ออกมาจากปากของผมนั้นมันเย็นยะเยือกจนแม้แต่ตัวผมเองยังตกใจ มันไม่ได้เป็นแค่น้ำเสียงที่เย็นชา แต่มันยังมีความรู้สึกดูถูกเหยียดหยามอย่างรุนแรงผสมเข้าไปด้วย เรื่องนี้แค่มองหน้าอันบิดเบี้ยวของริฟก็รู้ได้แล้ว

“อย่าบอกนะว่า…… ฝั่งตรงข้ามโจมตีพวกเราทั้งสองทางน่ะ?”

“ท่านริฟเอ๋ย ช่วยเลิกทำเป็นแกล้งโง่ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่เต็มอกเถอะ ถ้าไอ้ที่เจ้าพูดมามันจริงล่ะก็ ข้าจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้ยังไงกันล่ะ จริงไหม”

ผมหัวเราะคิกคัก

“ในปราสาทนี้มันไม่มีกองกำลังศัตรูที่ไหนทั้งนั้นแหละ ถ้าจะมีก็มีเพียงแค่คำโกหกคำโตเท่านั้นเอง”

“ว่ายังไงนะ?”

“นี่ยังไม่เข้าใจอีกหรือยังไง? เรื่องทั้งหมดน่ะก็เป็นแค่แผนการที่ข้าสร้างขึ้นมาเพื่อฆ่าพวกแกทุกคนเท่านั้น”

หน้าของนักผจญภัยทุกคนเปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังเท้า

จากหน้าตายินดี กลายเป็นสงสัย จากสงสัยกลายเป็นเดือดดาล

แต่แค่นี้มันยังไม่พอ เป้าหมายของผมคือการทำให้พวกมันโกรธจนถึงขั้นคลั่งแค้น ผมจึงขยับริมฝีปากของผมให้ฉีกยิ้มกว้างออกมา

“ทั้งหมดนี้ก็ต้องขอบคุณเจ้านะ ริฟ ขอขอบคุณจากใจจริงเลยที่เจ้าเชื่อสิ่งที่ข้าพูดออกไปง่าย ๆ นักผจญภัยที่เชื่อใจจอมมาร ตัวเอกที่ทำให้ละครตลกที่หัวเราะไม่ออกนี้สำเร็จนั้น ไม่ใช่ข้า แต่เป็นเจ้าต่างหาก”

“ทั้งหมดนั่นเป็นเรื่องหลอกลวง……?”

“ถูกต้อง และข้าก็ได้ฆ่า 7 คนนั้นด้วยมือคู่นี้ไปเรียบร้อยแล้ว”

ผมหยิบมีดที่ชุ่มไปด้วยเลือดบนใบมีดที่ซ่อนอยู่ในเสื้อออกมาแสดง

“ไม่ว่าจะหน้าไหน ๆ ก็มีแต่พวกโง่ทั้งนั้น ทุกครั้งที่ข้าใช้มีดแทงเข้าไปในลำคอของพวกมัน พวกมันก็จะตอบสนองกลับมาด้วยการเบิกตาโตเป็นไข่ห่านกลับมาทุกครั้ง นี่พวกเจ้าทุกคนเชื่อจริง ๆ หรือว่าจอมมารอย่างข้าจะยอมเชื่อฟังพวกแกเชื่อง ๆ น่ะหืม? พวกนักผจญภัยมือใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์มันก็น่าสมเพชซะแบบนี้ล่ะน้า”

“……”

“โดยเฉพาะเจ้าหน้าใหม่นั้นนี่สุดยอดสุด ๆ ไปเลย เจ้านั่นมันมองหน้าข้าพร้อมกับพูดว่า ‘เป็นไม่ได้’ ออกมาด้วยนะ ทั้ง ๆ ที่เลือดกำลังพุ่งออกมาจากลำคอของมันเองแท้ ๆ ข้าก็เลยใช้มีดแทงมันไปอย่างนุ่มนวลอีกสักที เพียงแค่นี้ภรรยาของมันที่เฝ้ารออยู่ที่บ้านก็คงจะรู้สึกโล่งใจ ที่ไม่ต้องอยู่กับสามีโง่ ๆ แบบ—”

[ค่าความชอบ นักผจญภัย ริฟ ลดลง 21 แต้ม]

[ค่าความชอบ นักผจญภัย เซ็ด ลดลง 23 แต้ม]

[ค่าความชอบ นักผจญภัย แซ็ค ลดลง 20 แต้ม]

ค่าความชอบของนักผจญภัยทั้งสามคนลดลงเหลือ 0 ในทันที และมีใครซักคนที่ได้หยิบก้อน

หินขึ้นมาขว้างด้วยจิตสังหารอย่างเต็มเปี่ยม ดูท่าคนที่ขว้างมาคงตั้งใจที่จะฆ่าผมจริง ๆ แต่ช่างโชคไม่ดีเอาเสียเลย ที่วิถีการขว้างของหินมันคลาดเคลื่อนไปเพียงนิดเดียว จึงกลายเป็นแค่เฉี่ยวหน้าผากผมไปเล็กน้อยพร้อมเสียง ฝุบ เท่านั้น

“—แบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน”

เสียใจด้วยที่จะต้องบอกว่านั่นเป็นโอกาสสุดท้ายของพวกมันแล้วที่จะโจมตีผม ถ้าเมื่อกี้นี้พวกมันขว้างได้ดีกว่าผมก็อาจจะตายไปแล้ว หลังจากนั้นบางทีพวกมันก็จะได้พบกับฉากจบ happy ending อย่าง ‘นักผจญภัยสามารถปราบจอมมารลงได้’ ก็ได้ ถึงโอกาสมันจะริบหรี่ยังไงแต่โอกาสนั้นมันก็เคยมีอยู่อย่างแน่นอน

“ไม่ใช่เฉียด ๆ หัวข้าแต่ต้องเป็นตรงนี้สิ”

ผมใช้นิ้วเคาะกลางหน้าผากของผมให้พวกมันดู

“∎∎∎∎, ∎∎∎∎∎—!”

และก็ในจังหวะนี้เองที่โกเล็มโจมตีพวกมันจากทางด้านหลัง โกเล็มที่ห่อตัวเป็นก้อนหินจนถึงเมื่อกี้นี้ ได้เปิดฉากจู่โจมแล้ว

นี่เป็นศึกสุดท้าย

จงต่อต้านให้เต็มที่เถอะ ริฟ เอ๋ย แกเป็นมนุษย์คนแรกที่กดหัวของผมลงกับพื้นในรอบ 10 ปีมานี้ ผมได้สาบานกับตัวเองเอาไว้แล้วว่าจะต้องตอบแทนสิ่งที่แกทำมาทั้งหมดอย่างสาสม

เป็นไปไม่ได้ นี่มันเป็นไปไม่ได้!

เจ้าหมอนี่มันอะไรกัน? ตอนนี้เจ้านี่มันให้ความรู้สึกแตกต่างจากที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง! เจ้าคนที่เอาแต่ก้มหัวให้เหมือนกับตัวกระจอกนั่นมันหายไปไหนแล้ว? แล้วคนที่ยืนแสยะยิ้มอย่างอย่างไร้ยางอายตรงนั้นมันใครกัน……!?

“อ้ากกกกก!”

แม่งเอ้ย อีกคนเสร็จไปซะแล้ว

แค่อยู่ดี ๆ เจ้าโกเล็มนั่นก็โผล่มาด้านหลังพวกเราก็แย่พออยู่แล้ว แล้วนี่ ก่อนที่พวกเราจะตั้งตัวได้ก็ถูกโกเล็มมันฆ่าไปแล้วคนหนึ่งอีก ถึงพวกเราสองคนที่เหลืออยู่จะพยายามต่อสู้อย่างเต็มที่ก็เถอะ แต่ว่า…… บัดซบจริง

จุดอ่อนของพวกนักผจญภัยที่ไม่มีประสบการณ์แสดงออกมาให้เห็นตรงนี้เอง ไอ้คนสุดท้ายที่เหลือก็ดันตื่นเต้นมากเกินไปจนสนับสนุนข้าแบบเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ เจ้าตัวโง่งมนี่ ความตื่นเต้นน่ะเป็นได้แค่ยาพิษในระหว่างการต่อสู้เท่านั้นเอง ทำไมเรื่องง่าย ๆ แบบนี้มันถึงไม่จำเข้าไปในสมองของมันนะ!

……ไม่สิ คนที่พาเจ้าพวกไร้ประสบการณ์พวกนี้มายังปราสาทจอมมารก็คือข้าเอง เพราะข้าถูกความโลภเข้าครอบงำจนทำเรื่องผิดพลาดลงไป ข้าในตอนนั้นไม่ได้คิดเลยว่ามันคือความผิดพลาด เอาแต่บอกตัวเองว่านี่คือเรื่องที่ฉลาดสุด ๆ แล้วสุดท้ายเป็นยังไงล่ะ ที่ข้าต้องมาซวยแบบนี้ก็เพราะความโง่ของตัวเองสินะ……?

คำพูดดูถูกเหยียดหยามของจอมมารมันถูกต้องทุกต้องทุกอย่าง ตอนนั้นพวกเรามันประมาทเกินไป บัดซบเอ้ย แต่ข้าก็ยังไม่คิดที่จะยอมตายง่าย ๆ หรอก!

ถึงสุดท้ายแล้วมันจะกลายเป็นแบบนี้ก็ตามที แต่ข้าก็ยังเป็นมืออาชีพในด้านการเอาชีวิตรอดอยู่ ต่อให้จะต้องทนอับอายแค่ไหนก็ตามข้าก็จะเอาชีวิตรอดไปให้จนถึงที่สุดเลยคอยดู

“ขะ-ข้ายอมแพ้!”

ข้าโยนดาบกับโล่ลงบนพื้น

ชายที่อยู่ตรงหน้าข้าอุทาน “โฮ่?” ออกมาจากนั้นก็เผยอรอยยิ้งที่น่ากลัวออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง นี่คงเป็นตัวจริงของชายคนนี้ ชายผู้เลือดเย็น ชายผู้ไร้เมตตา และชายผู้โหดเหี้ยมยิ่งกว่าใคร

“รู้จักทำตัวสงบเสงี่ยมเหมือนกันนี่นา ริฟ”

“ถ้าเพื่อจะทำให้ท่านยอมไว้ชีวิตข้าล่ะก็ ไม่ว่าจะต้องทำอะไรข้าก็จะทำทั้งนั้น กะ-ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ว่า ท่านจอมมารจะเป็นคนน่ากลัวถึงขนาดนี้ ดังนั้นได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วยเถอะ”

ข้าพยายามทำตัวให้น่าสมเพชที่สุด

ไอ้จอมมารเอ้ย ในหัวของแกตอนนี้คิดอะไรอยู่ข้ารู้ดีหรอกน่า

แกคงคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายชนะและข้าเป็นฝ่ายแพ้ สถานการณ์ของเราทั้งสองคนมันพลิกกลับกัน จอมมารผู้ที่แกล้งทำตัวเป็นผู้แพ้มาตลอดจนถึงเมื่อสักครู่นี้ในที่สุดก็สามารถพลิกสถานการณ์กลับได้แล้ว

แกคงกำลังรู้สึกตื่นเต้นดีใจจนเนื้อตัวสั่น แกคงอยากจะสนุกสนานกับช่วงเวลานี้ให้มากที่สุด แกคงอยากจะรื่นรมย์กับชัยชนะของแกด้วยการเหยียดหยามข้าอย่างสนุกสนาน

“ข้าผู้นี้ทั้งสมองทึบและโง่เขลา ยกโทษให้ข้าด้วยเถอะ ท่านจอมมาร! ได้โปรดสงสารและเมตตามนุษย์ผู้ต่ำต้อยผู้นี้ด้วย! ข้าขอสาบานว่าจะไม่เหยียบเท้าเข้ามาในอาณาเขตของท่านเป็นครั้งที่สองอีก……!”

ข้ากระแทกหน้าผากของตัวเองลงกับพื้นไม่หยุด

ข้าไม่สนหรอกว่าวิธีของข้ามันจะหนวกหูและน่าสมเพชแค่ไหน เพราะยิ่งเสียงดังเท่าไหร่มันก็ยิ่งดีเท่านั้น ส่วนที่สำคัญที่สุดคือการทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงพอใจอย่างเต็มที่ก็พอแล้ว

และจอมมารก็ได้ยิ้มเยาะออกมาอย่างที่ข้าคิด

“ข้าเข้าใจแล้ว ถ้าเจ้าคิดอยากจะขอโทษข้าล่ะก็ จงกระทำด้วยการตัดมือของตัวเองทิ้งซะ”

“มะ-มือของข้า?”

“ใช่ จงตัดมือตัวเองทิ้งซะแล้วข้าจะไม่ฆ่าเจ้าทิ้งซะเดี๋ยวนี้ จะไม่ตัดแขน จะไม่ตัดขา ของเจ้าด้วยเช่นกัน”

จอมมารหัวเราะคิกคัก

“ลองคิดดูดี ๆ สิ ทางข้าออกจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบในการค้าครั้งนี้เสียด้วยซ้ำ”

ประโยคที่ข้าพูดออกไปเพื่อเย้ยหยันจอมมารก่อนหน้านี้ ได้วกกลับมาทิ่มแทงข้าดุจลูกเกาทัณฑ์อย่างไม่ผิดเพี้ยน

ข้ากัดฟันของตัวเองแน่น

แต่นี่ล่ะคือโอกาสของข้า โอกาสนี้เท่านั้นที่ข้าจะสามารถชักอาวุธออกมาได้โดยไม่ต้องกลัวว่าอีกฝ่ายจะระแวงสงสัย

“ข้าเข้าใจแล้ว ข้ายินดีที่จะตัดมือของข้าทิ้ง ขอขอบคุณที่ท่านยอมยกโทษให้ข้า ขอบคุณ ขอบคุณท่านมาก ท่านจอมมาร……”

ข้าชักมีดสั้นที่เสียบอยู่ข้างเอาข้าออกมา

และในขณะที่กำลังง้างมีดอยู่กลางอากาศเหมือนกับว่ากำลังจะฟันลงมาที่มีดของตัวเองนั้นเอง ข้าก็ลุกขึ้นทั้ง ๆ แบบนั้นและพุ่งเข้าใส่จอมมาร

เปิดช่องว่างให้ข้าแบบนี้ แกยังอ่อนหัดนัก จอมมารดันทาเลี่ยน!

“ย้ากกกกกก!”

ข้าร้องตะโกนพร้อมวิ่งออกไป

โทษทีนะแต่ข้าคนนี้มีพรสวรรค์ในด้านการชักจูงจิตใจคนอื่นนักล่ะ ถ้าจะโทษ ก็จงโทษความผิดพลาดของตัวเองที่เชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไปจนคลายความระมัดระวังในตอนที่ใกล้จะได้ชัยชนะเถอะ

ถึงจอมมารจะถือดาบยาวอยู่ในมือ แต่จะมาตั้งท่าป้องกันตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว โกเล็มที่อยู่ด้านหลังก็ไม่มีทางที่จะตามข้าทันเช่นกัน ตอนนี้ไม่ว่าใครจะเคลื่อนไหวยังไงก็ตาม ก็ไม่มีทางไล่ทันข้าที่กำลังจะเสียบมีดเล่มนี้เข้าไปในตัวจอมมารบัดซบนี่!

ข้าใช้พลังใจของข้าลงแส้บนร่างกายของตัวเองให้เร็วยิ่งขึ้น และแทงมีดสั้นออกไป และจากนั้น

ร้างกายของข้าก็สะดุดล้มก่อนที่ข้าจะไปถึงจอมมาร

“หือออ!?”

ข้าเผลอส่งเสียงประหลาดออกไป เพราะอยู่ ๆ ขาของข้ามันก็หยุดนิ่ง พอก้มลงมาดูขาของตัวเอง มองเห็นสไลม์สีน้ำเงินกำลังห่อหุ้มเท้าขวาอยู่

จากนั้นก็ล้มไถลไปกับพื้นไปด้านหน้าเนื่องจากต้านแรงเฉื่อยจากการวิ่งไม่ไหว ข้าทำได้เพียงได้แต่ร้องคราญคราง พร้อมกับพยายามที่จะดึงเท้าของตัวเองออกมาจากตัวสไลม์อย่างสุดชีวิตแต่ก็ไร้ผล

เป็นเวลากว่าสองวินาทีก่อนที่สมองของข้าถึงจะเริ่มเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เจ้าหมอนั่นมันเตรียมมอนสเตอร์อย่างสไลม์เอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่? อย่าบอกนะว่า ตั้งแต่แรกแล้ว? นี่จะบอกว่ามันรู้ตั้งแต่แรกแล้วหรือว่าข้าจะแกล้งทำเป็นยอมแพ้?

ทันใดนั้นเองก็มีอะไรบางอย่างที่ใหญ่โตบดขยี้ร่างกายของข้า

“อ้ากกก!”

โกเล็มทุบกำปั้นของมันลงมายังท่อนล่างของข้า ขาทั้งสองและเอวถูกทำลาย ความรู้สึกของกระดูกตัวเองกำลังถูกบดขยี้มันชัดเจนอย่างยิ่ง ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่แล่นผ่านสมองทำให้สายตาเริ่มพร่ามัวและมืดมิดลง

มีอะไรบางอย่างกำลังไหลออกจากตัวข้า มันคือเลือดของข้าหรือเครื่องในของข้ากันแน่ แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม นี่ก็คือจุดจบของข้า ถึงข้าจะไม่เคยมีประสบการณ์ของการตายมาก่อน แต่ข้าก็มั่นใจว่านี่ล่ะคือความรู้สึกของ ‘ความตาย’

“บัดซบเอ้ย……”

ข้าสำลักเลือกออกจากปาก ไม่เหลือแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะเอ่ยคำพูดออกมา เห็นเพียงเงาราง ๆ ที่เข้ามาในสายตา พอเงานั้นขยับตัว ก็มีดาบแทงทะลุเข้ามาในลำคอ

แทงเข้ามาเพื่อให้มั่นใจว่าข้าจะต้องตายแน่นอน

กับชีวิตที่ยังไงก็ต้องตายแน่นอนแล้วทำแบบนี้มันไม่โหดร้ายไปหน่อยหรือ?

แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดมิดลง ข้ากลับสามารถมองเห็นหน้าของอีกฝั่งหนึ่งได้ชัวขณะ ชายผู้นั้นกำลังก้มลงมองมาที่ข้าและแสยะยิ้ม

“—จงกลับไปเรียนรู้มาใหม่ในท้องแม่แกซะเถอะ เจ้ามือสมัครเล่น”

มันคือรอยยิ้มของปีศาจร้าย

อย่างนี้เองหรือ

สิ่งนี้หรือคือเผ่าพันธุ์ที่เรียกว่าจอมมาร

เฮอะ นักผจญภัยชั้นต่ำอย่างข้าไม่ควรที่จะมาเสนอหน้าต่อหน้าสัตว์ประหลาดอย่างมันตั้งแต่แรกแล้ว ฝ่ายที่ถูกล่ามาตั้งแต่ต้นน่ะไม่ใช่มัน แต่เป็นพวกเราต่างหาก ทำไมข้าถึงได้ไง่งมจนลืมตำแหน่งของตัวเองในห่วงโซ่อาหารไปได้……

สัตว์ตัวไหนก็ตามที่ไม่สามารถแยกแยะว่าใครเป็นผู้ล่าใครเป็นผู้ถูกล่า ชะตากรรมเดียวที่รอมันอยู่ก็มีแต่ความตายเท่านั้นเอง ทั้งที่ข้าเคยสาบานเอาไว้ว่าชีวิตนี้จะไม่ยอมสู้กับพวกมอนสเตอร์โดยเด็ดขาดและจะใช้ชีวิตในฐานะโจรปล้นชิงเท่านั้น แต่ท้ายที่สุดข้ากลับต้องมาเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่อยู่ด้านบนสุดของห่วงโซ่ของสัตวประหลาดได้ซะนี่

สายตาของข้ามืดสนิทลง แม้กระทั่งหลังจากที่ข้าตายไปแล้ว ข้าก็คงยังจะต้องรู้สึกสำนึกเสียใจในความโง่เขลาของตัวเองต่อไปอีกกระมั้ง

“เฮ้อออ”

หลังจากที่มั่นใจว่า ริฟ ได้ตายไปแล้ว ผมก็ปล่อยหายใจยาวเหยียดออกมา

จบเสียที ผมล้มตัวลงนั่งบนพื้น รู้สึกเหมือนกับว่าเส้นประสาทที่บอบบางสุด ๆ ของผมกำลังได้เข้าไปพักผ่อนอยู่ในห้องสปาแล้วกำลังตัวละลายเป็นวุ้นอย่างไรอย่างนั้น นี่ล่ะคือผลลัพธ์ที่ตามมาของการใช้กำลังสมองของตัวเองอย่างเต็มที่ 3 ชั่วโมงติดไม่มีหยุด

หลังจากที่ได้รับอีเมลล์แบบสอบถามปริศนา ผมก็ถูกนำมาปล่อยไว้ในต่างโลก แถมยังต้องรู้สึกตกตะลึงที่ตัวเองกลายเป็นจอมมารในโลกที่มีตัวเอกเป็นผู้กล้า ยิ่งไปกว่านั้น มยังได้ค้นพบว่าตัวเองคือจอมมารผู้ที่อ่อนแอที่สุด ดันทาเลี่ยน นอกจากนี้แล้ว ยังต้องเผชิญกับกลุ่มของนักผจญภัยโดยที่ยังไม่ได้ทันได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่สุดท้ายผมก็สามารถฆ่าพวกมันได้ทั้งหมด

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในเวลา 3 ชั่วโมง มันก็แหงอยู่แล้วที่สมองของผมจะต้องทำงานจนหมดสิ้นเรี่ยวแรง ขอบใจมากนะที่อดทนจนผ่านพ้นมาได้ my pretty brain เจ้าคงทำงานหนักจนถึงขนาดว่าคงมีเซลล์สมองระเหยไปหลายเซลล์เลยล่ะมั้งนี่

[1.กำจัดนักผจญภัยไปทั้งแบบนี้]

[2.ถูกนักผจญภัยจับตัวไปทั้งแบบนี้]

คำพูดที่อยู่ตรงมุมสายตาของผมส่องสว่าง

ตัวอักษรแตกออกเป็นชิ้นก่อนกลายเป็นผงสีขาวและรวมตัวกันขึ้นมาเป็นประโยคใหม่

[การตัดสินใจที่อำมหิตไร้เมตตา!]

[ชื่อเสียงด้านลบเพิ่มขึ้นเล็กน้อย]

“ไม่ใช่การตัดสินใจที่อำมหิตแต่ต้องเป็นการตัดสินใจที่หลักแหลมต่างหาก”

ผมพูดโพล่งประท้วงออกไป

ถ้าไม่ทำแบบนี้แล้วจะให้ผมทำยังไงกับคนที่มาบุกเข้ามาแถมยังตั้งใจที่จะฆ่าผมอีกหา? จะให้พวกเราจับมือกันและกันแล้วร้องเพลงสามัคคีชุมนุมรึยังไง? ตลกตายล่ะ

[โหมดฝึกหัด เสร็จสมบูรณ์!]

เสียงแตรแห่งชัยชนะดังกึกก้อง

หน้าต่างแจ้งเตือนปรากฎขึ้นกลางอากาศเป็นแถวยาวเหยียด

[คุณจะได้รับรางวัลโบนัสพิเศษของระดับความยาก]

[LUNATIC— ท่านได้รับรางวัลโบนัสพิเศษระดับสูงสุด]

[ท่านสามารถเลือกสิทธิพิเศษของระดับ S ได้]

[กรุณาเลือกสิทธิพิเศษด้วย]

[※คำเตือน: ระบบต่าง ๆ ที่ทำงานอัตโนมัติในระหว่างโหมดฝึกหัดจะไม่สามารถใช้งานได้อีกหลังจากนี้เป็นต้นไป หากมีระบบไหนที่ท่านต้องการใช้งานต่อกรุณาเลือกในหน้าจอสิทธิพิเศษ]

แหม ใจดีซะจริงนะ

แปลว่าของอย่างพวก หน้าต่างสถานะปราสาทจอมมารเอย, หน้าต่างที่ไว้ดูสถานะของคนอื่นเอย และก็หน้าต่างที่แสดงค่าความชอบของคนอื่นเอย ทั้งหมดหมดเป็นแค่บริการพิเศษในระหว่างโหมดฝึกหัดงั้นสิ

ให้เราทดลองใช้ระบบทุกอย่างดูก่อน จากนั้นก็ให้ตัดสินใจว่าอยากได้ระบบไหนมากที่สุด

รายการสิทธิพิเศษทั้งหมดปรากฎขึ้นมาเบื้องหน้าผม

จอมมารนักสร้าง (S) เฝ้าดูสภาพของปราส่าทและขยับขยาย

เหยี่ยวของซูส (S) สามารถมองเห็นแผนที่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่แบบไหนก็ตาม

มรดกแห่งโครนัส (S) จะสามารถสร้างจุด save ได้ทุก ๆ 10 ปี

สาวกของแอโฟรไดท์ (S) สามารถมองเห็นระดับความชอบคนคนอื่นได้

สาวกของอะธีนา (S) ความเป็นผู้นำของท่านเพิ่มขึ้นถึงระดับผู้กล้าที่เก่งกาจที่สุด

สาวกของแอรีส (S) พละกำลังของท่านเพิ่มขึ้นถึงระดับผู้กล้าที่เก่งกาจที่สุด

สาวกของอะพอลโล (S) สติปัญญาของท่านเพิ่มขึ้นถึงระดับผู้กล้าที่เก่งกาจที่สุด

สาวกของดิมีเทอร์ (S) ไหวพริบทางการเมืองของท่านเพิ่มขึ้นถึงระดับผู้กล้าที่เก่งกาจที่สุด

สาวกของเฮอร์มีส (S) เสน่ห์ของท่านเพิ่มขึ้นถึงระดับผู้กล้าที่เก่งกาจที่สุด

สาวกของฮิฟีสตัส (S) ความขำนาญของท่านเพิ่มขึ้นถึงระดับผู้กล้าที่เก่งกาจที่สุด

เท้าของไดอะไนซัส (S) นักบวชหญิงในทุกวิหารจะเคารพบูชาท่าน

อาวุธของโพไซดอน (S) ปีศาจระดับสูงที่สุด 50 ตนจะฟังคำสั่งของท่าน

หูของเฮรา (S) ท่านจะสามารถเข้าใจและพูดภาษาของปีศาจทุกภาษา

ตาของเฮดีส (S) ท่านจะได้รับคลังเก็บของส่วนตัวสำหรับการเก็บเงินและไอเท็มต่าง ๆ

มือของโพรมีเทียส (S) ท่านจะสามารถจัดจ้างและอัญเชิญมอนสเตอร์ได้ทุกเมื่อที่ท่านต้องการ

“โฮ่ มีให้เลือกเยอะจริง……”

ผมใช้สายตาสะลืมสะลือไล่มองตัวเลือกทั้งหมด

ตอนนี้รู้สึกอยากจะล้มลงนอนหลับเต็มทน

ตั้งแต่แรกเดิมทีคนอย่างก็ไม่ใช่คนขยันขันแข็งอะไร แต่เป็นพวกขี้เกียจตัวเป็นขน คิดว่าคนที่ย้ายไปอยู่บ้านนอกแล้วเอาแต่เล่นเกมทั้งวันทันทีที่พ่อตัวเองตายนี่ขยันมากนักรึไง? วันนี้น่ะผมทำงานมากเกินพอแล้ว!

“เอ่อ เอาเป็นว่า… นั่นล่ะ เอาเป็นสาวกของแอโฟรไดท์แล้วกัน

ผมพูดออกไปเหมือนกับกำลังไล่เพื่อนที่คอยมารังควาญผมอย่างไรอย่างนั้น

ระบบที่ช่วยทำให้มองเห็นแผนที่ภายในถ้ำคงเป็นเหยี่ยวของซูส ระบบที่ทำให้ผมสามารถเก็บเงินเข้าออกจากคลังสมบัติได้ตลอดเวลาก็คงเป็นตาของเฮดีส และระบบที่ทำให้ผมสามารถอัญเชิญมอนสเตอร์ออกมาที่ไหนก็ได้ก็คงเป็นมือของโพรมีเทียส แต่ละอย่างก็น่าสนใจทั้งนั้น

แต่ว่า ระบบที่โกงที่สุดในจำนวนระบบทั้งหมดก็คือระบบที่ทำให้อ่านข้างในจิตใจของคนอื่นและตรวจสอบค่าความชอบได้นี่ล่ะ ถ้ารวมความสามารถในการแสดงของผมเข้ากับสามารถในอ่านใจของคนอื่นได้แล้ว ผมก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องที่ผมอาจจะไปอดตายอยู่ในที่ ๆ ไม่รู้จักอีกเลย

[ท่านได้เลือกสิทธิพิเศษแล้ว]

[ค่าสถานะของท่านจะถูกกระจายไปยังสถานะต่าง ๆ โดยอ้างอิงจากวิธีการพิชิตโหมดฝึกหัดของท่าน]

รู้แล้วน่า

แล้วตอนนี้ทุกอย่างมันจบลงรึยัง?

ตอนนี้ผมกำลังเอียงตัวพิงโกเล็มอยู่ ถึงร่างกายของโกเล็มจะทำมาจากหินแต่กลับรู้สึกอบอุ่นเหลือเชื่อ อืม แบบนี้ก็น่าจะใช้แทนเตียงได้

โทษทีนะ คุณโกเล็ม แต่ผมขอให้ตัวคุณแทนเตียงซักพักก็แล้วกันนะ

“∎∎, ∎∎∎……”

โกเล็มส่งเสียงร้องออกมาเบา ๆ ผมไม่เข้าใจหรอกว่ามันต้องการจะพูดอะไรแต่ก็สามารถเข้าใจความหมายที่ต้องการสื่อได้ เชิญใช้ตัวข้าได้ตามที่ท่านต้องการ ที่เจ้านี่พูดมาก็น่าจะหมายความว่าแบบนี้ล่ะ

ปีศาจที่อ่อนโยนกับเจ้านายแต่ไร้ความเมตตาต่อนักผจญภัย เท่สุด ๆ ไปเลย ผมนี่เกือบจะหลงรักเข้าแล้วสิ ร่างกายของโกเล็มก็อุ่นดีด้วย สติผมแทบจะหลุดลอยเข้าไปในห้วงนิทราโดยทันที……

ที่นี่คือที่ไหน

ทำไมโลกนี้ถึงได้คล้ายคลึงกับโลกในเกม Dungeon Attack นัก

ระบบที่ควรจะโผล่มาได้เพียงแค่ข้างในเกมกลับโผล่ออกมาที่นี่ได้ยังไง

ถึงจะไม่มีหนทางที่จะตอบคำถามพวกนี้ได้ในสถานการณ์ตอนนี้ แต่กระนั้น ผมก็สามารถบอกได้ว่าในอนาคตต่อจากนี้ จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

นั่นคือผมตั้งใจที่จะอยู่เฉย ๆ และนอนหลับทั้งวันยังไงล่ะ

ชื่อ: ดันทาเลี่ยน

เผ่าพันธุ์: จอมมาร

อาชีพ: ราชา (F)

ระดับชื่อเสียง: นักวิชาการตกกระป๋อง

ความเป็นผู้นำ: C พละกำลัง: F ความฉลาด : A

ไหวพริบทางการเมือง: S เสน่ห์: C ความชำนาญ: F

ฉายา: ไม่มี

ความสามารถ: วาทศิลป์ SS, การพูด S, การแสดง S

ทักษะ: สาวกของแอโฟรไดท์

[ประวัติความสำเร็จ: 0]