ตอนที่ 61 ราชาคลั่งผู้หลับใหลนิรันดร์
จุดแปลกอยู่ในโลงศพนี้…
ฝ่ามือหนิงอี้ที่ถือหญ้าแห้งถูกเหงื่อซึมเข้าไปแล้ว เขาจ้องโลงศพโบราณของราชาหัวใจราชสีห์ เอ่ยเสียงแหบแห้ง “ข้าเปิดโลงเอง…เจ้าระวังด้วย”
“ดี” อู๋เต้าจื่อสูดลมหายใจเข้าลึก เขากลั้นลมหายใจ ไม่รบกวนสมาธิหนิงอี้อีก
หนิงอี้จ้องโลงศพนี้ รู้สึกขนหัวลุกเล็กน้อย เดินในสุสาน สิ่งต้องห้ามคือขยับของเจ้าของที่หลับใหลนิรันดร์ในสุสาน สิ่งต้องห้ามที่สุดในนั้นคือเปิดโลงศพ พบหน้าคนตาย
นี่เป็นคนใหญ่โตที่มีตัวตนและฐานะระดับใด
ชีวิตก่อนหน้าเป็นคนประเภทรักความสงบ ตนมารบกวนความสงบของราชาหัวใจราชสีห์ และยังจะเปิดโลงศพเขาอีก…
ลึกๆ ในใจหนิงอี้พลันสั่นไหว
เขาเลิกคิ้วขึ้น มองโลงศพนี้แปลกๆ หลังราชาหัวใจราชสีห์สิ้นชีพก็ถูกฝังอย่างสงบในสุสานจักรพรรดิ ค่ายกลพวกนี้อาจจะเตรียมไว้ก่อนเขาตาย แต่จุดแปลกที่นี่ ไม่ใช่ราชาหัวใจราชสีห์เป็นคนกำหนดไว้ก่อนแน่ ปรมาจารย์ฮวงจุ้ยที่สร้างสุสานนี้วางจุดตายไว้เช่นนี้ คนนอกที่มาที่นี่ จะออกไปก็มีแต่เปิดโลง พบหน้ากับราชาหัวใจราชสีห์ที่ตายไปแล้ว
หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก
จนเมื่อตนเปิดโลงไม้ จะต้องเจอกับภาพที่เหี้ยมโหดยิ่งกว่าทหารเงามืดบุกมาก่อนหน้านี้แน่
ราชาคลั่งที่หลับใหลนิรันดร์คนนี้ ไม่รู้ว่ายังมีความโกรธแค้นเท่าไร รอปะทุขึ้นในทันทีที่เปิดโลง
หนิงอี้เม้มริมฝีปาก เขายกมือขึ้นค้าง ภายใต้ปราการปราณหยางของเศษหญ้า แสงดาราเบาบางรวมกลางฝ่ามือ แรงดึงดูดเพิ่มขึ้นช้าๆ ฝาโลงแปลกนี้ไม่ได้แน่นหนา ไม่ว่าผู้บำเพ็ญใด ต่อให้มีพลังเพียงขอบเขตแรก ขอแค่มาถึงที่นี่ได้ก็จะเปิดโลงศพนี้ได้
“จะเปิดแล้ว…”
หนิงอี้หันไปมอง เห็นแววตาตื่นตัวของอู๋เต้าจื่อ เขาพยักหน้าให้ตน
เขากลั้นลมหายใจ รวมแสงดาราที่ฝ่ามือช้าๆ ขยับโลงออก
เศษหญ้าเริ่มสั่นไหว
หนิงอี้มีสีหน้าจริงจังขึ้นมา
นี่เป็นช่องที่แคบเล็กมาก ภายในโลงเงียบสงัด นอกโลกเมฆลมเปลี่ยนไป เมฆดำที่กดลงมาบนทุ่งหญ้าต่ำมากถูกพายุพัดฉีกขาด ล้อมรอบสองคนกับหนึ่งโลง ก่อนจะกลายเป็นควันมากมาย เป็นเส้นสาย ทหารเงามืดที่ลังเลอยู่นอกโลงไกลมากเงยหน้าขึ้นด้วยความสับสน ทำอะไรไม่ถูก
ท้องฟ้าเริ่มมีฝนตกลงมา
สายฟ้าโหมกระหน่ำลงบนพื้นดิน กระทบบ่าทหารเงามืดก็เหมือนไข่มุกน้ำหมึกกระทบลงกลางบ่อน้ำ เกิดหมอกขึ้น ทหารเงามืดที่เดิมทีร่างเหมือนเหล็กกล้าถูกชะล้าง ท่ามกลางหมอกหมุนม้วน มีเพียงยอดขุนพลหน้าขาวซีดหลายคนนั้นที่นั่งปากแดงฉานบนหลังม้าอย่างร้อนรน ชุดคลุมชุ่มด้วยน้ำฝน มองโลงศพไม้ดำสนิทนั้น
ทุ่งหญ้าที่ก่อนหน้านี้แออัด ตอนนี้กว้างโล่งขึ้นมา
แต่กลับน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม
“เมฆลมเปลี่ยน ลางของภัยร้าย” อู๋เต้าจื่อหน้าซีดขาว ก่อนพูดงึมงำ “ปราณหยินรุนแรงกว่าเดิมสิบเท่า…น้ำฝนพวกนี้สลายทหารเงามืดก็เพราะทหารเงามืดเล็กจ้อย รับพลังชั่วร้ายมหาศาลเช่นนี้ไม่ไหว”
แสงอ่อนของหญ้าแห้งสั่นไหวช้าๆ
หนิงอี้สัมผัสได้ถึงแรงกดดันสายหนึ่ง หากเปิดโลงไม้ออกทั้งหมด เกรงว่าจะต้านทานการกัดกินของปราณหยินนี่ไม่ได้จริงๆ ต้องรีบออกไป
หนิงอี้พูดเสียงแหบแห้ง “ข้านับสาม”
อู๋เต้าจื่อกำสองมือแน่น
“สาม”
“สอง…”
“หนึ่ง” เมื่อสิ้นเสียง หนิงอี้กดฝ่ามือลงบนโลงไม้ เขายกแขนขึ้นพลิกโลง พลังชั่วร้ายเงามืดมหาศาลของราชาหัวใจราชสีห์ถาโถมออกมา หญ้าแห้งที่บีบแน่นในมือส่งเสียงแหลมเล็ก จิตต่อต้านที่แน่วแน่ยิ่งก่อนหน้านี้ ถูกทะลวงจนสั่นไหวจะล้มลงในทันที
ยันต์คัมภีร์แสวงมังกรของอู๋เต้าจื่อถูกพลังชั่วร้ายเงามืดสลายไปในพริบตา
สายฝนข้างบนกลายเป็นฝนตกหนัก ยอดขุนพลแดนอุดรยุคโบราณแห่งที่ราบน้ำแข็งที่ร่วมรบกับราชาหัวใจราชสีห์หลายคนนั้นมีสีหน้าเศร้าโศก ลงจากม้า ยืนบนทุ่งหญ้า เพ่งมองโลงศพราชา
หนิงอี้เบิกตาโต มองบุรุษคนนั้นที่นอนในโลง
เจ้าของร่างนี้ไม่สูงใหญ่ และไม่แข็งแรง นอนอยู่ในโลกยักษ์เช่นนี้ ดูไม่เข้ากันอย่างชัดเจน สองมือเขาจับด้ามดาบและกระบี่ อาวุธสองชิ้นนี้เหมือนทะลวงโลงไม้ เชื่อมกับแผ่นดินทุ่งหญ้า ท่าทางของบุรุษคนนี้ดูเหมือนจะยันกระบี่ลุกขึ้นได้ตลอดเวลา
ใบหน้าของราชาหัวใจราชสีห์สวมหน้ากากเก่าแก่ครึ่งหน้า ปิดใบหน้าครึ่งบน ใบหน้าบุรุษดูผ่านโลกมานานและมีความมั่นใจในตัวเอง ต่อให้ผ่านมาไม่รู้กี่ปี หลังสิ้นชีพไปแล้วมุมปากบนใบหน้าครึ่งหนึ่งนั้นก็ยังยิ้มอ่อนๆ ขนคอราชสีห์พลิ้วไหวตามสายลมนอกโลง เส้นผมสีแดงที่สยายเหมือนน้ำตกและถูกกดไว้ใต้ร่าง ปลิวไสวขึ้นมาเช่นกัน
ดวงตาสองข้างที่ซ่อนใต้หน้ากากจุดแสงสว่างขึ้นมาช้าๆ
คนตายดุจดั่งคบเพลิงดับ
หนิงอี้จ้องดวงตาราชสีห์ใต้หน้ากากคู่นั้น มั่นใจว่าเห็นดวงตาเปิดขึ้นช้าๆ จากนั้นเปล่งแสงสว่างทีละนิดจริงๆ
เขาริมฝีปากแห้ง ไม่รู้ว่าควรจะบรรยายความรู้สึกตอนนี้อย่างไร เหมือนยืนอยู่กลางโลกกว้างใหญ่ ฟ้าดินมืดมิด แต่ดวงตาคู่นั้นลืมตาขึ้น ภูผานทีหมื่นลี้สว่างขึ้นทั้งหมด
หากบุรุษคนนี้หยิบกระบี่ลุกขึ้นนั่ง บอกตนว่าเขาจะไปปราบภูผานทีหมื่นลี้ของฟ้าดินนี้ ยังขาดนักกระบี่ใต้บัญชาคนหนึ่ง เช่นนั้นภายใต้จิตใจโคลงเคลง หนิงอี้จะต้องสาบานว่าจะติดตามเขาแน่นอน
นี่ก็คือความสง่างามของผู้เป็นราชาของ ‘ราชาแห่งแดนอุดร’
บนทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ยอดขุนพลหลายคนที่ตามราชาหัวใจราชสีห์มาสุสานด้วยกัน ปลดอาวุธในมือลง ปักคันศรเหล็ก กระบี่ยาวและดาบยาวลงบนทุ่งหญ้า สายลมพัดผ่าน หญ้าน้ำค้างสีขาวขยับไหวตามสายลม วังเวงเหมือนเหมันต์ฤดูผ่านแดน ภายใต้ฝนตกดังเปาะแปะ หมอกอบอวล บดบังทัศนวิสัยส่วนใหญ่ แต่ก็ยังขวางขุนพลร่างใหญ่พวกนั้นให้มองอยู่ไกลๆ ไม่ได้
ยอดขุนพลแดนอุดรที่ตอนมีชีวิตทำศึกกับผู้บำเพ็ญปีศาจ ก่อกรรมทำชั่วมาเยอะ ไม่รู้ในมือมีวิญญาณเท่าไร ตอนนี้น้ำตานองหน้า กลั้นสะอื้นไห้เบาๆ ไม่ได้
เศษซากอาวุธที่หักไปหลอมใหม่ได้
แต่คนตายไปแล้วฟื้นคืนชีพไม่ได้
นี่เหนือการคาดเดาของหนิงอี้…หลังเปิดโลงศพ ดวงตาคู่นั้นสว่างขึ้นทีละนิด เพ่งมองผู้มาเปิดโลงศพ ในดวงตาไม่ใช่จิตสังหารพุ่งขึ้นฟ้า แต่เป็นความปล่อยวางที่หลังจากอ่อนแสงลงแล้วก็ไม่เคยหายไปเลย
ไม่มีค่ายกลสังหารเหี้ยมโหด
และไม่มีปราณกระบี่เอาชีวิตคน
ราชาหัวใจราชสีห์ที่ตายจากไปท่านนี้ ในคลื่นลมสองพันปีต้าสุย ถูกปั้นแต่งว่าเป็นราชาคลั่งผู้เหี้ยมโหดและจิตใจอำมหิต แต่สิ่งที่น่าขำคือไม่เคยมีใครเคยเห็นรูปลักษณ์ของเขากับตา คู่ความทั้งหมดในตอนนั้น บ้างตายในการรัฐประหารที่พัวพันถึงเมืองหลวง บ้างตายภายใต้การกัดกร่อนของเวลา ความจริงทุกอย่างกลายเป็นฝุ่นธุลีของประวัติศาสตร์ สิ่งที่ฝากให้คนรุ่นหลังมีเพียงคำพูดเล็กน้อยในตำราประวัติศาสตร์เท่านั้น
ราชาหัวใจราชสีห์ไม่ใช่ราชาคลั่งเลย
ราชาแดนอุดรผู้ชอบความสันโดษและความสงบท่านนี้ สิ่งที่บรรยายตรงกันในตำราประวัติศาสตร์คือเขามีจิตใจโอบอ้อมอารีเหมือนสมุทร รวมถึงความทะเยอทะยานที่ไม่มีใครเทียบได้…เขาปกครองอาณาเขตกว้างใหญ่ได้ขนาดนี้ รับอัจฉริยะใต้บัญชาได้มากขนาดนี้ จะเป็นคนเหี้ยมโหดที่จะสังหารผู้ใต้บัญชาตามใจได้อย่างไร
หนิงอี้มองดวงตาที่ยังมีสีทองอ่อนคู่นั้น เขาพูดเสียงเบา “นี่คือความจริงที่ผู้ติดตามของท่านอยากให้ชนรุ่นหลังได้เห็น…ใช่หรือไม่”
หากตนกลัวชื่อเสียงดุร้ายของราชาหัวใจราชสีห์ ไม่กล้าเปิดโลงและกลับไปในค่ายกลทหารเงามืด ต่อให้เป็นวัตถุแห่งมหาสุริยะก็ไม่มีทางต้านปราณหยินมหาศาลไหว สุดท้ายหนีไม่รอดพบจุดจบในความกล้ำกลืนความแค้น
ปัญญาชนที่วางจุดแปลกคนนั้นคำนวณทุกอย่างไว้แล้ว
ราชาหัวใจราชสีห์ที่ยิ้มมุมปาก สองมือจับด้ามกระบี่ ตัวกระบี่ส่วนนั้นดูเหมือนแทงทะลุโลง ปักลงทุ่งหญ้า แต่ความจริงเป็นเพียงกระบี่หักสองเล่ม เสียหายไม่อาจซ่อมแซมได้ในสงครามสุดท้ายของราชาหัวใจราชสีห์
บุรุษสวมหน้ากากนอนในโลง ความเงียบสงบที่เขาชอบที่สุดตอนมีชีวิต และยังมีดาบกระบี่ หลับใหลนิรันดร์ไปพร้อมกับเขา
ราชาหัวใจราชสีห์ยิ้ม ‘มอง’ หนิงอี้ ไม่พูด
“ดาบกับกระบี่อยู่สองข้าง คุณธรรมยิ่งใหญ่อยู่ในใจ…” อู๋เต้าจื่อมองราชาหัวใจราชสีห์ในโลงไม้ พลันเกิดความเคารพขึ้น เขาพูดพึมพำ “หากข้าเกิดเมื่อสองพันปีก่อน ข้าจะยินดีติดตามท่าน นอกจากทำสงครามแดนอุดรแล้ว จะคืนความสงบสุขให้โลกหล้า!”
หนิงอี้มองราชาหัวใจราชสีห์ พลังบำเพ็ญของร่างนี้ยากจะประเมินได้ ดับสลายไปนานแล้ว ก่อนมีชีวิตราชาหัวใจราชสีห์จะต้องจุดดาราชะตาสามดวงแน่ เป็นผู้บำเพ็ญก้าวสู่นิพพาน
กายเนื้อเขาไม่เน่าสลาย แต่ความเป็นเทพกลับขาดไปเล็กน้อย…ที่ราบกระดูกรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของความเป็นเทพพวกนี้ ผู้บำเพ็ญที่บรรลุถึงขอบเขตพลังนี้ เหมือนจะห่างจากความเป็นอมตะก้าวเดียว
ทะลวงด่านล้มเหลวหรือ
ผู้บำเพ็ญที่หลั่งเลือดราชวงศ์ต้าสุย จะกลายเป็นอมตะยากเหมือนไต่สวรรค์ ไม่เคยมีตัวอย่างทำสำเร็จมาก่อน
ตอนนี้ราชาหัวใจราชสีห์ที่นอนในโลงเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด
บุรุษในโลงกำดาบกับกระบี่ อย่างอื่นไม่ต้องการ เขายิ้มมองตรงไปข้างหน้า รอคนนั้นที่มาเปิดโลงของตน บางทีอาจจะเป็นชนรุ่นหลังของต้าสุย หรืออาจจะเป็นเพียงโจรปล้นสุสานไร้ชื่อเสียง ไม่ว่าเป็นใคร เขาก็จะมอบของขวัญทั้งหมดในโลงแห่งนี้ให้ไปอย่างไม่หวงแหน…
ขอแค่อีกฝ่ายพบได้
อู๋เต้าจื่อมองหนิงอี้ที่มองในโลงศพอยู่นาน ก่อนเห็นอีกฝ่ายพลันยื่นมือเข้าไปคว้าสองมือของราชาหัวใจราชสีห์ที่จับดาบไว้
หนิงอี้มีสีหน้าซับซ้อน
ที่นี่มีจุดแปลก
และในโลงนี้ เป็นมรดกที่ราชาหัวใจราชสีห์ให้ไว้กับชนรุ่นหลัง
ความเป็นเทพที่เหลืออยู่ทั้งหมดของเขา…รวมเป็นผลึกก้อนหนึ่ง
ที่ราบกระดูกของหนิงอี้ดีใจใหญ่ ตัดผลึกความเป็นเทพนั้นออกมา เป็นเส้นสายเวียนซึมเข้าไปในผิวหนัง สุดท้ายรวมเป็นก้อนหลายก้อน
หนิงอี้มองรอยยิ้มของราชาหัวใจราชสีห์
เขาใช้เสียงที่มีเพียงเขาได้ยินพูดงึมงำ “หรือก็คือ นี่ต่างหากคือความจริงที่ท่านอยากจะให้ชนรุ่นหลังได้เห็นรึ”
………………………….