ตอนที่ 63 กระบี่ร้อง
อู๋เต้าจื่อออกจากก้นสุสานสำนักศึกษา
หนิงอี้ไม่ได้รีบร้อนจากไป เขามาถึงใต้จวนภูเขาคราม เป้าหมายสำคัญที่สุดคือทะลวงพลัง บรรลุขอบเขตที่หกแล้ว ตอนนี้ถือว่าสำเร็จแล้ว
เขาได้ผลึกความเป็นเทพของราชาหัวใจราชสีห์แดนอุดรในสุสานจักรพรรดิหัวใจราชสีห์ ผลึกความเป็นเทพนี้ขดอยู่ในตันเถียนเขา ลอยขึ้นลง เหมือนกระดูกเคี้ยวยาก ในนั้นเหมือนจะซ่อนความเป็นเทพไว้ไม่มีที่สิ้นสุด…หนิงอี้มีลางสังหรณ์อย่างหนึ่ง หากรวมหยดความเป็นเทพของสวีชิงเยี่ยนไว้ด้วยกัน เกรงว่าคงจะรวมเป็นผลึกความเป็นเทพชิ้นหนึ่ง และผลึกที่ราชาหัวใจราชสีห์ใช้ความพยายามทั้งชีวิตรวมเป็นผลึกก้อนนี้ เกรงว่าเมื่อแยกออกมา นับความเป็นเทพเป็นหยดแล้วคงจะมีจำนวนเท่าฟ้า
หนิงอี้พิจารณากระดองเต่าที่อู๋เต้าจื่อให้ตนเงียบๆ กระดองเต่านี้ไม่รู้ใช้อย่างไร หากใส่ความเป็นเทพเข้าไป…มีโอกาสสูงมากที่จะเกิดผลต่างกัน นักบวชมาจากภูเขาวิญญาณ ฝึกแค่กายเนื้อ เส้นทางอื่นไม่ราบรื่น เอากระดองเต่านี้ไป ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เลย
เขาเก็บกระดองเต่า ก่อนถือคัมภีร์แสวงมังกรเดินไปในมหาสุสานช้าๆ
สุดท้ายมาถึงหน้าประตูแดนเทวานั้นของเคียงกระบี่
หนิงอี้มีสีหน้าจริงจัง แขนเสื้อที่กลายเป็นก้อนโคลนในมือเขามาจากรูปปั้นของท่านเคียงกระบี่ ภาพพวกนั้นในสุสานจักรพรรดิได้พิสูจน์ความจริงทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนั้น ความสงสัยที่ยังไม่ได้ไขข้อของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวและความจริงได้ซ่อนอยู่ในแดนเทวาก้นสุสาน
ในแดนเทวาใหญ่ กระบี่แขวนอยู่เต็มไปหมด หนิงอี้หลบประกายคมอย่างระมัดระวัง เดินมาหน้าผนังหินที่ถล่ม เขานั่งย่อตัวลง ลองวางแขนเสื้อนั้นกลับไปที่แขนเสื้อของเคียงกระบี่ สุดท้ายบอกลาด้วยความพ่ายแพ้ หลังจากแขนเสื้อสองชิ้นกลายเป็นดิน ก็ไม่มีความเป็นเทพแล้ว เอาติดกลับไปไม่ได้อีก
เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจยาว
เหมือนทำการตัดสินใจครั้งใหญ่ หนิงอี้ลุกขึ้น กำหมัด
เขาอยากลองส่งความเป็นเทพเข้าไปในรูปปั้นเคียงกระบี่ ดูว่าจะเกิดปาฏิหาริย์หรือไม่…แต่ในตันเถียนของตนมีความเป็นเทพไม่กี่หยด ไม่มีทางเกิดผลได้
หนิงอี้ลองแยกผลึกความเป็นเทพของราชาหัวใจราชสีห์ พบว่านี่ใช่เรื่องที่จะทำเสร็จในชั่วข้ามวัน หากแยกผลึกของราชาหัวใจราชสีห์ได้จริงๆ วันนี้ก็อาจจะทำสำเร็จ
“รูปปั้นดินเช่นนี้เอาออกจากจวนภูเขาครามได้หรือไม่…” หนิงอี้หรี่ตาลง เขาเริ่มพิจารณาเคียงกระบี่ บุรุษหนุ่มที่นั่งขัดสมาธิอยู่ จอนผมปลิวไสวดวงตางดงาม กระบี่ยาวสามเล่มที่ลอยตรงหน้าตัก ปราณกระบี่ยังอยู่ ดูแหลมคมอย่างยิ่ง!
แตะไม่ได้
เขากัดฟัน เหมือนเป็นการตัดสินใจที่ยากมาก
คำสอนของเขาสู่ซานคือเมื่อเจอโชควาสนา มีเงื่อนไขจะต้องเอาไปให้ได้ ไม่มีเงื่อนไขก็ต้องสร้างเงื่อนไขและเอาไปเช่นกัน
แดนเทวาเล็กแห่งนี้ เป็นของชิ้นสุดท้ายที่เคียงกระบี่ฝากให้ชนรุ่นหลัง หากวันนี้ตนทิ้งไปเช่นนี้ คนต่อไปที่จะมาสุสานแห่งนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นใคร…
และที่สำคัญกว่านั้นคือ…หนิงอี้บีบแขนเสื้อแน่น ตอนที่เข้าสุสานจักรพรรดิ เขาบีบแขนเสื้อนี้ เหมือนรู้สึกได้ว่าในมิติที่ห่างไกลมาก เคียงกระบี่เมื่อพันปีก่อนได้ไหว้วานและฝากความหวังไว้กับตน
เขามีลางสังหรณ์อย่างหนึ่ง หากวันนี้ตนจากไปเช่นนี้จะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
หนิงอี้สวดคัมภีร์แสวงมังกร รูปปั้นหินที่ล้อมรอบเคียงกระบี่เหยียบค่ายกลยันต์แปดทิศไว้ หมุนวนหลายรอบก็กำจัดผนึกส่วนใหญ่ไปได้ อำนาจคุกคามที่มากที่สุด…ก็คือกระบี่ยามสามเล่มที่วางตรงหน้าตักเคียงกระบี่
กระบี่ยาวสามเล่มที่วางอยู่มีพู่กระบี่สีดำแดงขาวสามสี หน้าตาต่างกัน พู่กระบี่สีดำ คมกระบี่ดุจปลาเวียนว่าย ด้ามกระบี่เต็มไปด้วยความเย็นเยือก ตัวกระบี่ประทับตรา ‘หนวดมังกร’
เล่มสีแดงฉานแกะสลักเป็นรอยแตกลาย ประทับตรา ‘อักษรเต่า’
พู่กระบี่สีขาวหิมะตัวกระบี่ขาวหิมะ แสงกระบี่เย็นเยือกสั่นไหวในนั้นเรียกว่า ‘รุ้งขาว’ กระบี่ยาวสามเล่มนี้เป็นกระบี่เจ้าสำนักที่รุ่งโรจน์ที่สุดของสามสำนักศึกษา เคยสังหารราชันปีศาจมากมายในทะเลพลิกผัน พลังสังหารน่าเกรงขาม ตอนนี้ส่งเสียงดังชิ้งๆ
กระบี่ยาวสามเล่มนี้ วางไว้ตรงหน้าตักเคียงกระบี่ ตอนนี้เป็นปราการที่ใหญ่ที่สุดของหนิงอี้
เขาไม่รู้ว่าเมื่อสัมผัสกระบี่สามเล่มนี้จะเกิดผลอย่างไร
หนิงอี้นำยันต์ออกมา นี่คือยันต์กั้นเสียง สามารถกันเสียงในพื้นที่เล็กๆ ได้ เขาแปะยันต์กั้นเสียงไว้บนแดนเทวาเล็ก จากนั้นเดินในมหาสุสานสำนักศึกษาหลายรอบ ต้องบอกว่าที่นี่เป็นแดนคลังสมบัติ มียันต์อยู่ทุกชนิดที่ต้องการ
“นี่เป็นยันต์ป้องกันขนาดเล็ก”
“ยันต์กันสั่นสะเทือน…มียันต์ชนิดนี้ด้วยหรือ”
หนิงอี้เหยียบภาพยันต์แปดทิศของคัมภีร์แสวงมังกร เดินรอบสุสาน ผนึกที่ยังไม่ทำงานพวกนั้นถูกเขาเลี่ยงไปทั้งหมด ยันต์ที่นี่เป็นมรดกที่ผู้อาวุโสสำนักศึกษาเก็บไว้ให้ทายาท ขอแค่ใช้อย่างระมัดระวังก็จะไม่ทำให้ค่ายกลทำงาน
หนิงอี้กอดกระดาษเหลืองยันต์ปึกใหญ่ เขาเลือกยันต์ด้านการป้องกันพวกนั้น ยันต์พวกนี้กันสั่นสะเทือนโลกภายนอกได้ และยังกันการเปิดผนึกทำงานปราณกระบี่
หากเขาจะกอดรูปปั้นหินของเคียงกระบี่ไป เกรงว่าคงยากจะเลี่ยงกระบี่ยาวสามเล่มนี้ได้
หนิงอี้เริ่มวางค่ายกลในแดนเทวาเล็ก เขาใช้แสงดาราอย่างระมัดระวัง คีบยันต์ในอากาศทีละแผ่น ต่างลอยอยู่กลางอากาศ ไม่แตะต้องตัวกระบี่ ‘อักษรเต่า’ ‘หนวดมังกร’ และ ‘รุ้งขาว’ ห่อหุ้มเป็นชั้นๆ ยันต์แต่ละแผ่นซ้อนทับกัน มั่นใจว่าทำให้กระบี่สามเล่มนี้อยู่อย่างสงบนิ่ง
เพื่อกันเสียงไปทำงานผนึก นอกจากยันต์กั้นเสียงนั้นที่เขาแปะไว้บนแดนเทวาเล็กแล้ว หนิงอี้ยังแปะยันต์กั้นเสียงหลายแผ่นบนผนังหินอีกสามด้านของแดนเทวาเล็ก
ทำพวกนี้เสร็จ หนิงอี้ใช้แสงดาราไปไม่น้อย เหงื่อชุ่มหน้าผาก มองผลงานของตนพลางพยักหน้าอย่างพอใจ…ครั้งนี้ตนจะนำรูปปั้นของเคียงกระบี่ไปด้วย น่าจะไม่ถูกใครพบหรอกนะ
ขอแค่ไม่แตะต้องผนึก ตนก็จะกอดเคียงกระบี่หนีไปได้ เวลาอยู่ใต้สุสานสำนักศึกษาจะต้องระวังหน่อย เหยียบคัมภีร์แสวงมังกร ขอแค่จากเส้นทางสุสานไปถึงจุดแปลกก็จะออกจากที่นี่ได้ จากนั้นใช้ค่ายกลมารดาบุตรของเด็กสาวกลับจวนเจ้าลัทธิ
เขาท่องขั้นตอนเงียบๆ ในใจ
ไม่มีปัญหา…
หนิงอี้ยื่นสองแขนออกมา กดบ่าของรูปปั้นหินเคียงกระบี่ เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ผู้อาวุโส…ล่วงเกินอีกครั้งแล้ว!”
เคียงกระบี่ที่อยู่ในสุสานสำนักศึกษา ปัญญาชนเมืองหลวงหลายคนร่วมมือกันตรวจสอบยังไม่ได้อะไร ในผนังหินแดนเทวาเล็กส่งเสียงขยับช้าๆ …หนิงอี้มีสีหน้าจริงจัง รูปปั้นนี้หนักมากจริงๆ ด้วยกายและจิตของหนิงอี้ตอนนี้ ยังดูรับไม่ไหวนิดๆ
น้ำวนความเป็นเทพในตันเถียนสั่นไหวเบาๆ ความเป็นเทพกระจายออกทีละนิด หนิงอี้หน้าแดง ดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับ สองแขนยกขึ้นช้าๆ ยกรูปปั้นหินดินนั้นขึ้น แยกออกจากแดนเทวาเล็กข้างใต้…
‘วิ้ง!’
‘วิ้ง!’
‘วิ้ง!’
เสียงกระบี่ร้องสามครั้งดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน หนิงอี้หรี่ตาลงเล็กน้อย เสียงร้องกระบี่สั่นไหวถูกยันต์ค่ายกลกั้นเสียงสี่แผ่นกดไว้ ผนึกค่ายกลสังหารข้างนอกสัมผัสไม่ได้
เส้นนั้นที่ตึงเปรี๊ยะในก้นบึ้งหัวใจหนิงอี้คลายออกเล็กน้อย ที่นี่ซ่อนอุบายไว้จริงๆ
เขายกรูปปั้นดินเหนียวเคียงกระบี่ขึ้น วางลงพื้นช้าๆ กระบี่ยาวสามเล่มที่วางตรงหน้าตักเขาก่อนหน้านี้หุ้มด้วยยันต์ สั่นไหวเบาๆ ส่งเสียงแสบหูดังมาตลอด แต่มีเพียงในแดนเทวาเล็กที่ได้ยิน จะดังออกไปข้างนอกก็จะถูกค่ายกลกั้นเสียงกดไว้อย่างแน่นหนา
“จะสู้กับข้ารึ” หนิงอี้ยิ้มเยาะ มองกระบี่สามเล่มพลางพูด “ไปฝึกอีกห้าร้อยปีเถอะ!”
กระบี่สามเล่มได้ยินดังนั้นก็เหมือนรู้สึกได้ ราวกับมีสติปัญญาขึ้นมาจริงๆ สั่นไหวถี่สูงขึ้น น่าเสียดายต่อให้เสียงดังกว่านี้ก็ถูกยันต์กั้นเสียงขวางไว้ ไม่อาจดังออกจากสุสานสำนักศึกษา จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงให้คนนอกรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่
หนิงอี้ไม่มองกระบี่สามเล่มนั้นอีก เขาขยับอย่างนุ่มนวล แบกรูปปั้นหินขึ้นช้าๆ
เพิ่งเดินได้ก้าวเดียว
ก็มีแรงปะทะรุนแรงมาจากข้างหลัง หนิงอี้พลันหน้าเหี้ยมเกรียม ถูกแรงปะทะกระแทกลอยออกไป
เขานั่งจ้ำเบ้ากับพื้น หันไปมองด้วยสีหน้าตื่นตกใจ มองปราณกระบี่มหาศาลทั้งแดนเทวาเล็ก
ยันต์ป้องกันหลายร้อยแผ่นที่ห่อ ‘หนวดมังกร’ ‘รุ้งขาว’ และ ‘อักษรเต่า’ ถูกปราณกระบี่ทำลายแทบจะพร้อมกัน ปราณกระบี่สามสายที่พุ่งมาจากในตัวกระบี่แหลมคมอย่างยิ่ง ฉีกยันต์ทั้งหมด ปราณกระบี่สามสายต่างตัดสลับกัน วนเวียนกัน แค่หยุดในชั่วพริบตาก่อนจะพุ่งเข้ามาต่อ
พุ่งทะลวงแดนเทวาเล็กแห่งนี้…
กำลังเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ!
หนิงอี้เบิกตาโต ในแดนเทวาใหญ่ กระบี่หลายร้อยที่เคียงกระบี่เคยเอาชนะศัตรูและเอามาแขวนในห้องพวกนั้น กระบี่ยาวขึ้นสนิมและตายไปแล้วพวกนี้ ยามนี้พากันคืนชีพขึ้นมา ทั้งห้องเงียบเปล่งแสงสว่างจ้า ปราณกระบี่หลายร้อยถาโถมออกมาในพริบตา!
เด็กหนุ่มชุดคลุมดำที่อยู่ในห้องเงียบงงเป็นไก่ตาแตก แบกรูปปั้นดินเหนียวเคียงกระบี่ลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เหม่อมองปราณกระบี่หลายร้อยที่แย่งชิงพุ่งขึ้นฟ้า พุ่งทะลวงพื้นสุสานสำนักกระบี่ไปมา ทะลวงม่านยามราตรี
ตาน้ำพุตามังกรจวนภูเขาครามพลันระเบิดออก…
ปราณกระบี่พวกนี้เป็นแสงไฟที่สว่างที่สุดในค่ำคืนเงียบสงัด
ภายในจวนขานฟ้าที่อยู่ใกล้ที่สุด เจ้าจวนขานฟ้าที่หลับตาฝึกบำเพ็ญลืมตาขึ้นเป็นคนแรก ใบหน้าเย็นชายิ่ง หยิบมีดครามสามฉื่อที่ลอยอยู่ตรงหน้า แค่ลมหายใจเดียวก็หายไปในห้องลับ
สำนักศึกษาตะวันสูงกับสำนักศึกษาขุนเขา เจ้าสำนักสองคนก็เช่นกัน ปราณกระบี่มหาศาลเช่นนี้เกิดขึ้นในถิ่นฐานตน จะไปพ้นจากหูตาของผู้แข็งแกร่งสุดยอดเช่นนี้ได้อย่างไร
สำนักศึกษาถ้ำกวางขาว เจ้าสำนักศึกษาที่ตอนนี้กำลังสนทนามรรคกับสุ่ยเยวี่ยหน้าเปลี่ยนสีไป มองไปทางปราณกระบี่พุ่งขึ้นฟ้า ก่อนพูดด้วยจิตสังหารน่าเกรงขาม “ใครช่างกล้านัก กล้ามาป่วนในสุสานสำนักศึกษา”
สุ่ยเยวี่ยหรี่ตาลง นางทะยานขึ้นพร้อมกับเจ้าสำนัก ในใจรู้สึกได้ มองปราณกระบี่พวกนั้นที่พุ่งขึ้นฟ้าไกลๆ พลางพูดงึมงำ “ปราณกระบี่พวกนี้…กลิ่นอายพลังคุ้นมาก…”
…..
ภายในแดนเทวาใหญ่
หนิงอี้วางรูปปั้นหินเคียงกระบี่ลง
เขามอง ‘บุรุษหนุ่ม’ ที่ยิ้มกว้างด้วยใบหน้าขาวซีด ยิ้มไม่ออกเลยสักนิด
“ผู้อาวุโส…นี่ท่าน จะฆ่าข้ารึ!”
………………………..