apter 3 – โรคภัยไร้หน้า (Part 1)
ความทรงจำจากอดีตที่นานมาแล้ว
ตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมเพิ่งขึ้นชั้นระดับประถม
“พ่อฮะ ทำไมพ่อถึงไม่แต่งงานกับผู้หญิงแค่คนเดียวล่ะครับ?”
ในตอนนั้น ผมได้รู้แล้วว่าเกือบจะทุกประเทศในโลก หรือแม้แต่ประเทศของผมก็ตาม ไม่ว่าที่ไหน ๆ เขาก็มีแต่งงานกันแบบผัวเดียวเมียเดียวกันทั้งนั้น และนั่นก็หมายความว่าสภาพแวดล้อมที่ผมโตขึ้นมา มันเป็นอะไรที่ผิดปกติวิสัยในระดับประเทศเลยทีเดียว
“ไอ้ลูกชาย แกคงจะยังไม่เข้าใจหรอก ว่าผู้หญิงดี ๆ บนโลกนี้น่ะมันหายาก หายากเสียยิ่งกว่าผู้ชายดี ๆ อีก ดังนั้นถ้าเกิดผู้หญิงดี ๆ กับผู้ชายดี ๆ ได้โคจรมาพบกันล่ะก็ ก็ไม่มีคำตอบอะไรอื่นนอกจากทั้งคู่จะเซ็กส์กันน่ะสิ”
พ่อของผมประกาศออกมาโดยไม่มีความรู้สึกอายซักนิด
เคยไร้ยางอายอย่างไรก็ไร้ยางอายอยู่แบบนั้น
“โฮ่? แปลว่าคุณพ่อได้เจอกับ ไอ้ที่พ่อเรียกว่า ‘ผู้หญิงดี ๆ หายาก’ ของพ่อถึง 5 คนเลยหรือครับ?”
“นั่นก็เพราะชาติก่อนพ่อทำบุญมาเยอะไงล่ะ”
“งั้นบางที ชาติหน้าผมควรจะหันไปเชื่ออัลเลาะห์แทน”
ในช่วงเวลานั้น ผมจะไปที่โบสถ์เพื่อภาวนาให้มีฟ้าผ่าลงบนหัวของพ่อผมอย่างแน่วแน่ทุกสัปดาห์ แม้ผมจะไม่มั่นใจว่าทำไมพ่อของผมถึงยังอยู่รอดปลอดภัยดีก็เถอะ บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าพระองค์นั่นกำลังวิ่งทำงานของท่านในระดับโลกอยู่ หรือบางทีท่านอาจจะไม่คิดว่าคำภาวนาอย่างเอาเป็นเอาตายของเด็กอายุ 8 ขวบนั้นสำคัญอะไรนัก ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจอุตสาหกรรมของพระเจ้าที่เป็นแนว Give and take คือต้องมีการให้เกิดขึ้นก่อนถึงจะได้รับของตอบแทนนับแต่นั้นเป็นต้นมา
และหลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มักจะมีเรื่องอื่น ๆ เกิดขึ้นจนเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมกลายเป็นพวกไม่เชื่อในพระเจ้าในที่สุด
“ไอ้ลูกชายปากร้ายเอ๋ย จำคำพูดของพ่อแกคนนี้ไว้”
“ถึงผมจะคิดว่า 80% ของสาเหตุที่ทำให้บุคลิกของผมมันบิดเบี้ยวนั้น มันเป็นความผิดของพ่อก็เถอะ มีอะไรล่ะพ่อ?์”
“ถ้าหากว่าแกโชคดีล่ะก็ แกจะต้องได้พบกับผู้หญิงดี ๆ อย่างแน่นอน และคนที่เป็นผู้หญิงดี ๆน่ะ แค่มองผ่านแกก็จะรู้ได้ในทันที ไม่ว่าตอนนั้นแกจะทำอะไรอยู่ก็ตาม อย่าปล่อยให้ผู้หญิงพวกนั้นหลุดมือแกไปโดยเด็ดขาด”
“อย่างน้อยที่สุด คุณพ่อก็ช่วยใช้รูป เอกพจน์ แทนพหูพจน์ ไม่ได้รึไง? ก็เพราะคุณพ่อใช้รูปพหูพจน์นี่ล่ะมันเลยทำให้ผมรู้สึกว่าไอ้ที่พ่อ ๆ พูดมานั่น คือคำพูดขยะที่ไม่มีค่าเลยซักนิด”
“ขยะ งั้นรึ…… เอาเถอะ ไอ้ลูกชาย แกจงเตรียมตัวเอาไว้เถอะ เพราะไม่ว่าแกจะเลือกหนทางไหน ชีวิตของแกก็มีแต่จะต้องลำบากกว่าพ่อ”
“ทำไมชีวิตของผมมันถึงต้องลำบากกว่าพ่อด้วย? ผมน่ะออกจะเป็นผู้เป็นคนมากกว่าพ่อเสียอีกนะ”
“นั่นก็เพราะว่าแกเป็นคนที่มีความสามารถยิ่งกว่าพ่อยังไงล่ะ”
พ่อของผมยกมุมปากของตัวเองขึ้น
“คนที่มีความสามารถอย่างล้นเหลือน่ะ คนประเภทนั้นไม่ใช่พวกที่จะสามารถแต่งงานกับใครก็ได้หรอกนะ เพราะสุดท้ายแล้วพวกเขาก็จะพยายามค้นหาคู่ชีวิตที่สามารถเข้าใจในตัวของกันและกัน และคนที่จะสามารถเข้าใจในตัวผู้ชายที่เต็มไปด้วยความสามารถได้ ก็มีเพียงแค่ผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความสามารถที่เทียบเท่ากับผู้ชายคนนั้นเท่านั้น แล้วแกคิดว่าหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น?”
พ่อของผมชูนิ้วชี้ขึ้น
“ในเมื่อคนสองคนที่เต็มไปด้วยความสามารถอยู่ด้วยกัน ทั้งเขาและเธอก็คงจะช่วยกันสร้างสิ่งที่ยอดเยี่ยมขึ้นมาได้หลายอย่าง ความสำเร็จนั้นจะทำให้เขาก้าวไปสู่ตำแหน่งที่สูงยิ่งขึ้น และได้พบกับผู้หญิงคนอื่นที่เต็มไปด้วยความสามารถที่เท่ากับเขาอีกคน และหลังจากที่เขาและเธอสามารถเข้าใจกันและกันได้แล้ว คราวนี้ก็จะกลายเป็นสามคนที่เต็มไปด้วยความสามารถอยู่ด้วยกัน”
ต่อด้วยนิ้วกลาง
“ตอนนี้ หลังจากมีสามคนแล้วเขาก็จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นอีก และจากที่จุดสูงสุดนั้นเองเขาก็จะมองไปรอบ ๆ เพื่อมองหาผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความสามารถคนอื่น และก็จะกลายเป็น 4 คน หลังจากนั้น ก็จะเพิ่มกลายเป็น 5 คนก่อนที่แกจะรู้ตัวเสียอีก”
และก็ชูนิ้วนางและน้อยก้อยขึ้นมาเป็นการปิดท้าย
ผมรู้สึกมึนงงจนต้องพูดเถียงกลับไป
“……ตั้งแต่ผมเกิดมา ผมยังไม่เคยได้ยินอะไรที่มันเหลวไหลสิ้นดีแบบนี้มาก่อน ทั้ง ๆ ที่ผมเคยคิดว่าการตั้งครรภ์ระหว่างมนุษย์กับสุนัขนั้นจะเป็นเรื่องอะไรที่เป็นไปไม่ได้ แต่พอผมมองดูพ่อแล้ว ผมเองก็ชักรู้สึกกลัวขึ้นมาแล้วสิบางทีว่าตัวผมเองเนี่ยแหละอาจจะเป็นผลผลิตของปาฎิหารย์ที่สามารถก้าวข้ามเส้นที่ไม่อาจก้าวข้ามนั่นมาได้”
“แกมันเป็นปีศาจร้ายที่ยิ่งกว่าพ่อเสียอีก ขีดจำกัดของพ่อของแกคนนี้อยู่ที่ผู้หญิง 4 คน นี่เป็นจำนวนที่มากที่สุดเท่าที่พ่อจะทำได้แล้ว แต่เรื่องนั้นน่ะช่างเถอะ พ่อคนนี้จะคอยเฝ้าดูแกว่าแกจะทำได้ถึงกี่คนอย่างใจจดใจจ่อเลยล่ะ”
“ไอ้พ่อเศษเดนมนุษย์เอ้ย ผมจะไม่ยอมมีความสัมพันธ์กับใครทั้งนั้น—”
ผมจ้องมองตาพ่อของผมตรง ๆ
“และถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วผมต้องไปมีความสัมพันธ์กับใครก็ตามที ผมก็จะคบกับคน ๆ นั้นแค่คนเดียวเท่านั้น ผมจะไม่มีวันทำอะไรอย่างการนอกจากใจคนที่เป็นคนสำคัญของผมเด็ดขาด”
“ก็เป็นคำพูดที่สมกับเป็นตัวแกดีนะ”
พ่อผมแสยะยิ้ม
น่ารำคาญจริง
แต่นั่นก็เป็นการยิ้มที่เท่มาก ขนาดลูกชายอย่างผมยังคิดแบบนั้นเลย
ครั้งหนึ่งผมเคยคิดว่า ชีวิต นั้นมันเป็นอะไรที่งดงามเหลือเกิน
งดงาม งดงามจนถึงขนาดที่ผมคิดว่าไอ้พวกที่คิดว่าตัวเองนั้นป็นพวก ‘สูญนิยม’ นั้นควรจะยอมรับว่าชีวิตนั้นเป็นอะไรที่งดงามได้แล้ว
ตามท้องเรื่องที่ถูกตั้งมาของเกม Dungeon Attack จอมมารนั้นก็คือกลุ่มก้อนของพลังงานเวทมนตร์ ระบบทุกอย่างในร่างกายนั้นต่างก็ถูกจัดการด้วยเวทมนตร์ทั้งสิ้น หรืออีกนัยหนึ่งคือ ต่อให้ไม่ได้กินหรือไม่ได้นอน สมองของจอมมารก็ยังสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่นั้นเอง
ต่อให้ผมนอนกลิ้งไปมาบนเตียง 4 วันติดต่อกันโดยไม่ทำอะไรเลยก็ไม่มีปัญหาใด ๆ
ผมไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อหาเงินมาเพื่อซื้อข้าวกินด้วยซ้ำ
แบบนี้มันไม่ใช่ชีวิตในอุดมคติของเหล่า NEET ทั่วโลกหรอกหรือ?
ผมล่ะอยากขอใช้พื้นที่ตรงนี้ในการประกาศว่า
จอมมารนั้นสุดยอดที่สุด
ขอฉลองด้วยการร้องไชโยดัง ๆ แก่ให้จอมมาร
“……ฝ่าบาท ดันทาเลี่ยน”
อย่างน้อย ๆ มันเคยมีครั้งหนึ่งที่ผมคิดแบบนั้นจริง ๆ
ส่วนตอนนี้ผมกำลังหันหน้าไปยังต้นตอของเสียงที่ดังขึ้นมานี้อย่างช้า ๆ
ขณะนี้ผมกำลังนอนอยู่บนเตียงของผม ดังนั้นเมื่อผมหันหน้าไปทางไหนผมก็ต้องพลิกตัวตามไปด้วย ซึ่งมันเป็นการกระทำที่สิ้นเปลืองพลังงานเป็นอย่างยิ่ง ผมจึงทำสายตาราวกับกำลังสาปแช่งรัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อมที่เพิ่งจะรายงานการใช้ไฟฟ้าในฤดูร้อนเสร็จ มองไปยังต้นตอของเสียง
“เรียกข้าทำไม?”
“เนื่องจากวันนี้เป็นวันครบกำหนดเส้นตายแล้ว ดังนั้นคราวนี้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เราผู้นี้ก็จะให้ฝ่าบาทชำระทั้งเงินต้นและดอกให้ได้”
ณ ตรงนั้น มีผู้หญิงที่ไว้ผมเปีย 2 ข้าง ยืนอยู่”
รูปร่างหน้าตาภายนอกของเธอนั้นดูเหมือนกับเด็กสาวที่เพิ่งจะจบจากมัธยมปลาย แต่ใบหน้าของเธอนั้นกลับไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ มันดูไม่เข้ากับรูปร่างภายนอกของเธอเลยซักนิด มันให้ความรู้สึกเหมือนที่กับพวกทหารกลับมาจากสงครามใหม่ ๆ มักจะเป็นกัน ดูเหมือนว่าสิ่งที่เรียกอารมณ์ของเธอคนนี้จะได้แผดเผาจนมอดไหม้ไปจนหมดแล้ว
จะบอกว่าสิ่งที่อยู่บนใบหน้าของเธอมันคือความรู้สึกที่คล้าย ๆ กับความเบื่อหน่ายได้ไหมนะ
นั่นคือความรู้สึกบนใบหน้าในเวลาปกติของเธอ แม้ว่าตอนนี้เวลาจะผ่านไปแล้วครึ่งเดือนนับตั้งแต่ผมได้พบกับเธอเป็นครั้งแรก ผมก็ยังไม่เคยมีบุญได้เห็นสิ่งใกล้เคียงกับไอ้ที่เขาเรียกว่า รอยยิ้ม บนในหน้าของเธอเลยซักครั้ง จนผมชักจะสงสัยว่าเธอป่วยเป็นโรคอะไรหรือเปล่า บางทีเธออาจจะกำลังป่วยเป็นโรค ปวด-ประ-จำ-เดือน-ตลอด-กาล ก็ได้ เออ ไอ้โรคนี้ฟังดูเข้าท่าดี บางทีมันอาจจะมีจริงก็ได้แฮะ
เธอเอ่ยปากพูดออกมา
“เมื่อสามเดือนก่อน ฝ่าบาทได้กู้ยืมเงินไปเป็นจำนวน 100 ลิบรา ซึ่งในส่วนของดอกเบี้ยอย่างเดียว หากนับรวมดอกเบื้ยของเดือนนี้เข้าไปแล้ว ก็จะเป็นเงินทั้งหมด 96 ลิบรา ดังนั้นเราผู้นี้จึงได้มาที่นี่เพิ่อเก็บเงินจำนวน 196 ลิบราจากฝ่าบาท”
“ข้าขอพูดอีกครั้งว่า ข้าไม่เคยขอยืมเงินจากเธอมาก่อน”
ผมใช้นิ้วก้อยแคะจมูกตัวเอง
“แล้วจะให้ข้าคืนเงินที่ข้าไม่ได้ยืมมาได้ยังไง? ตัดใจซะเถอะ”
“ผิดแล้ว ฝ่าบาทได้ทำการกู้ยืมเงินจากบริษัท Keuncuska ไปอย่างแน่นอน กรุณาดูที่ตราสารหนี้แผ่นนี้ด้วย บนกระดาษใบนี้มีลายนิ้วมือของฝ่าบาทอยู่”
เธอได้หยิบม้วนกระดาษออกมาจากกระเป๋าของเธอ
และบนม้วนกระดาษนั้น ก็มีสัญญาที่ถูกเขียนขึ้นมาด้วยลายมือแบบเก่า ๆ อยู่
หนังสือยอมรับสภาพหนี้
จำนวนเงิน 100 ลิบรา (ดอกเบี้ยทบต้น 40% ทุก ๆ เดือน)
จอมมารดันทาเลี่ยน ผู้มีลำดับ 71 ได้ทำการยืมเงินตามจำนวนที่เขียนไว้ด้านบน
ดอกเบี้ยจะต้องจ่าย ณ วันที่ 10 ของทุกเดือน และเงินต้นจะถึงกำหนดจ่ายคืนในปี 1505 วันที่ 11 เดือน 4 และในกรณีที่ไม่ได้ทำการจ่ายดอกเบี้ยภายในวันที่กำหนด ผู้ให้ยืมสามารถที่จะเรียกร้องให้ผู้ยืม จอมมารดันทาเลี่ยน ทำการจ่ายเงินต้นและดอกคืนเมื่อใดก็ได้ และในระหว่างนั่นผู้ยืมจะต้องไม่มีการแสดงท่าทีขัดขืน
ปี 1505 วันที่ 1 เดือน 2
ดันทาเลี่ยน จอมมารไร้ชื่อเสียง ผู้มีลำดับที่ 71
บริษัท Keuncuska, ตำแหน่งที่ปรึกษาส่วนตัว, แลพิส แลซูลี
ขอให้สัตยาบันแก่ท่านเทพเฮอร์มีสและท่านเทพเฮดีส
“ก็อย่างที่ฝ่าบาทเห็น”
เธอได้แสดงม้วนกระดาษให้ผมดูและพูดคำพูดที่ถูกเรียบเรียงออกมาอย่างดี
“เดิมที กำหนดเส้นตายนั้นคือวันที่ 11 ของเดือนนี้ และฝ่าบาทก็ได้ขอให้เราผู้นี้ทำการยืดเวลาออกไปอีกหนึ่งสัปดาห์ บัดนี้หนึ่งสัปดาห์นั้นก็ได้ผ่านไปแล้ว ฝ่าบาท ตอนนี้ครบกำหนดเวลาที่จะต้องชำระเงินแล้วค่ะ”
“นี่ข้า~ เคยทำ~ อะไรแบบนั้นด้วยหรือ ~ ข้าไม่เห็นจะจำได้เลย~”
“ถึงจะแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องไปก็ไม่มีประโยชน์”
ผมกำลังจะแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเสียหน่อยแต่เธอคนนี้ก็พูดจาตัดเยื่อใยทันที
“เราผู้นี้ยืดเส้นตายให้มากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว”
“เธอช่วยขยายเส้นตายต่อไปอีกสักสัปดาห์ไม่ได้รึ?”
“เป็นไปไม่ได้”
เธอตอบกลับมาในทันที
“ไม่ใช่ว่าคราวที่แล้วฝ่าบาทก็ได้พูดแบบนี้หรอกหรือ? การยืดเส้นตายให้หนึ่งครั้งนั้นอาจจะเป็นไปได้ แต่การยืดเส้นตายให้ติดต่อกันสองครั้งซ้อนนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
ยัยพยาบาทเอ้ย
ยัยนี่มันเป็นผู้หญิงประเภทที่ฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตาชัด ๆ
♦
หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้
อยู่ ๆ ผู้หญิงคนนี้ก็ได้เข้ามาเยี่ยมปราสาทของผมพร้อมกับแนะนำตัวเองว่ามาจากบริษัทอะไรซักอย่าง ซึ่งไอ้แขกประเภทนี้เนี่ยถ้าเป็นในโลกเดิมของผมล่ะก็ไม่มีใครเขาอยากต้อนรับหรอก และมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ เพราะว่าอยู่ดี ๆ เธอก็ยัดเยียดใบแจ้งหนี้ให้ผมพร้อมทั้งกดดันให้ผมจ่ายเงินคืนให้ได้
“หนี้……?”
“ถูกต้องค่ะ ฝ่าบาท”
เธอโค้งคำนับให้ผม ทุกท่าทางการเคลื่อนไหวของเธอนั้นงดงามราวกับเมดที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
เว้นเสียแต่ความจริงที่ว่า ผมสัมผัสถึงความเคารพที่เธอมีให้ผมไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว เธอให้ความรู้สึกที่เหมือนกับว่า การที่เธอโค้งคำนับให้กับผมนั้นก็เพราะว่ามันเป็นมารยาททางสังคมที่ขาดเสียมิได้ก็เท่านั้น
เอาเถอะ ยังไงซะผมเองก็เป็นแค่จอมมารแต่ในนาม จอมมารดันทาเลี่ยนนั้นมันก็เปรียบได้กับพวกปลาซิวปลาสร้อยเท่านั้นเอง แค่เธอแสดงมารยาทขั้นต่ำสุดต่อผมแบบนี้ผมก็ต้องรู้สึกขอบคุณเธอแล้ว ในทางกลับกันไอ้คนที่เป็นลูกหนี้อย่างผมต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายก้มหัวให้ ดังนั้นผมจึงไม่มีคำตำหนิใด ๆ ในเรื่องนี้
“เมื่อราว ๆ สองเดือนก่อน ฝ่าบาทได้ทำการกู้ยืมเงินเป็นจำนวน 100 ลิบราจากบริษัท Keuncuska ของเรา และตอนนี้ก็ได้ถึงกำหนดชำระหนี้ที่ว่า ดังนั้นเราผู้ต่ำต้อยผู้นี้จึงได้มาพบกับฝ่าบาทโดยตรง”
“ให้ตายสิ……”
ผมหลับตาแน่น
ผมเคยคิดว่าสถานะของจอมมารดันทาเลี่ยนจะไม่มีทางที่จะแย่ลงไปกว่านี้แล้วเสียอีก แต่ดูท่าผมคงจะมองโลกในแง่ดีเกินไปหน่อย
หลังจากที่ผมใช้ชีวิตตัวเองเป็นเดิมพันจนสามารถขับไล่พวกนักผจญภัยกลับไปได้ คราวนี้ก็มีคนจากบริษัทสินเชื่อมาเคาะที่ประตูบ้านต่อ หลังจากก่อจราจลในประเทศแล้วก็ตามมาด้วยการรุกรานทางเศรษฐกิจต่อเลยงั้นหรือ ความจริงแล้วก็เป็นวิธีล่าอาณานิคมแบบมาตรฐานเลยล่ะนะ ช่างเป็นแผนการที่น่าชมเชยเสียจริง ทำเอาผมล่ะอยากจะตบมือให้กับกลุยุทธทางการทูตที่สะอาดหมดจดนี้มาก ถ้าไม่ติดว่าไอ้คนที่กำลังซวยอยู่นั่นมันคือผมล่ะก็นะ ไอ้ห่าเอ้ย
“ฝ่าบาท?”
ในระหว่างที่ผมกำลังคอตกเพราะความสิ้นหวังนั้นเอง เธอก็ทำท่าเอียงคอสงสัย ดูท่าเธอคงจะพอมีความคุ้นเคยกับเจ้าดันทาเลี่ยนอยู่บ้าง เธอน่าจะสังเกตุว่าดันทาเลี่ยนที่อยู่ด้านหน้าเธอในตอนนี้ไม่เหมือนก่อน
เอาเป็นว่าตอนนี้ เพื่อที่จะรู้ว่าเธอชื่ออะไร ผมเลยทำการพูดในหัวตัวเองเบา ๆ
‘สถานะ’
ชื่อ: แลพิส แลซูลี
ความอึด: E
พลังโจมตี: D
พลังป้องกัน: F
ค่าความชอบ: 0
ชื่อของเธอคือ แลพิส แลซูลี สินะ
ผมสงบสติอารมณ์ตัวเองลงและปั้นสีหน้าจริงจัง ดูท่าตอนนี้จะได้ฤกษ์งามยามดีในการโกหกอีกแล้ว อืม ในเมื่อค่าความชอบของเธอที่มีต่อผมนั้นเป็น 0 งั้นก็คงต้องใช้เสียงแบบเย็นชานิดหน่อยล่ะมั้ง
“แลซูลี ข้ามีความลับอย่างหนึ่งที่จำเป็นต้องบอกเธอ”
“……”
เอ๋?
ไม่รู้ว่าทำไม แต่อยู่ ๆ เธอก็ทำตาโตขึ้นมานิดหน่อย ดูเหมือนว่าเธอจะตกใจกับคำพูดของผมเมื่อกี้นี้ แต่ว่าผมยังไม่ทันที่จะพูดอะไรแปลก ๆ ออกไปเลยนี่นา แล้วทำไมเธอมีท่าทางแปลก ๆ แบบนี้ล่ะ
“เป็นอะไรไป?”
“ขออภัย เราผู้นี้ไม่เคยนึกไม่เคยฝันแม้แต่ในความฝันที่เพ้อเจ้อเหลวไหลที่สุดเลยว่า ฝ่าบาทจะสามารถจำชื่อของเราผู้นี้ได้ โดยปกติแล้ว ฝ่าบาทจะเรียกเราผู้นี้โดยใช้คำอย่าง ยัยลูกผสม, พวกชั้นต่ำ, หนอนแมลง หรือไม่ก็ยัยโสเภนี……”
เจ้าดันทาเลี่ยนนี่มันเป็นเศษเดนของเศษเดนยิ่งกว่าที่ผมเคยคิดไว้ซะอีก
ผมแกล้งทำเป็นกระแอมไอแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ฮะแฮ่ม จำเอาไว้ว่าเรื่องที่ข้ากำลังจะพูดต่อไปนี้ ก็เป็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับเธอด้วยเช่นกัน ถึงเธออาจจะไม่รู้ก็เถอะ แต่ว่าหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้มีกลุ่มนักผจญภัยได้เข้ามาบุกที่นี่ และในระหว่างที่ข้าทำการตอบโต้พวกมันนั้นเอง ศรีษะของข้าก็ได้กระแทกเข้ากับพื้นอย่างจัง และหลังจากนั้นข้าก็ได้พบว่าตัวเองเสียความทรงจำไปบางส่วน”
ผมชี้ไปที่ขาของตัวเอง
“ขาของข้าเองก็ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงและเพิ่งจะหายดีเมื่อหลายวันมานี้เองเช่นกัน มันเป็นสถานการณ์ที่เฉียดความเป็นความตายมากจริง ๆ ข้าขอสารภาพตามตรงว่านอกจากจำได้ว่าเธอมีชื่อว่า แลพิส แลซูลี แล้ว ข้าก็จำเรื่องอื่น ๆ ได้อย่างเลือนลางสับสนเท่านั้น”
“……เป็นเช่นนั้นหรือคะ”
แลพิส แลซูลี มองมาที่ผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย
แหงล่ะ อยู่ดี ๆ ก็บอกว่าตัวเองสูญเสียความทรงจำแบบนี้ใครเขาจะยอมเชื่อกัน แต่กระนั้นผมก็ท้าทายเธอด้วยการมองตาเธอกลับไป ชั่วครู่นั้นเอง รอบ ๆ ตัวพวกเราก็กลายเป็นบรรยากาศที่ต่างฝ่ายต่างจ้องจับผิดซึ่งกันและกัน
ในที่สุด ก็ดูเหมือนว่า แลพิส แลซูลี จะสามารถทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ได้ในแบบฉบับของเธอเอง เธอจึงทำท่าโค้งคำนับอีกครั้ง
“การได้รับใช้ฝ่าบาทถือเป็นอภิสิทธิ์พิเศษของเราผู้นี้ หากมีสิ่งใดที่เราผู้นี้สามารถกระทำเพื่อช่วยเหลือฝ่าบาทได้ล่ะก็ ได้โปรดพูดออกมาเถิด เราผู้นี้จะกระทำอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยเหลือฝ่าบาท”
“ดี งั้นข้าก็มีเรื่องที่อยากจะขอไหว้วานเธอเดี๋ยวนี้เลย”
“ค่ะ”
“…… เธอช่วยยืดเวลาเส้นตายออกไปให้หน่อยสิ”
แลพิส แลซูลี กระพริบตา
“อะไรนะคะ?”
“ตอนนี้ข้ามีเงินไม่พอน่ะ แต่ข้าจะต้องหาเงินมาจ่ายคืนได้ภายในสัปดาห์นี้อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นเธอช่วยยืดระยะเวลาจ่ายเงินออกไปให้หน่อยได้ไหม? ถือว่าข้าขอร้องล่ะ”
“……”
สายตาของเธอเย็นชาลงทันที
ผมพนันสิบต่อหนึ่งเลยเอ้า ว่าตอนนี้เธอคงจะเข้าใจผิดไปเต็ม ๆ ว่าผมแกล้งทำเป็นความจำเสื่อมเพื่อที่จะยืดเส้นตายออกไป ถึงจะน่าเสียดาย แต่ผมเองก็ไม่มีความสามารถพอที่จะแก้ไขความเข้าใจผิดอันนี้เสียด้วยสิ……
แลพิส แลซูลี เธอเป็นผู้หญิงที่มีเหตุผลและมีรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้ในทุกสถานการณ์
แต่ถ้าถามความเห็นของตัวผมเองล่ะก็ ผมขอพูดว่าเธอนี่ล่ะคือยัยปีศาจร้าย ทั้ง ๆ ที่ผมขอร้องถึงขนาดนี้แล้ว ขอเวลาแค่สัปดาห์เดียวเธอก็ยังไม่ยอมให้ เธอยอมยืดเวลาให้ผมเพียงแค่สองวันเท่านั้น
และจากวันนั้นมาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ผมก็เล่นเกมแมวจับหนูจับยัยเจ้าหนี้มหาโหดมาโดยตลอด
วันแรก
“ฝ่าบาท ตอนนี้ดอกเบี้ยได้ค้างชำระเป็นเวลาสองเดือนแล้ว เงินต้นนั้นมีจำนวน 100 ลิบรา แต่เพียงแค่ดอกเบี้ยค้างชำระในตอนนี้ก็มีจำนวนสูงถึง 96 ลิบราแล้ว ได้โปรดทำการชำระเงินด้วย”
“อย่างแรกเลย ไอ้อัตราดอกเบี้ยทบต้นมหาโหด 40% ทุกเดือนนี่มันจะไม่เกินไปหน่อยเรอะ!? นี่มันจะหน้าเลือดเกินไปหน่อยแล้วมั้ง!”
ผมตะโกนโวยวายในขณะที่เดินไปตามเส้นทางในถ้ำ
ในมุมหนึ่งของถ้ำนี้มีทะเลสาบใต้ดินอยู่ และที่น่าสนใจเกี่ยวกับทะเลสาบนี้ก็คือมันอุ่นจนเหมือนกับกำลังอยู่ข้างในสปา งานอดิเรกของผมคือการไปที่นั่นทุก ๆ วันและใช้เวลาอิ่มเอมไปกับการแช่น้ำอุ่น ๆ นั้น แต่ว่าในที่สุด ยัยเจ้าหนี้หน้าเลือดนี่ก็สามารถแก้ปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยของเธอในถ้ำนี้ได้และคอยตามตื้อผมไม่หยุด ตอนนี้แม้แต่ความสุขของผมในงานอดิเรกเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ก็ไม่มีเหลือ
“ไอ้บริษัท Keuncuska หรืออะไรนั่นน่ะ ข้าจะขอทำการร้องเรียน! ไอ้อัตราดอกเบี้ยนี่มันเป็นตัวอย่างที่เลวร้ายต่อสภาพเศรษฐกิจและสภาพทางจิตใจของสังคมนี้ชัด ๆ !”
“ก็เพราะเช่นนั้นเราผู้นี้จึงได้ทำการเตือนฝ่าบาทตั้งแต่แรก ว่าถ้าไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังจริง ๆ อย่าทำได้ทำการกู้ยืมเงินจากบริษัท Keuncuska ของเราเด็ดขาด แต่ผู้ที่ดื้อดึงทำการขอกู้ยืมเงินเมื่อสองเดือนที่แล้วนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฝ่าบาทดันทาเลี่ยนเอง”
“ไอ้คนที่ขอยืมเงินนั่นน่ะมันไม่ใช่ข้าสักหน่อย……!”
ผมกัดฟันแน่นแล้วร้องตะโกนออกไป
ทำไมผมต้องมาจ่ายเงินที่คนอื่นเป็นคนยืมไปด้วย?
นี่มันเรื่องเหลวไหลสิ้นดี เอ๊ะไม่สิ ไอ้เรื่องที่มันเรื่องเหลวไหลเพ้อเจ้อยิ่งกว่าอะไรดีน่ะ คือเรื่องที่ผมดันเผลอไปคิดว่า การมีชีวิต มันเป็นอะไรที่งดงามต่างหาก อย่างที่คิดไว้จริง ๆ ไอ้ชีวิตงดงามอะไรนั่นน่ะ มันก็เป็นเพียงแค่ภาพลวงตา ความจริงแล้วชืวิตน่ะมันเป็นอะไรที่ทั้งสกปรกทั้งไร้ราคาต่างหาก ผมขอสบถด่าโชคชะตาของตัวเองที่ทำให้ผมต้องมาเข้าสิงอะไรอย่างจอมมารนี่ด้วย
ไอ้พวกจอมมารนี่มันเลวร้ายที่สุด
ไอ้พวกจอมมารจงตาย ๆ ไปซะเถอะ
“ขออภัย ฝ่าบาท แต่เราผู้นี้ไม่เข้าใจว่าท่านกำลังหมายถึงอะไร”
“ข้ากำลังบอกว่าไอ้ตัวโง่งมที่ชื่อว่าดันทาเลี่ยนนั่นเป็นคนยืมเงินไปไม่ใช่ข้ายังไงล่ะ……!”
สายตาของ แลพิส แลซูลี ที่กำลังมองผมอยู่นั้นเปลี่ยนไปเป็นสายตาที่เหมือนกับกำลังมองอะไรที่เน่าเฟะอยู่
ฝ่าบาทก็คือ ดันทาเลี่ยน ผู้นั้นไม่ใช่หรือ สายตาของเธอกำลังถามผมแบบนั้น ใช่สิ คนอื่นที่ไม่ใช่ผมคงไม่มีทางเข้าใจว่าผมกำลังหมายถึงอะไรหรอก มันก็แหงอยู่แล้วล่ะ……
“ถ้าการชำระเงินคืนมันยากเกินความสามารถล่ะก็ ยังพอมีตัวเลือกอื่นอย่างการประกาศล้มละลายอยู่นะคะ”
“ข้าถูกต้อนให้ต้องล้มละลายตั้งแต่แรกแล้วสินะ หือ ฮะฮะ”
สวัสดี พ่อแม่พี่น้องประชาชนทุกท่าน
กระผมคืออดีตประชาชนตัวอย่างที่กลายมาเป็นจอมมาร
ถ้าพูดถึงจอมมารแล้ว พวกท่านคงนึกถึงพวกจอมมารที่บังคับบัญชาการกองทัพปีศาจและไล่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่ แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ดูเหมือนว่าผมจะไม่มีอะไรเหมือนกับอย่างที่ว่ามานั้นแม้แต่นิดเดียว
ผมเคยคิดว่าแค่การที่ผมลืมตาตื่นขึ้นมาก็เกือบจะต้องตายภายใต้เงื้อมมือของเหล่านักผจญภัยมันเป็นอะไรที่ไม่ยุติธรรมสุด ๆ แล้ว นี่ยังจะบอกว่าผมมีหนี้ที่จะต้องจ่ายอีก? ผมจะไปร้องเรียนความอยุติธรรมนี่ได้ที่ไหน? ตำรวจ? ศาล? หรือว่าจะเป็นโรงพยาบาลบ้าดี?
ทั้ง ๆ ที่ผมก็แค่อยากจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของผมอย่างสงบสุขในฐานะ NEET ในมุมหนึ่งของบ้านตัวเองเท่านั้น ใช้ชีวิตไปอย่างเงียบ ๆ ไม่รบกวนใคร แล้วนี่ยังจะมาขัดขวางความต้องการเล็ก ๆ นี้ของผมอีกหรือ? นี่โลกกำลังหาเรื่องผมอยู่หรือยังไง?
อยากจะฆ่าตัวตายให้มันรู้แล้วรู้รอดจริง ๆ ……
“ฝ่าบาท การที่ไม่สามารถที่จะจ่ายหนี้คืนนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย แต่สิ่งที่น่าอายนั้นก็คือทัศนคติที่พยายามจะไม่จ่ายหนี้คืนต่างหาก เราผู้นี้นั้นไม่เข้าใจความหมายของฝ่าบาทที่บอกว่า ‘ความจำเสื่อม’ เลยซักนิด จอมมารผู้ยิ่งใหญ่ อย่างฝ่าบาท จะตกต่ำถึงขนาดต้องใช้ข้ออ้างกระจอก ๆ อย่างนั้นได้อย่างไรกัน”
“ก็บอกว่าข้าความจำเสื่อมไปบางส่วนจริง ๆ ยังไงล่ะ!”
“……เฮ้อ นั่นสินะคะ”
“เธอนี่มีพรสวรรค์ในการยั่วโมโหคนอื่นเขาจริง ๆ เลยนะ หา!?”
มุมปากของผมบิดเบี้ยวด้วยความโมโห
“จะยังไงก็ช่าง ให้เวลาข้าหนึ่งสัปดาห์ หนึ่งสัปดาห์ก็พอ หลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้วข้าจะทำตามที่เธอบอกทุกอย่าง”
“งั้นเราผู้นี้จะรออีกวันหนึ่งก็แล้วกันค่ะ”
“ยัยขี้เหนียวเอ้ย……!”
วันที่สอง
ในขณะที่ผมกำลังจะลุกออกมาจากเตียงในตอนเช้านั้นเอง ราวกับว่าตั้งใจเล็งเวลานี้เอาไว้แล้ว แลพิส แลซูลี ก็เข้ามาในห้องของผม อ้อ ผมขอเสริมว่าผมเป็นพวกที่ชอบแก้ผ้าเวลานอน
ดังนั้นหากพิจารณาตามเหตุและผลด้วยข้อมูลจากด้านบนแล้ว ในตอนที่ แลพิส แลซูลี บุกเข้ามาให้ห้องส่วนตัวของผมนั้น ผมก็กำลังเป็นนายแบบแฟชั่นแนวใหม่ที่จะไม่ใส่อะไรเลยแม้แต่ชุดชั้นในอยู่พอดี ดังนั้น ทันทีที่ผมเห็นเธอเข้ามาในห้อง ผมก็ร้องตะโกนออกไป
“ออกไป! ออกไปเดี๋ยวนี้นะ!”
“ฝ่าบาท เรื่องดอกเบี้ย……”
“ตอนนี้ข้าไม่ได้ใส่อะไรเลยนะเฟ้ย!”
“ไม่เป็นไรหรอก เราผู้นี้ไม่ได้สนใจใน ‘ร่างกาย’ ของฝ่าบาทเลยซักนิด”
“แต่ข้าสน!”
ผมปาหมอนใส่เธอด้วยแรงทั้งหมดที่มี
แลพิส แลซูลี ปล่อยให้หมอนนั้นโดนตัวเธอโดยไม่ขยับหลบแม้แต่น้อย แน่นอนว่าการโจมตีของผมนั้นไม่ได้ผล หน้าของเธอยังคงสงบนิ่งและไร้ซึ่งอารมณ์เช่นเดิม
“เราผู้นี้ขอพูดอีกครั้ง ว่าการประกาศล่มละลายนั้นไม่ใช่ความคิดที่เลวร้ายอะไรเลย ถ้าหากว่าฝ่าบาทไม่มีหนทางที่จะจ่ายหนี้ได้แล้ว รบกวนช่วยกรุณาคิดถึงตัวเลือกนี้ด้วย”
“……พูดมาสิ ข้าจะลองฟังดู”
ผมพูดแบบนั้นออกไปในขณะที่ค่อย ๆ แต่งตัวอย่างช้า ๆ
ยัยเจ้าหนี้โหดนี่เริ่มทำให้ผมรู้สึกปวดหัวขึ้นมาแล้ว
“จะเกิดอะไรขึ้นบ้างถ้าเกิดว่าข้าประกาศว่าตัวเองล้มละลาย?”
“อย่างแรกเลยก็คือ บริษัทของเราจะกลายเป็นผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ทั้งหมดของปราสาทจอมมารแห่งนี้”
ผมกำลังจะโดนยึดบ้าน
นรกอันสวยงามของสิ่งที่เรียกว่าการมีชีวิตกำลังผลิบานอยู่เบื้องหน้าผมแล้ว
“หลังจากนั้น บริษัทของเราก็จะทำการขอให้ฝ่าบาทช่วยทำอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ สิ่งที่่ฝ่าบาทต้องทำก็มีแค่ทำตามคำขอร้องของเราเท่านั้นเอง”
“ข้าจะต้องกลายเป็นหุ่นเชิดของบริษัทเธองั้นสิ……”
“เราผู้นี้ต้องขออภัยด้วย แต่ก็เป็นเช่นนั้นล่ะค่ะ”
ผมเองก็เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน ดังนั้นผมเลยรู้เรื่องดี
ที่โลกเก่ามันก็คือการที่บริษัทใหญ่ทำการสนับสนุนเหล่านักการเมืองที่ยากจนแล้วก็ใช้พวกมันเป็นตัวหมาก ส่วนในโลกนี้มันก็คือการที่บริษัทใหญ่ใช้ประโยชน์จากความยากไร้ของจอมมาร
“มองไปรอบ ๆ สิ แลซูลี ข้าน่ะเป็นจอมมารที่ไม่มีอะไรเลยนะ”
ผมบอกเธอไปตรง ๆ
“ต่อให้ใช้ข้าในฐานะหุ่นเชิดมันก็ไม่เห็นจะสนุกเลยซักนิด”
“ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่เป็นจอมมารก็มีวิธีการใช้ให้เป็นประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจมากมายจนนับไม่ถ้วนแล้ว บริษัทของเราผู้นี้มีความคาดหวังเป็นอย่างสูงในตัวฝ่าบาท ดันทาเลี่ยน ค่ะ”
“เธอนี่มันซื่อตรงดีนะ!”
“แม้จะน่าเสียดาย แต่สินค้าเพียงหนึ่งเดียวที่ฝ่าบาทจะสามารถซื้อจากเราผู้นี้ได้ก็คือความซื่อตรงนี้เอง”
แต่ในเมื่อท่านไม่มีอะไรเลยดังนั้นก็จึงไม่อาจที่จะซื้อได้
นั่นคือความหมายแฝงที่แสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้งในคำพูดของเธอ
ผมเกลียดยัยนี่
ผมเกลียดยัยนี่สุด ๆ
ผมเกลียดยัยนี่จนถึงขนาดที่ว่าผมอยากจะเหยียบเท้าของเธอซะเดี๋ยวนี้
“……ฝ่าบาท?”
“มีอะไรรึ?”
“ตอนนี้ฝ่าบาทกำลังเหยียบเท้าซ้ายของเราผู้นี้อยู่”
“ข้าจะถือว่าเป็นคำชมว่าร่างกายกับความคิดของข้ามันประสานงานกันได้อย่างยอดเยี่ยมก็แล้วกัน”
“มันเจ็บค่ะ”
“แต่ข้าไม่เห็นว่าเธอจะมีท่าทางเจ็บปวดอะไรเลยนะ”
“ขออภัย…… แต่ความจริงแล้วเราผู้นี้กลับรู้สึกเพลิดเพลินจากมันมากกว่า”
“นี่เธอเป็นพวกโรคจิตหรือไงเนี่ย!?”
“ถึงรูปร่างภายนอกของเราผู้นี้จะเป็นแบบนี้ก็ตามที แต่กระนั้นแล้วเราผู้นี้ก็ยังมีสายเลือดส่วนหนึ่งของ ซัคคิวบัส ไหลเวียนอยู่ในตัวนะคะ”
“ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน ก็ไม่ใช่เธอเองหรือไงที่เป็นคนบอกว่า เรื่องที่ซัคคิวบัสทุกคนต่างก็เป็นพวกโรคจิตน่ะมันก็เป็นแค่อคติเท่านั้น! เธอเป็นคนพูดออกมาเองไม่ใช่เรอะ!”
“กรุณาทิ้งอคติที่ว่าอคติทั้งหลายก็เป็นเพียงแค่อคติไปเถอะค่ะ”
“แล้วทำไมอยู่ ๆ เธอทำทำท่าทางใหญ่โตแบบนั้นหา……!”
“ต้องขออภัยด้วย แต่ความจริงแล้วเราเป็นคนที่มีความสามารถล้นเหลือมากเลยนะคะ”
“กวนประสาทจริง! เธอนี่มันกวนประสาทสุด ๆ ไปเลย!”
“เราเป็นเพียงแค่ลูกผสมระหว่างมนุษย์และซัคคิวบัส ชาติกำเนิดของเรานั้นต้อยต่ำมาก ต้อยต่ำจนถือว่าเป็นจัณฑาล เกิดมาเป็นเด็กที่ถูกทิ้ง เราต้องเดินเร่ร่อนไปในส่วนที่ลึกที่สุดของท้องถนนเป็นเวลาถึง 20 ปี แต่กระนั้น เราก็สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ด้วยความสามารถของตัวเองล้วน ๆ ตัวเราในขณะนี้ได้เป็นลูกจ้าง ไวท์ คอลลาร์ เวิร์กเกอร์* ของบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปปีศาจ Keuncuska และยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เรายังได้มาอยู่ข้าง ๆ ฝ่าบาท ดันทาเลี่ยนในฐานะที่ปรึกษาส่วนตัวของฝ่าบาทอีกด้วย”
(บันทึกผู้แปล:ไวท์ คอลลาร์ เวิร์กเกอร์ (White-collar Workers) หมายถึง ผู้ที่ทำงานในสำนักงาน ที่ต้องใช้ความคิดและวิชาชีพมากกว่าใช้แรงงาน)
“นี่เธอมีความสามารถถึงขนาดนั้นเชียวเรอะ……!?”
“ใช่แล้ว ตัวเราที่ไม่มีอะไรเลยแต่กลับสามารถมาถึงจุดนี้ได้ด้วยกำลังของตัวเราเอง ถ้าเทียบกับฝ่าบาทที่อุตสาห์ได้เกิดมาเป็นถึงจอมมารทั้งทีแต่กลับไม่เคยทำอะไรสำเร็จเลยแม้แต่อย่างเดียวแล้ว ความสามารถระหว่างเราสองคนก็คงแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวล่ะมั้งคะ”
“เธอเป็นคนที่มีความสามารถก็จริงแต่เธอเองก็กวนประสาทสุด ๆ ไปเลยว้อยย! ไอ้วิธีการพูดแบบนั้นนี่มันอะไรกันหา!”
“ต้องขออภัยจริง ๆ แต่เราผู้นี้นั้นซื่อตรงต่อฝ่าบาทเสมอ”
“ถ้าไอ้แบบนี้คือความซื่อตรงแล้วล่ะก็ ให้โลกนี้มีแต่คนโกหกปลิ้นปล้อนยังจะดีซะกว่า”
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
ทั้ง ๆ ที่เธอคนนี้ไม่ได้ด่าผมอยู่ แต่เป็นเจ้าดันทาเลี่ยนแท้ ๆ แต่เพราะอะไรก็ไม่รู้มันกลับทำให้ผมรู้สึกโมโหขึ้นมา
หลังจากนั้นเธอยังคงคอยพูดคำพูดที่สุดแสนจะบาดหูแทงใจผมต่อไปด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์
“ข้าขอพูดให้ชัด ๆ ตรงนี้เลยก็แล้วกัน ข้าไม่คิดจะกลายเป็นหุ่นเชิดของใคร”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
แลพิส แลซูลี พยักหน้า
“ถ้าเช่นนั้นก็กรุณาชำระหนี้คืนด้วย”
“โทษทีนะ แต่ข้าเองก็ไม่มีเงินเช่นกัน จุ๊ จุ๊ แย่จังเลยน้า ทั้ง ๆ ที่ข้าอยากจะจ่ายเงินคืนเธอแท้ ๆ แต่ดูเหมือนว่าในกระเป๋าเงินของข้ามันจะว่างเปล่า มันก็เลยทำแบบนั้นไม่ได้น่ะ! ฮ่าฮ่า! ก๊ากฮ่าฮ่าฮ๋า!”
“……”
ความจริงแล้ว ผมมีเงิน 80 ลิบราซ่อนอยู่ใต้เตียงของผมในห้องส่วนตัวจอมมาร
แต่นั่นเป็นเงินที่ผมเสี่ยงชีวิตเอากลับคืนมาจากพวกนักผจญภัย แล้วทำไมผมต้องคืนมันให้กับยัยซัคคิวบัสขี้งกที่ป่วยเป็นโรค ปวด-ประ-จำ-เดือน-ตลอด-กาลด้วยล่ะ
“ฝ่าบาท ท่านมีความตั้งใจจริงที่จะชำระหนี้คืนหรือเปล่า?”
“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าน่ะเป็นผู้ชายที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเสมอ อา แต่ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน ทั้ง ๆ ที่ข้าอยากมอบเงินคืนให้เธอจากใจจริงแท้ ๆ แต่ทว่า ในเมื่อข้าไม่มีเงินแม้แต่แดงเดียวก็เลยไม่อาจที่จะทำอะไรได้ แย่เหลือเกิน ช่างเป็นอะไรที่แย่เหลือเกิน”
“ถ้าเช่นนั้นก็ทำงานใช้หนี้สิ”
“……เอ๋?”
มือขวาของ แลพิส แลซูลี ส่องแสงสว่างออกมา
หลังจากที่วงแหวนเวทมนตร์สีชมพูปรากฎขึ้นไม่นาน ในมือของ แลพิส แลซูลี ก็มีอีเต้อวางอยู่
อีเต้อ
มันคืออุปกรณ์ที่พวกคนงานใช้ในการขุดเหมือง
“……เธอให้สิ่งนี้กับข้าทำไม?”
“ฝ่าบาทไม่ทราบหรือคะ? ว่าถ้าเทียบกับพื้นที่อื่น ๆ แล้ว ปราสาทจอมมารจะมีความหนาแน่นของพลังเวทมนตร์สูงมาก และที่สมบูรณ์แบบเลยก็คือ ปราสาทจอมมารของฝ่าบาทนั้นมีรูปแบบเป็นถ้ำด้วย ดังนั้นถ้าฝ่าบาทขุดเหมืองตามสายแร่ในปราสาทจอมมารล่ะก็ ฝ่าบาทก็น่าจะขุดได้หินเวทย์มนต์ในทันที แล้วยิ่งถ้าหินเวทมนตร์นั้นมีเวทมนตร์บรรจุข้างในเยอะด้วยล่ะก็ ก็จะขายได้ราคาสูงมากเลยค่ะ”
“นี่ เธอกำลังจะบอกให้ข้าทำงานเป็นคนเหมืองงั้นหรือ?”
“ค่ะ”
“นี่เอาจริงเหรอครับ!”
ผมถึงกับลืมตัวจนเผลอใช้ภาษาสุภาพออกไป
ผมตกตะลึงจนถึงขนาดลืมตัวว่าตัวเองนั้นเป็นจอมมารไปชั่วขณะ
“เมื่อกี้นี้ฝ่าบาทเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือว่าท่านกำลังเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น?”
แลพิส แลซูลี ยืนอีเต้อมาให้ผม
ผมจ้องไปยังด้ามไม้ที่มีแท่งเหล็กติดอยู่ตรงปลายอันนั้นด้วยสายตาอันว่างเปล่า
“สิ่งที่ฝ่าบาทต้องทำในตอนนี้ก็แค่แสดงความมุ่งมั่นนั้นออกมาให้เห็นเท่านั้นเอง”
“……”
เคร้ง!
[คุณขุดได้ก้อนแร่เหล็กเป็นจำนวนหนึ่งก้อน]
เคร้ง!
[คุณขุดได้ก้อนแร่เหล็กเป็นจำนวนหนึ่งก้อน]
เคร้งงง!
[คุณขุดได้ก้อนแร่เหล็กเป็นจำนวนหนึ่งก้อน]
เคร้ง……
[คุณขุดได้ก้อนแร่เหล็กเป็นจำนวนหนึ่งก้อน]
เคร้งงงงง……….
และในวันที่สามนี้เอง
ผมหันกลับไปจ้องมอง แลพิส แลซูลี ด้วยสายตาที่เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
“—ข้อขอประกาศล้มละลาย”
“แต่นี่เพิ่งจะผ่านไปแค่วันเดียวเองนะคะ”
“แค่การที่ข้าทนทำงานที่ใช้แรงงานแบบนี้ได้เกิน 30 นาที มันก็ต้องถือว่าเป็นปาฎิหารย์แล้ว!”
ผมเขวี้ยงอีเต้ออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
ตอนนี้ร่างกายของผมมันกำลังกรีดร้องจากอาการปวดกล้ามเนื้อ ในฐานะคนที่ตั้งใจจะเป็นสุดยอดแห่งยามเฝ้าบ้านตัวเองหรือ NEET อย่างผมแล้ว ไอ้การใช้แรงงานอย่างหนักแบบนี้มันหนักหนาเกินไปสำหรับผม แถมทำไปก็ไม่มีประโยชน์ด้วย ต่อให้ผมเหวี่ยงอีเต้อทั้งวัน จำนวนเงินที่มากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ก็คือประมาณ 1 เหรียญเงินเท่านั้นเอง
“จะให้ข้าทนทำอะไรแบบนี้ต่อไปได้ยังไงกัน!”
“เราผู้นี้ก็เพียงเห็นว่าฝ่าบาทพูดเอาไว้เสียดิบดีก็เลยตั้งความหวังเอาไว้สูงเท่านั้นเอง”
“ผลลัพท์ที่ได้มันแย่สุด ๆ ไปเลยไม่ใช่รึไง!? ประสิทธิภาพน่ะรู้จักมั้ย! ถ้าหนึ่งวันข้าทำได้แค่ 1 เหรียญเงินล่ะก็ ต่อให้ข้าทำงานทั้งเดือนข้าก็หาเงินมาได้แค่ 6 เหรียญทองเท่านั้น! แค่ดอกเบี้ยอย่างเดียวเดือนนี้ก็ปาไปแล้ว 80 ลิบราแล้ว นั่นมันก็มากกว่าที่เงินที่ข้าจะทำได้ตั้ง 10 เท่าไม่ใช่เรอะ! นี่เธอคิดจะให้ข้ามาเสียเวลาขุดเหมืองเล่นเปล่า ๆ เรอะ!” (บันทึกผู้แปล: 5 เหรียญเงิน = 1 เหรียญทอง และ 1 เหรียญทองก็มีค่าเท่ากับ 1 ลิบรา)
“……”
อยู่ ๆ แลพิส แลซูลี ก็เงียบลงอย่างกระทันหัน
ดวงตาสีฟ้าของเธอขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อย ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมก็เถอะ แต่ผมกำลังคิดว่าผมไปทำให้เธอรู้สึกตกใจ ปกติแล้วแทบจะไม่มีโอกาสได้เห็นเธอแสดงอารมณ์ออกมาแบบนี้เลยนะ
แปลกจริง
เท่าที่ผมรู้ ผมก็ไม่ได้พูดอะไรแปลก ๆ ออกมานี่นา สาเหตุที่น่าจะทำให้เธอตกใจก็ไม่เห็นจะมี แล้วมีอะไรที่ทำให้ แลพิส แลซูลี คนที่ไร้อารมณ์ตลอดกาลอย่างเธอตกใจได้กัน
“ทำไมเธอถึงต้องมองข้าด้วยสายตาแบบนั้นด้วย?”
“……ขออภัยด้วยค่ะ เราผู้นี้ไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่าฝ่าบาทจะสามารถคิดเลขง่าย ๆ แบบนี้ได้ เราผู้นี้รู้สึกตกใจมากเสียจนถึงกับพูดไม่ออก”
คำตอบที่บ้าบอยิ่งกว่าจินตนาการใด ๆ ของผมโผล่ออกมาแล้ว!
“การบวกลบของ ฝ่าบาท นั้นถูกต้องแล้วค่ะ เพียงแค่การขุดเหมืองนั้นยากที่จะหาเงินมาชำระหนี้คืนจริง ๆ ”
“ใช่แล้ว ถ้าเป็นเธอล่ะก็ข้าก็คิดอยู่แล้วว่าจะต้องเห็นด้ว…… เดี๋ยวสิ ถ้าเธอรู้อยู่แล้วว่าการขุดเหมือนมันแทบไม่มีทางหาเงินมาจ่ายหนี้ได้ แล้วเธอจะให้ข้าไปขุดตั้งแต่แรกทำไม?”
“เราผู้นี้ไม่เข้าใจสิ่งที่ฝ่าบาทกำลังพูดอยู่เลยสักนิด เราผู้ต่ำต้อยผู้นี้จะไปออกคำสั่งให้จอมมารอย่างท่านทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างไรกัน สิ่งที่เราผู้นี้ทำนั้นก็มีเพียงแค่การยืนอีเต้อให้กับท่านจอมมารเท่านั้น”
“เห้ย ยัยบ้านี่……?”
ผมจ้องเขม็งไปยังแลพิส แลซูลี
“แลซูลี นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เจอกับผู้หญิงอย่างเธอ”
“เราผู้นี้ไม่คู่ควรกับคำชมที่สูงส่งแบบนั้นหรอกค่ะ”
“ข้าไม่ได้พูดเล่น”
ตลอดชีวิต 20 ปีของผม
ถ้าไม่นับรวมแม่ของผมเข้าไปล่ะก็ มีเพียงผู้หญิงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถปั่นหัวผมได้ และเธอคนนั้นก็คือน้องสาวต่างแม่คนที่สองของผม หากไม่สนใจเรื่องที่ แลพิส แลซูลี เป็นลูกผสมกับชนชั้นจัณฑาล แค่การที่เธอยังมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้โดยที่ไม่ถูกคนอื่นฆ่าด้วยความรู้สึกเหม็นขี้หน้าไปก่อนนี่ ถือว่าเป็นอะไรที่สุดยอดมากแล้ว
ยกตัวอย่างเช่น
ผมเคยตั้งใจที่จะปฎิบัติต่อแลพิส แลซูลี ด้วยความรัก เป้าหมายของผมตอนนั้นคือเพิ่มค่าความชอบ การที่จอมมารอย่างผมให้เกียรติคนที่ฐานะต่ำต้อยอย่างเธอด้วยการถือว่าเธอกับผมมีฐานะเสมอกันนั้น ผมเคยคิดเอาไว้ว่าเพียงแค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะเพิ่มค่าความชอบของเธอที่มีต่อผมขึ้นมาอย่างมหาศาล
แต่ว่า ผลลัพธ์นั้นมันล้มเหลว
ถ้าผมคุยกับเธอด้วยวิธีการพูดแบบกลับกลอก เธอก็จะปรับตัวให้ตรงกับผมด้วยการพูดจาแบบกลับกลอกคืนมา ถ้าผมพูดจาล้อเล่นกับเธอ เธอก็จะตอบสนองโดยการพูดล้อเล่นกลับมาด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของเธอ
มันก็เป็นแบบนี้แหละ
เธอให้ความรู้สึกเหมือนกับว่า ‘ในเมื่อจอมมารอย่างผมต้องการที่จะพูดคุยแบบนี้แล้ว สิ่งเดียวที่เธอควรจะทำก็คือการทำให้ผมรู้สึกพอใจก็เท่านั้นเอง และผลลัพท์ก็คือ เธอไม่ยอมเปิดใจให้ผมเลยสักนิด
ก็เหมือนกับมารยาททางสังคมที่เวลามีคนทักทายมาก็ต้องทักทายกลับ
ลาพิส ลาซูลี ได้ปฎิบัติต่อผมด้วยท่าทางเย็นชาและทัศนคติที่เหมือนกับติดต่อทำธุรกิจเช่นนั้นเอง
…… แล้วเวลาก็ได้ผ่านไปเรื่อย ๆ โดยที่ผมไม่อาจจะทำอะไรได้เลย