ตอนที่ 10

Dungeon Defence

apter 3 – โรคภัยไร้หน้า (Part 2)

ในที่สุด วันนี้ก็เป็นวันที่ครบกำหนดเจ็ดวัน

ผมจึงจ้องมองไปที่ แลพิส แลซูลี เพื่อตรวจดูผลของทำงานหนักตลอดช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานี้

‘สถานะ’

จากนั้นก็มีหน้าจอสถานะของอีกฝ่ายปรากฎขึ้นมากลางอากาศ

ชื่อ: แลพิส แลซูลี

ความอึด: E

พลังโจมตี: D

พลังป้องกัน : F

ค่าความชอบ: 2

“เฮ้อ……”

ผมเผลอถอนหายใจออกมา

หลังจากที่จัดการพวกนักผจญภัยลงได้ ผมก็สูญเสียความสามารถในการเข้าถึงระบบทั้งหมด

ตอนนี้ผมมองไม่เห็นสถานะของปราสาท ผมมองไม่เห็นแผนที่ของบริเวณรอบ ๆ ผมไม่สามารถที่จะฝากและถอนเงินของผมได้ตามใจนึกอีกต่อไป สิ่งที่ผมมีเหลืออยู่เพียงอย่างเดียวนั้นก็คือระบบที่ทำให้สามารถมองเห็นความชอบที่คนอื่นมีต่อผม

ระบบนี้ทำให้ผมสามารถรับรู้ได้จริง ๆ ว่าใครรู้สึกยังไงกับผมกันแน่….. มันเป็นความสามารถที่มีค่ามาก โดยเฉพาะสำหรับคนอย่างผมที่พึ่งพาทุกอย่างจากทักษะในการแสดงกับไหวพริบ

ค่าความชอบของ แลพิส แลซูลี ที่มีต่อผมในตอนนี้นั้นมีเพียง 2 แต้ม

ถ้าผมไม่มีความสามารถนี้ล่ะก็ ตอนนี้ผมก็คงคิดทึกทักเอาเองว่า ‘ตอนนี้ แลพิส แลซูลี คงเห็นผมเหมือนกับเพื่อนไปแล้ว’ และไม่มีทางที่จะได้หยั่งรู้ถึงความรู้สึกจริง ๆ ที่ถูกซุกซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าที่ถูกแช่แข็งของเธอ

แต่ตอนนี้ผมมั่นใจแล้ว

ว่าเธอคนนี้ได้แช่แข็งหัวใจของตัวเองเอาไว้

เมื่ออยู่ต่อหน้าซัคคิวบัสสาวคนนี้ ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรที่มากไปกว่าสินค้าทางธุรกิจชิ้นหนึ่ง และการที่ค่าความชอบของเธอแทบจะไม่ขึ้นมาเลยแม้แต่นิดเดียวนั้น ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเธอเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวแค่ไหน

ทั้งที่ตอนแรกวางแผนเอาไว้ว่าจะเข้าไปทำตัวสนิทสนมด้วย……และหลังจากนั้นก็ค่อยใช้ประโยชน์จากเธอ แต่ตอนนี้แผนที่ว่านั่นก็พังไม่เหลือชิ้นดี

แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะอับจนหมดสิ้นหนทางไปเสียทีเดียว

มันยังมีวิธีการรับมือกับคนที่เคลื่อนไหวโดยใช้หัวมากกว่าความรู้สึกแบบนี้อยู่ และผมก็รู้ดีซะด้วยว่ามันจะต้องทำยังไง

เพียงแต่ว่ามันออกจะเป็นวิธีการที่บ้าระห่ำมากแม้แต่ในหมู่วิธีการที่บ้าระห่ำด้วยกัน

ถ้าจะใช้วิธีนี้ อย่างน้อย ๆ คุณก็ต้องเตรียมใจเอาไว้ในระดับเดียวกับคนที่กำลังจะออกไปล่าเสือ คุณจะต้องถือปืนเดินทางขึ้นไปที่ภูเขาเอง และในกรณีที่เลวร้ายที่สุด คุณก็ต้องเตรียมใจที่อาจจะถูกพวกสัตว์ร้ายฉีกร่างคุณเป็นชิ้น ๆ เอาไว้ด้วย มันไม่ใช่การเตรียมใจที่ง่ายดายเหมือนกับการเดินเข้าไปสั่งอาหารในร้านฟาสต์ฟู๊ดแล้วแป๊ปเดียวก็ได้อาหารกลับมา

และข้อสรุปของตัวผมก็คือ

ถ้าไม่เป็นฝ่ายฆ่า ก็จะเป็นฝ่ายถูกฆ่านั่นเอง

“ฝ่าบาท”

แลพิส แลซูลี พูดผมด้วยท่าทีที่สงบนิ่ง

“ถ้าฝ่าบาทไม่ทำการชำระเงินต้นและดอกคืนหรือไม่ยอมประกาศว่าล้มละลายล่ะก็ บริษัท Keuncuska ก็จะไม่เหลือทางเลือกอื่นอีกนอกหนือจากการใช้กำลังเข้ายึดทรัพย์สินของฝ่าบาทและร่างกายฝ่าบาท”

“จอมมารอย่างข้าคือผู้ที่มีฐานันดรสูงที่สุดในหมู่ปีศาจ จะมีใครหน้าไหนที่กล้ามาใช้กำลังจับตัวข้าล่ะ?”

“บริษัท Keuncuska ของเรามีผู้สนับสนุนอยู่มากมายนับไม่ถ้วน และในหมู่ผู้สนับสนุนเหล่านั้น ก็มีผู้ที่เป็นจอมมารเหมือนกับฝ่าบาท อย่างเช่นจอมมารผู้ที่มีลำดับที่ 5 ท่านมาร์บาส และ จอมมารผู้ที่มีลำดับที่ 9 ท่านไพมอน อยู่ด้วยเช่นกัน”

พวกจอมมารที่มีลำดับสูงที่สุด

ไม่มีทางที่จอมมารลำดับที่ 71 อย่างผมจะไปต่อกรกับพวกนั้นได้

“อีกทั้งบริษัทของเรายังมีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความไร้ปราณีต่อลูกหนี้ที่ไม่ยอมชำระหนี้คืน ในอดีตก็เคยมีเหตุการณ์ที่จอมมารลำดับที่ 25 กลาเซีย ลาโบลัส ได้ทำการกู้ยืมเงินจากบริษัทเป็นจำนวน 20,000 ลิบราและไม่ยอมทำการจ่ายดอกเบี้ยเป็นเวลามากกว่า 2 ปี ในเวลานั้น บริษัทของเราได้ทำการจ้างกองทหารรับจ้างกองเล็ก ๆ ที่มีจำนวนราว 9,000 คนและให้ท่านจอมมารซิทริเป็นผู้บัญชาการ ฝ่าบาท เราผู้นี้ขอแจ้งให้ทราบว่า จอมมารกลาเซีย ลาโบลัส นั้นต้านทานได้ไม่ถึง 3 อาทิตย์ก็ประกาศยอมแพ้เสียแล้ว”

แลพิส แลซูลี ทอดถอนหายใจออกมา

“……และนั่นคือความแข็งแกร่งของบริษัท Keuncuska ของเรา ฝ่าบาท อีกทั้งพวกเราเองก็รู้จักแยกแยะได้เป็นอย่างดีว่าในกรณีไหนถึงควรจะใช้ความรุนแรง นั่นคือสาเหตุที่ทำให้บริษัทของเรานั้นสามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดของปีศาจในช่วงระยะเวลา 500 ปีมานี้ ฝ่าบาทดันทาเลี่ยน เราผู้นี้ขอแนะนำจากใจจริงว่าโปรดรีบประกาศล้มละลายเถอะค่ะ”

ผมกำผ้าห่มบนเตียงของตัวเองแน่น

“……”

ยังไม่เป็นไร

ยังมีโอกาสชนะอยู่

ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนล่ะก็ ผมก็จะสามารถขยี้ผู้หญิงที่อยู่เบื้องหน้าผมในตอนนี้และเอาเธอมาเป็นของผมได้

ผมตัดสินใจอย่างแน่วแน่และ…

ค่อย ๆ เปิดปากพูดอย่างช้า ๆ

“ลาซูลี ข้าจะมอบข้อเสนอที่หอมหวานที่สุดให้กับเธอ”

“ค่ะ ฝ่าบาท เราผู้นี้กำลังรอรับฟัง”

“ในเมื่อมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็จะขอยืมเงินจากบริษัทของเจ้าเพิ่มอีก”

แลพิส แลซูลี ขมวดคิ้วของเธอเข้าหากัน

สำหรับคนอย่างเธอ ที่ถึงแม้จะได้ยินว่าโลกกำลังจะถูกทำลายก็คงจะตอบกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ก็ให้มันถูกทำลายไปในอึดใจเดียวเลยเถอะค่ะ” นั้น การที่เธอทำท่าขมวดคิ้วนี่ถือว่าเป็นการแสดงท่าทางที่อลังการมากแล้ว

“เราผู้นี้ขอคัดค้าน”

เสียงของเธอเย็นชาลงยิ่งกว่าเดิม

“แม้ตอนนี้ฝ่าบาท ดันทาเลี่ยนก็จะตกเป็นหนี้แล้วก็จริง แต่ว่าก็ยังถือว่าปลอดภัยอยู่ หากฝ่าบาทตั้งใจทำงานหนักสักพักหนึ่งฝ่าบาทก็น่าจะปลดหนี้ทั้งหมดได้โดยไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่าถ้าเกิดผ่าบาททำการกู้ยืนเงินเพิ่มอีกล่ะก็……”

“ข้าก็จะจมไปในก้นบึงที่ลึกยิ่งกว่าเดิมใช่ไหม”

ผมยิ้มออกมา

“แต่นั่นล่ะคือสิ่งที่ข้าต้องการ”

“อะไรนะคะ?”

“แลพิส แลซูลี พวกเรามาพูดกันแบบเปิดอกดีกว่า”

ผมคงรอยยิ้มจาง ๆ บนฝีปากตัวเองเอาไว้

“ถึงเธอจะบอกว่าตัวเธอเองนั้นเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวข้าก็เถอะ แต่ความจริงแล้วเธอก็ยังเป็นตัวหมากของบริษัท Keuncuska อยู่ดี ฉะนั้นอะไรก็ตามที่เป็นผลดีต่อบริษัทของเธอ สุดท้ายก็ย่อมเป็นผลดีต่อตัวของเธอด้วย”

หากคำพูดของเธอเป็นเรื่องจริงแล้ว นั่นก็ย่อมแสดงว่าจอมมารนั้นเป็นตัวหมากทางการเมืองที่มีประโยชน์ให้ใช้สอย

ดังนั้น หากเธอสามารถทำให้ตัวหมากที่มีชื่อว่าจอมมารกลายเป็นหุ่นเชิดของบริษัทได้ล่ะก็ ตัวเธอเองก็ย่อมที่จะได้รับคำชมเป็นอย่างสูงจากผู้บริหารของบริษัท และก็จะก้าวหน้าไปได้เร็วกว่าคู่แข่งคนอื่น ๆ ไปหนึ่งก้าว ไม่สิ 20 ก้าวเลยต่างหาก

“……”

เธอยังคงรักษาหน้าโป๊กเกอร์เฟสของเธอเอาไว้อยู่

ดูท่าเธอคงคิดจะแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องว่าผมกำลังพูดเรื่องอะไรสินะ

“และการที่ตัวข้าไม่มีทางจ่ายหนี้ได้ก็จะเป็นประโยชน์กับตัวเจ้ามากกว่าจริงไหม?”

“นั่นเป็นการเข้าใจผิดค่ะ เราผู้นี้คิดถึงผลประโยชน์ของฝ่าบาทเสมอ……”

“ข้ารู้จักนิสัยของพ่อค้าดี”

ในการต่อสู้ด้วยคำพูด ถ้าอีกฝั่งคิดที่จะแก้ตัวเราก็ต้องเป็นฝ่ายเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา ไม่ให้อีกฝ่ายมีโอกาสแก้ตัว

สิ่งที่พวกเราใช้ในการต่อสู้นั้นไม่ใช่อาวุธแต่เป็นคำพูด ดั้งนั้นจึงต้องไล่ต้อนโจมตีอีกฝ่ายอย่างดุดัน ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องไปนั่งรับฟังคำแก้ตัวอันไร้ค่าของอีกฝ่าย

“ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ก็ไม่เคยมีพ่อค้าคนไหนที่ลงทุนในสิ่งที่จะไม่สร้างกำไรให้แก่ตัวเอง แต่ว่าด้วยเหตุผลบางประการ บริษัท Keuncuska ก็ตกลงให้ข้ายืมเงินเป็นจำนวน 100 ลิบรา”

ทั้ง ๆ ที่ใคร ๆ บนโลกนี้ก็รู้ว่าจอมมารดันทาเลี่ยนนั้น เป็นพวกไม่เอาไหน

ต่อให้บริษัท Keuncuska ยอมให้เงินดันทาเลี่ยนยืมไป พวกเขาก็รู้อยู่เต็มอกตั้งแต่แรกแล้วว่าคงจะไม่ได้อะไรกลับคืนมาแน่ ๆ มันเป็นการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด มันเหมือนกับการที่ธนาคารปล่อยเงินกู้หลายล้านให้กับคนที่รู้ว่ายังไงก็ไงก็ต้องเบี้ยวหนี้

นั่นหมายความว่าบริษัท Keuncuska ไม่ได้คิดที่จะเอาเงินคืนตั้งแต่แรก

“แต่เพื่อล่ามปลอกข้า”

ผมแสยะยิ้ม

“ทำให้ข้ากลายเป็นหุ่นเชิดโดยใช้หนี้เป็นข้ออ้างบังหน้า นี่เป็นเป้าหมายของบริษัทเธอตั้งแต่แรกแล้ว ข้าพูดอะไรผิดไหม?”

“……”

“ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่า ‘ถ้าการชำระเงินคืนมันยากเกินความสามารถล่ะก็ ยังพอมีตัวเลือกอื่นอย่างการประกาศล้มละลายอยู่’ แต่ความจริงแล้วเจ้าอยากพูดคำนี่ต่างหาก”

ท่านมีเพียงตัวเลือกเพียงที่จะล้มละลายเท่านั้น

มันไม่เคยมีตัวเลือกอื่นตั้งแต่แรก

การกู้ยืมเงินนั้นเป็นกับดัก และสองเดือนก่อน จอมมารดันทาเลี่ยนก็ได้ตกลงไปในกับดักนี้ด้วยความโง่เขลา

เอาสิ ยัยซัคคิวบัสหน้าตาย ลองพูดตอบโต้กลับมาสิ

ตัวเธอนั้นเปรียบได้ดังป้อมปราการบนภูเขา ป้อมปราการที่ถูกสร้างบนยอดเขาสูงขรุขระนั้น เป็นอะไรที่ยากจะพิชิต เป็นอะไรที่ผู้บุกรุกไม่อยากแม้แต่จะเข้าใกล้

แต่กระนั้น หากป้อมปราการถูกปิดล้อมได้เมื่อไหร่ทุกอย่างก็เป็นอันจบสิ้น ผมจะไม่เปิดให้เธอมีทางหนีไปได้ ผมจะยึดครองป้อมปราการของเธอให้สำเร็จในพริบตา

จอมมารดันทาเลี่ยนกำลังยิ้มอยู่เบื้องหน้าเรา

……ขอสารภาพตามตรงว่า เราประมาทคน ๆ นี้มากเกินไป

นี่ก็เป็นเวลา 1 ปีแล้วที่เราได้มาอยู่ในตำแหน่งที่ปรึกษาส่วนตัวของจอมมารดันทาเลี่ยน

ทั้งที่เราเคยคิดว่าคน ๆ นี้คือเศษขยะที่ไม่มีค่าอะไร แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แบบนั้นเสียแล้ว ตัวเรากำลังตกใจที่อยู่ ๆ สายตาของเขาก็ส่งความรู้สึกคุกคามอันน่ากลัวออกมา สายตาของเขากำลังจ้องมองมาราวกับตั้งใจที่จะทดสอบตัวเรา

ข้างในดวงตาคู่นั้นมันดูมืดมิดเช่นเดียวกับรูม่านตาสีดำของเขา

เราไม่สามารถหยั่งถึงก้นบึงของดวงตาคู่นี้ได้…… นี่คือความรู้สึกของตัวเราในตอนนี้ จอมมารดันทาเลี่ยนที่เราเคยรู้จักคนนั้น ใช่คนที่อยู่เบื้องหน้าของเราในตอนนี้จริงหรือ?

ทั้งที่เราเคยคิดว่า จอมมารดันทาเลี่ยนเป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างขี้เกียจและห่วยแตกไปวัน ๆ เพียงเพราะโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นจอมมารเท่านั้นเอง……

‘อ๊ะ’

ในตอนนั้น เราเองก็ได้รู้สึกตัวถึงความผิดพลาดของตัวเราเป็นครั้งแรก

เพราะโดนเล่นงานในแบบที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน ทำให้เราเผลอหยุดพูดโต้ตอบกลับไป

ไม่นึกเลยว่าเราจะพลาดในเรื่องแบบนี้ การที่เราเงียบนั้นมันแสดงถึงการยอมรับว่าอีกฝ่ายหนึ่งนั้นพูดถูกต้อง เราต้องรีบหันเหหัวข้อแล้ว

“หากสมมุติว่าสิ่งที่ฝ่าบาทพูดมานั้นถูกต้อง”

“สิ่งที่ข้าอยากรู้นั้นไม่ใช่สมมุติฐาน แต่เป็นเพียงความจริงอันเรียบง่าย”

……ท่านจะไม่ให้แม้กระทั่งซอกหลืบสำหรับหลบหนีแก่เราเชียวหรือ

หลังของเรารู้สึกเย็นวาบ

จอมมารดันทาเลี่ยนที่อยู่เบื้องหน้าเราตอนนี้นั้น ได้เปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม

ครึ่งเดือนก่อน ดันทาเลี่ยนได้ถูกคุกคามจากกลุ่มของนักผจญภัย แถมนักผจญภัยกลุ่มนั้นยังมีแผนที่ภายในปราสาทจอมมารนี้อีกด้วย ถึงแม้กำลังรบของคนพวกนั้นจะมีระดับต่ำพอ ๆ กับชาวเขาที่มีอาวุธอยู่ในมือก็เถอะ แต่ว่าตอนนั้นจอมมารดันทาเลี่ยนก็ได้ตกอยู่ในสถานการณ์คับขันจริง…… หรือว่าจะเป็นเพราะเรื่องนี้? แค่การผ่านประสบการณ์เฉียดตายเพียงแค่ครั้งเดียวก็สามารถเปลี่ยนคนเราได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ?

ดันทาเลี่ยน คือจอมมารที่เรามีหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบ ดังนั้นหากเจ้าตัวได้กลายเป็นคนเก่งมากความสามารถขึ้นมา นั่นก็ย่อมต้องเป็นสถานการณ์ที่เราควรจะอ้าแขนยอมรับด้วยความยินดีอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในความจริงแล้ว เรากลับรู้สึกว่ามันยากเหลือเกินที่จะรู้สึกดีใจกับสถานการณ์ในตอนนี้

เราเพียงอยากให้จอมมารเติบโตขึ้นเป็นสุนัขจิ้งจอก มิใช่กลายร่างเป็นพยัคฆ์เช่นนี้ ยิ่งหุ่นเชิดฉลาดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งจะควบคุมยากขึ้นเท่านั้น ใครเล่าจะคิดว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้

จอมมารได้จ้องเขม็งมายังเรา

“ลาล่า เจ้าจงกลับไปบอกกับบริษัท Keuncuska”

ลาล่า?

เรากระพริบตาด้วยความงงงวย

“ลาล่าก็คือชื่อย่อของ แลพิส แลซูลี ไงล่ะ เป็นชื่อเล่นที่เหมาะสมดีใช่ไหม”

“……ฝ่าบาทตั้งชื่อเล่นให้กับเราผู้ต่ำต้อยผู้นี้หรือ?”

“ไม่ถูกใจรึ?”

“เราผู้นี้เพียงรู้สึกสำนึกดีใจเท่านั้น”

โลกของปีศาจนั้นเป็นโลกที่เคร่งครัดในชนชั้นวรรณนะอย่างยิ่ง

ต่อให้เป็นชาติพันธุ์เดียวกัน แต่ถ้ามาจากคนละเผ่ากันแล้วล่ะก็ สถานะของทั้งสองก็จะไม่เท่าเทียมกัน เช่นถ้าหากมีออร์คที่ถูกนับว่าเป็นขุนนางแล้ว ก็ย่อมต้องมีออร์คที่ถูกถือว่าเป็นพวกไพร่ หากมีใครก็ตามที่คิดจะสืบเสาะหาว่าในโลกของปีศาจนั้นมีระดับชนชั้นใดอยู่บ้างแล้ว คงไม่พ้นที่จะต้องเดินทางสืบเสาะเผ่าต่าง ๆ เป็นร้อยเป็นพันเผ่าเป็นแน่

ส่วนเราคือผู้ที่อยู่ในฐานะจัณฑาล ลูกผสมระหว่างซัคคิวบัสและมนุษย์ เดิมทีซัคคิวบัสก็ถูกเหยียดหยามดูถูกว่าเป็นเผ่าพันธุ์โสเภณีอยู่แล้ว แต่กระนั้น ก็ยังจะมีพวกผู้ที่เกิดมาจากเผ่าพันธุ์ที่ถูกดูถูกเหยียดหยามกับมนุษย์โสโครกขึ้นมาอีก และนั่นก็คือเรานี่เอง…… เราคือพวกที่ถูกเรียกว่าพวกพันธุ์ผสม

เราคือผู้ที่เสมือนกับโรคเรื้อนของสังคม

เราไม่อาจที่จะใช้ร่างกายสกปรกของเรานี้ไปสัมผัสโดนกับร่างกายของผู้อื่น ถ้าหากว่า เราไปสัมผัสถูกตัวของผู้ที่อยู่ในชนชั้นที่สูงกว่า เราก็จะถูกตัดนิ้วมือ ถ้าหากว่า เราเดินเข้าไปในเขตวิหาร เราก็จะถูกตัดนิ้วเท้า และถ้าหากว่ามีคนได้ยินเราสวดคำภาวนาในคัมภีร์ของพระเจ้าองค์ใดล่ะก็ เราก็จะถูกตัดลิ้น

ดังนั้น เราถึงได้รู้สึกลนลานขึ้นมาในตอนที่จอมมารดันทาเลี่ยนเหยียบลงบนเท้าของเรา แม้จะโชคที่ดีสามารถใช้เรื่องตลกกลบเกลื่อนเรื่องนี้ไปได้ก็เถอะ แต่ถ้าหากมีคนอื่นเห็นเข้าล่ะก็ ป่านนี้เราก็คงจะถูกตัดเท้าไปแล้วเป็นแน่ พอหวนนึกดูแล้ว ตอนนั้นคงเป็นความตั้งใจของจอมมารดันทาเลี่ยนที่จะข่มขู่เราเอง

ดูท่าตอนนี้เราจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องเต้นไปตามจังหวะของจอมมารแล้ว

หากจอมมารต้องการเช่นนั้นล่ะก็ เราก็พร้อมที่จะน้อมสนอง

“จะให้เราผู้นี้กลับไปบอกกับบริษัทว่าอย่างไร?”

“จอมมารดันทาเลี่ยนได้เสียสติไปแล้ว หลังจากที่สิ้นไร้ไม้ตอกไม่รู้และจะหันหน้าไปพึ่งพิงใคร สุดท้ายก็ได้หันหน้ามาขอพึ่งพิงเธอ และเธอที่เป็นซัคคิวบัสก็ได้ทุ่มเทใช่เสน่ห์ทั้งหมดของตัวเอง ทำการล่อลวงจอมมารได้สำเร็จ”

“……”

นี่คน ๆ นี้คิดจะทำอะไรกันแน่

เราไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในหัวเลยสักนิด แต่ถึงเราจะพูดโต้แย้งออกไปจากใจจริงว่านี่เป็นความคิดที่โง่เง่าขนาดไหน เขาก็คงจะไม่รับฟังและโต้เถียงกลับมา และสุดท้ายแล้วเราก็คงจะตกเป็นฝ่ายแพ้ในการแข่งประลองความอดทนเป็นแน่ เอาเป็นว่าตอนนี้เราจะแกล้งทำเป็นว่าเราเข้าใจความคิดของเขาและทำเป็นว่ามันเป็นความคิดที่น่าสนใจไปก่อนก็แล้วกัน ก็มีบางเวลาที่การบลัฟถือเป็นกลยุทธ์ที่ถูกต้องเหมือนกันนี่นะ

“จะให้ชาวบ้านธรรมดา ๆ อย่างเราผู้นี้กลายเป็น ‘นางสนม’ ของฝ่าบาท……? เป็นเรื่องที่ฟังดูน่าสนใจดีนะคะ”

“แต่ไหนแต่ไรมา ก็ไม่มีเรื่องอะไรที่มันจะโรแมนติคไปกว่าเรื่องราวที่เจ้าชายได้ตกหลุมรักหญิงสาวชาวบ้านอีกแล้ว ไม่ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นในยุคสมัยไหนก็ตามก็จะกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตไปเสียทุกครั้ง ไปบอกกับบริษัทของเธอซะ ว่าข้าได้ลุ่มหลงในตัวเธอมากเสียจนไม่มีทางที่จะโงหัวขึ้นมาได้”

“เราผู้นี้ไม่คู้ควรกับบทบาทที่ยิ่งใหญ่แบบนั้นหรอกค่ะ”

“อาา ดันทาเลี่ยน เพื่อที่จะได้เงินมาแล้ว ถึงกับยอมลุงทุนพูดอะไรบ้า ๆ ออกมาอย่างการที่จะมีโรคระบาดแพร่กระจายในอีกสองเดือนข้างหน้า นอกจากนี้ก็ยังรู้วิธีรักษาโรคระบาดนั้นอีกด้วย หลังจากที่ได้เงินมาเขาก็จะกว้านซื้อวัตถุดิบทำยารักษาโรคนั้นมาเก็บเอาไว้คนเดียวแล้วก็ขายทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ”

“ลาล่า จงไปบอกกับบริษัทว่าข้าอยากจะขอยืมเงินอีกก้อนด้วยคำพูดเมื่อกี้นี้แหละ”

“……”

อย่างนี้นี่เอง

เราพอที่จะทำความเข้าใจได้ขึ้นมานิดหน่อยแล้ว

ว่าตอนนี้ จอมมารดันทาเลี่ยนได้ตั้งบทบาทให้ตัวเองนั้นกลายเป็นตัวตลก ตั้งบทบาทว่าตัวเองนั้นคือจอมมารผู้ที่ตกหลุมรักกับซัคคิวบัสผู้ต้อยต่ำ นอกจากนี้แล้ว ยังสร้างเรื่องโกหกบ้า ๆ ขึ้นมาเพื่อที่จะขอยืมเงินเพิ่มอีกด้วย

“ที่เหลือก็จำนวนเงินที่จะขอยืมสินะ อืม เอาซัก 10,000 เหรียญทองก็น่าจะพอ”

“10,000 เหรียญทองหรือคะ……”

มันเป็นจำนวนเงินที่เยอะเสียจนต่อให้จอมมารดันทาเลี่ยนทำงานชดใช้อีก 130 ก็ยังไม่หมด

ยิ่งถ้ารวมดอกเบี้ยเข้าไปแล้ว การจะชำระเงินก้อนนี้คืนนี่แทบจะไม่มีทางเป็นไปได้เลย

พวกผู้บริษัทของบริษัทคงจะรีบอ้าแขนรับข้อเสนออันนี้เป็นแน่แท้

เพราะยิ่งเป็นหนี้ก้อนโตมากเท่าไหร่ โซ่ตรวนที่อยู่บนคอของดันทาเลี่ยนก็ยิ่งหนามากขึ้นเท่านั้น เช่นนี้แล้วก็เหมือนกับว่าจอมมารได้กระทำการพุ่งทะยานเข้าสู่กำดักฆ่าตัวตายด้วยตัวเอง

และผู้ที่เป็นคนล่อจอมมารให้เข้าสู่ความตายในละครตลกเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเรา คนที่จะได้ความดีความชอบจากเรื่องนี้มหาศาลก็คือเรา ไม่ว่าสถานะของตัวเรานั้นจะต้อยต่ำขนาดไหน ก็ไม่มีใครที่จะสามารถปฎิเสธความดีความชอบของเราในเรื่องนี้ไปได้ และเราก็จะได้พุ่งทะยานขึ้นเป็นหนึ่งในผู้มีสิทธิ์ที่จะได้เป็นหนึ่งในผู้บริหารของบริษัทโดยทันที

“ฟังดูเป็นยังไงบ้าง? พอจะทำให้เธอรู้สึกสนใจขึ้นมาได้ไหม?”

“ค่ะ”

ช่างเป็นข้อเสนอที่หอมหวานเสียเหลือเกิน

ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน นี่ก็เป็นโอกาสที่จะเก็บเกี่ยวกำไรจำนวนมหาศาล

……มันช่างยั่วยวนเสียจนชวนให้รู้สึกเคลือบแคลงสงสัยยิ่งกว่าเดิม

หากทำเช่นนี้แล้วดันทาเลี่ยนจะได้ประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้? คนที่จะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ก็มีแต่เราเท่านั้น ถึงจะไม่คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะยอมตอบกลับมาดี ๆ ก็เถอะ แต่เราก็ถามเอาไว้ก่อนดีกว่า

“ฝ่าบาท เราผู้นี้ไม่เข้าใจว่าท่านจะหาประโยชน์จากละครที่สุดแสนจะอลังการบทนี้ได้อย่างไร”

“เจ้าเป็นแม่ค้าไม่ใช่หรือ”

ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนตอบกลับมาด้วยท่าทีที่สงบนิ่ง

“วิสัยของพ่อค้าแม่ค้านั้นคือการตรวจสอบว่ามีอะไรที่สามารถทำกำไรได้หรือไม่ และถ้าหากว่ามีก็จะพุ่งตรงเข้าไปหาโดยทันที ดังนั้นถ้าเจ้ามองเห็นกำไรในข้อเสนอของข้าแล้ว สิ่งที่เจ้าควรจะทำก็คือการพุ่งเข้าไปหาโดยไม่ต้องถามคำถามให้มากความไม่ใช่หรือ?”

“สิ่งที่ฝ่าบาทพูดมานั้นถูกต้อง เพียงแต่ว่าการรู้จักระมัดระวังตัวเมื่ออยู่ต่อหน้าอาหารที่ดูน่ากินจนเกินไปนั้น ก็เป็นวิสัยอันควรของพ่อค้าแม่ค้าเช่นเดียวกัน หากเราผู้นี้ตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่งแล้วพบว่ามีสุนัขจิ้งจอกมานอนเหยียดยาวรออยู่หน้าประตูบ้านล่ะก็ มันย่อมต้องเกิดรู้สึกสงสัยขึ้นเป็นธรรมดา”

เมื่อเราพูดไปเช่นนั้นออกไป ฝ่าบาทก็แสยะยิ้ม

“ทำไมล่ะ? บางทีเจ้าจิ้งจอกตัวนั้นอาจจะรู้สึกหลงรักเจ้าตั้งแต่แรกพบก็ได้”

“……”

กลอกกลิ้งจนกลมเกลี้ยง

ทักษะในการพูดของฝ่าบาทไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ

ต่อให้เคยเฉียดผ่านประตูของความเป็นความตายมา การที่คนเราจะเปลี่ยนแปลงไปถึงขนาดนี้มันเป็นไปได้จริงหรือ? แปลกจริง ถ้าคิดตามสามัญสำนึกแล้วนี่เป็นอะไรที่เหนือความเข้าใจเหลือเกิน

“ลาล่า ในเวลาที่นายพรานจับสุนัขจิ้งจอก ไม่มีนายพรานคนไหนเขามามัวแต่นั่งคิดถึงความรู้สึกของจิ้งจอกหรอกนะ มันฟังดูตลกสิ้นดีในฐานะนายพราน สิ่งที่เธอจะต้องทำนั้นมันง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย อย่างแรกเลยก็คือหยิบหน้าไม้ขึ้นมา—”

ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนขยับมือ

และทำท่าทางราวกับมันมีหน้าไม้อยู่ตรงนั้น

“จากนั้นก็ไล่ตามจิ้งจอกไปด้วยความตั้งใจที่จะสังหาร หากมัวแต่ทำตัวเงอะงะจนยิงพลาดก็มีแต่จะทำให้มันรู้สึกกลัวแล้วหนีไปเท่านั้น สิ่งที่เจ้าต้องทำก็มีเพียงเล็งไปที่ตรงกลางหน้าผากของมัน แล้วก็……”

ราวกับว่ากำลังมีลูกศรของของหน้าไม้กำลังเล็งมายังหน้าผากของเราจริง ๆ

จากนั้นฝ่าบาทดันทาเลี่ยนก็ทำท่าเหนี่ยวไก

“ฟ้าว”

ยิงลูกศรออกมาด้วยท่าทางช่ำชอง

“สังหารมันอย่างสวยงามในดอกเดียว”

“……”

“กลับไปบอกพวกที่บริษัทตอนนี้เลยเสียสิ ว่าเจ้าดันทาเลี่ยนนั่นมันสติแตกไปแล้ว นี่คือโอกาสชั้นดีที่จะล่ามโซ่ตรวนลงบนจอมมารผู้น่าสงสารนั้น”

ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนยื่นมือมาตบไหล่ของเราเบา ๆ

เราเริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมา ด้านหนึ่ง เหตุผลในตัวเราก็บอกกับเราว่าที่ฝ่าบาทพูดมานั้นคือสิ่งที่ถูกต้อง แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความรู้สึกของเรานั้นก็กำลังส่งสัญญาณเตือน

ว่านี่คือกับดัก

ว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของเรานั้นคือกับดักอันโหดร้าย

หากเราก้าวขาเข้าไปโดยที่ไม่คิดให้ถี่ถ้วนก่อนล่ะก็ เราก็อาจจะต้องจบชีวิตลงที่นี่

……ก่อนหน้านี้ไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่เหตุผลกับความรู้สึกของเราไปกันคนละทาง เราก็เลือกที่จะทำตามเหตุผลเสมอ เพียงแต่ว่าตอนนี้ หัวใจของเรากลับเต้นระส่ำอย่างรุนแรงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

แต่สุดท้ายแล้วเราก็เลือกที่จะเมินเฉยต่อความรู้สึกอันอัปมงคลนั่น

และเอ่ยปากพูดออกไป

“ฝ่าบาท เราผู้นี้เพียงแต่รู้สึกหวาดกลัวต่อสถานการณ์ในปัจจุบันของตัวเราเท่านั้น พูดก็คือหากเกมการล่าสัตว์ที่เราผู้นี้เคยคิดว่ามันเป็นเพียงจิ้งจอกได้กลับกลายเป็นพยัคฆ์ร้ายขึ้นมา เกรงว่าลูกศรเพียงดอกเดียวคงจะไม่เพียงพอที่จะล่าพยัคฆ์ร้ายตัวนั้น”

“ถ้าเป็นแบบนั้นขึ้นมาจริง ข้าก็คิดว่าตัวเธอในตอนนั้นก็คงจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถูกเจ้าพยัคฆ์ร้ายนั่นกินแล้วล่ะ”

แล้วฝ่าบาทก็ยื่นมือขวาออกมา

เราไม่เข้าใจว่าท่าทางของฝ่าบาทนั้นหมายถึงอะไร จึงได้แต่เพียงจ้องมองมือข้างนั้นอย่างเหม่อลอยเท่านั้น

ดูท่าฝ่าบาทคงจะคิดว่าช่วยไม่ได้ล่ะมั้ง ก็เลยยิ้มเจื่อน ๆ ให้

“นี่เธอคิดจะปล่อยให้ข้ายกมือค้างรอเธออีกนานเท่าไหร่กัน?”

“……”

ในที่สุด เราก็เข้าใจแล้วว่าท่าทางของฝ่าบาทนั้นหมายถึงการขอจับมือด้วยนั่นเอง

ขอเราผู้นี้จับมืองั้นหรือ เราไม่รู้ว่าจะตอบสนองกลับไปยังไงจริง ๆ

เพราะจนถึงตอนนี้เรายังไม่เคยจับมือกับใครมาก่อนเลย แม้เรื่องที่เท้าของพวกเราสัมผัสกันนั้นจะยังพอจะเป็นเรื่องที่ให้อภัยได้ก็เถอะ แต่ถ้าจับมือกันล่ะก็ เราจะต้องถูกลงโทษอย่างไม่ต้องสงสัย

“……ผู้ที่มีชาติกำเนิดต้อยต่ำอย่างเราผู้นี้มิกล้าทำให้ฝ่ามือของฝ่าบาทต้องแปดเปื้อนอย่างเด็ดขาด”

ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนเองก็น่าจะรู้เรื่องนี้ดี

ว่าตัวเองนั้นคือจอมมารที่อยู่บนจุดสูงสุดของระบบชนชั้นในโลกปีศาจ ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทเองไม่มองเราผู้นี้ในฐานะคนเสียด้วยซ้ำ เราเองก็ไม่ได้รู้สึกโกรธแค้นอะไรเป็นการส่วนตัวหรอก เพราะการที่จอมมารจะปฎิบัติตัวเช่นนี้กับลูกผสมระหว่างซัคคิวบัสกับมนุษย์ก็ถือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ถ้าไม่ต่างหากสิถึงจะแปลก

เรายังไม่อยากที่จะถูกตัดข้อมือทิ้งในตอนนี้

“ต้องขออภัยฝ่าบาท แม้ว่าเราจะรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง แต่ตัวเรานั้นมีแต่จะทำให้เกียรติของฝ่าบาทต้องมัวหมองเท่านั้น ได้โปรดนำมือกลับไปเถอะค่ะ”

“ทั้งที่เมื่อกี้ก็ยังกล้าคุยเรื่องที่มันอันตรายถึงขนาดนั้นแล้วแท้ ๆ แต่ตอนนี้กลับจะมากลัวกับอีแค่การจับมือ”

ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนหัวเราะหึหึ

“ถ้าเธอจับมือของข้าแล้ว มันจะทำให้มือของข้ามันแปดเปื้อนมลพิษ จะทำให้ข้าเป็นหวัด จะทำให้ชนชั้นทางสังคมของข้ามันตกต่ำลงไปหรือยังไงกัน? ข้าน่ะก็แค่อยากจะจับมือกับเจ้าในความหมายที่ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยในภายภาคหน้าเท่านั้นเอง”

“ต่อให้ตอนนี้ฝ่าบาทมีความคิดปฎิเสธเรื่องลำดับทางชนชั้นก็เถอะ แต่คนส่วนมากไม่ได้เป็นเช่นนั้น ถ้าชาวบ้านทั่วไปอย่างข้าไปสัมผัสโดนตัวของฝ่าบาทเข้าล่ะก็ บทลงโทษที่เราผู้นี้จะต้องได้รับก็คือ……”

“โอ้ แล้วไหนล่ะ เจ้าพวก ‘คนส่วนมาก’ ที่ว่า?”

ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนทำท่ามองไปรอบ ๆ ด้วยท่าทางเกินจริง แน่นอนว่าในที่แห่งนี้ก็มีเพียงตัวเรากับฝ่าบาทเพียงแค่สองคนเท่านั้น

“ยังไงเสียจอมมารดันทาเลี่ยนก็เป็นคนที่ไร้ค่าเหมือนกับเศษขยะอยู่แล้ว ข้าน่ะเป็นจอมมารแต่ในนามเท่านั้น นอกจากชื่อแล้วก็ไม่มีอะไรอื่นอีก ลาล่า ถึงขนาดนี้แล้วเจ้ายังไม่อยากจะจับมือกับข้าอีกหรือ?”

“……”

หากลงทุนพูดถึงขนาดนี้แล้ว เราก็คงจะไม่มีสิทธิที่จะปฎิเสธ

เราค่อย ๆ ยื่นมือออกไปจับมือของฝ่าบาทอย่างช้า ๆ

สัมผัมของมือคน ๆ แรกที่เราได้จับด้วยนั้นมันช่างรู้สึกเย็นเหลือเกิน ในระหว่างที่เรากำลังสัมผัสความรู้สึกของฝ่าบาทอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ นั้นเอง ฝ่าบาทก็ได้จับมือของเราจนแน่น

“จากนี้ไปก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย”

“…… ค่ะ เราผู้นี้ก็ขอฝากเนื้อฝากตัวต่อฝ่าบาทด้วยเช่นกัน”

เรารู้สึกว่านี่จะเป็นจุดเริ่มของความสัมพันธ์อันยาวนาน

แม้จะไม่รู้ว่าทำไม แต่สัญชาติญาณของเรามันก็ได้บอกกับเราแบบนั้น