ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 64 หนามยอกเอาหนามบ่ง

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 64 หนามยอกเอาหนามบ่ง

หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก

เขาแบกรูปปั้นหินดินเหนียวเคียงกระบี่ นำผ้าดำออกจากกระเป๋าเอวมาพันกับใบหน้า เหยียบยันต์คัมภีร์แสวงมังกรทะยานขึ้น เขาไม่ได้เดินไปจุดแปลกที่เร็วที่สุดอีก แต่ย้อนกลับไปทางเดิม อยากจะพุ่งออกจากใต้ดินจวนภูเขาคราม

สี่สำนักศึกษาพบการเปลี่ยนแปลงของก้นสุสาน ความผิดแปลกพวกนี้ต้องหลบเลี่ยงยอดผู้บำเพ็ญที่มีสัมผัสแข็งแกร่งยิ่งพวกนี้ไม่ไหวแน่ เกรงว่าแม้แต่คนระดับเจ้าจวนก็คงเคลื่อนไหวแล้ว

หนิงอี้กัดฟัน เหลือเวลาให้ตนไม่มากแล้ว

ขณะทะยานไป เขาหน้าเปลี่ยนสี หมุนตัวกลับมา แขนเสื้อสีดำสองข้างยกขึ้น กระบี่ยาวสำนักศึกษาสามเล่มที่วางตรงหน้าตักเคียงกระบี่แดนเทวาเล็ก ตอนนี้เคลื่อนไหวพร้อมกัน ปราณกระบี่สามสายฟันเข้ามา หนิงอี้ยกแขนกัน กระบี่ยาวปะทะกับกายจิตยักษ์ดารา ของไร้เจ้าของแม้จะมีระดับสูงมาก อานุภาพก็ยังค่อนข้างจำกัด เกิดเสียงแทงดังสองครั้ง แขนเสื้อหนิงอี้ถูกฉีกเป็นรอยยาวสองรอย เส้นทางสุสานแคบสองข้างเกิดฝุ่นดินฟุ้งกระจาย

หนิงอี้ทะยานต่อไป

กระบี่ที่ถูกตบเข้าผนังหินก็สั่นไหวขึ้น เม็ดฝุ่นธุลีที่ตกลงบนตัวกระบี่เปลี่ยนทิศปลายกระบี่ช้าๆ อีกครั้ง ก่อนแทงใส่หลังหัวใจหนิงอี้

การทำซ้ำเช่นนี้ ตอนหนิงอี้มาถึงเส้นทางสุสานจวนภูเขาครามก็ตบกระบี่ไปไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง กายจิตยักษ์ดาราเดิมทียิ่งใหญ่บริสุทธิ์ แต่ตอนนี้สภาพน่าอนาถ สองมือเต็มไปด้วยคราบเลือด หนิงอี้จ้องกระบี่ยาวสามเล่มที่ตามไม่เลิกรา แสงดาราออกมาทั้งหมดต้านการโจมตี จากนั้นออกแรงสวนกลับ เปิดยันต์แปดทิศหยินหยางบนเส้นทางสุสาน กอดรูปปั้นเคียงกระบี่พุ่งทะยานไปยังตาน้ำพุ

……

“ใต้ดินจวนภูเขาครามเกิดเรื่องแล้ว!”

ปราณกระบี่พุ่งออกมาจากภูเขาคราม วนเวียนไม่ขาดสาย มีพลังจะรวมเป็นค่ายกลลับๆ ค่ำคืนมืดมิดยาวนาน ปราณกระบี่เหมือนดวงตะวันพุ่งขึ้นฟ้า ทุกคนสังเกตเห็นปรากฏการณ์นี้

คุณชายน้อยแห่งจวนขานฟ้าทยอยกันตื่นจากสภาวะบำเพ็ญ

ใต้บ้านมังกรคาบไข่มุกด้านหยางของจวนภูเขาคราม คุณชายครามในชุดคลุมครามลืมตาขึ้น ฝ่ามือเขากำหยกอุ่นชิ้นหนึ่ง ตอนนี้บีบหยกอุ่นแตกอย่างไม่ลังเล

ตั้งแต่จวนขานฟ้าถูกโจมตีจวนภูเขาครามครั้งก่อนก็ได้เชิญปัญญาชนเมืองหลวงมา ทำการเสริมค่ายกลอีกครั้ง แม้แต่ใต้ภูเขาคราม หากมีคนลอบเข้ามาถูกพบ ค่ายกลทั้งหมดก็จะทำงาน มิติจะถูกผนึก ต่อให้เป็นยอดผู้บำเพ็ญขอบเขตราชันดาราก็ยากจะฉีกมิติเคลื่อนย้ายไปได้ กระทั่งค่ายกลมารดาบุตรที่มีระดับสูงยังไม่เกิดผล!

ตรงหน้าคุณชายครามวางโต๊ะไม้ครามตัวหนึ่ง บนโต๊ะวางของเล็กใหญ่ เป็นสมบัติสี่ชิ้นในห้องตำราของสำนักศึกษา พู่กันน้ำหมึกกระดาษและจานฝนหมึก พังเละเทะหมด คุณชายใหญ่สำนักศึกษาคนนี้ ความอ่อนโยนแบบนักปราชญ์ในแววตาหายไปทั้งหมด

บีบหยกอุ่นแตก ยอดค่ายกลใต้ดินจวนขานฟ้ายาวเหยียดเหมือนสันหลังมังกร เกิดเสียงร้องดังตลอด

คุณชายครามมองด้านหยินที่เป็นน้ำพุร้อนตามังกร สองมือกดลง ค่ายกลจวนภูเขาครามควบรวม แขกคนนั้นไม่ว่าจะมีพลังวิเศษใด…ก็ต้องถูกขังในจวนขานฟ้า!

เขากำสองหมัดแน่น ลุกขึ้นยืน มองไปด้านหยินน้ำพุร้อนตามังกรที่กลายเป็นแดนคุมขังพลางหัวเราะเสียงดัง “หนามยอกก็ต้องเอาหนามบ่ง!”

……

ค่ำคืนของจวนภูเขาครามพลันแตกกระจาย คุณชายน้อยหลายคนขี่กระบี่เข้ามา

น้ำพุร้อนระเบิดออก ร่างเงากอดรูปปั้นพุ่งทะยานขึ้นฟ้า!

หนิงอี้ที่เอาผ้าดำปิดหน้ามีสีหน้าเฉยชา เขาบีบยันต์ค่ายกลมารดาบุตรของเด็กสาว พบว่ามิติตอนนี้ถูกค่ายกลของจวนขานฟ้ากำราบไว้ จะเคลื่อนย้ายออกจากที่นี่กลายเป็นเรื่องเพ้อฝัน

จากนั้นมีลำแสงเย็นเยือกพุ่งเข้ามา!

คุณชายน้อยหยวนหลินแห่งจวนขานฟ้าที่ขี่กระบี่บินมาจ้องแขกจวนขานฟ้าที่พุ่งมาจากน้ำพุนั้น ยกแขนขึ้น แสงดาราหลั่งทะลักมาจากในแขนเสื้อ กระบี่ยาวระดับไม่ต่ำสีครามประทับสามคำ ‘อาภรณ์ครามวรุณ’ นั้นที่เหยียบใต้เท้านั้นพลันสั่นไหว กลายเป็นลำแสงสิบสาย พุ่งออกไปตามการชี้นิ้วสิบครั้งอย่างรวดเร็ว

หนิงอี้ใช้มือข้างหนึ่งลากรูปปั้นดินเหนียวเคียงกระบี่มาขวางไว้หน้าตน

ลำแสงสิบสายนี้ระเบิดห่างจากรูปปั้นเคียงกระบี่สามฉื่อ แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ เหมือนชนขุนเขาไท่ซาน เคียงกระบี่เป็นบรรพจารย์นักกระบี่ที่มีพลังบำเพ็ญด้านกระบี่สูงจนไร้ขอบเขต ตอนนี้รูปปั้นหินเหมือนกับตัวจริง เพียงแค่ความเป็นเทพโรยรา กายเนื้อแห้งกร้าน แต่ความเป็นกระบี่ยังคงอยู่

หนิงอี้ที่แบกรูปปั้นหินหนีไปใต้สุสาน ช่วงที่ต้านสามกระบี่นั้นตอนสุดท้ายก็พบความแปลกของจุดนี้ รูปปั้นหินเหมือนจะต้านปราณกระบี่ได้!

คุณชายพิรุณแห่งจวนขานฟ้าคนนี้แม้จะบรรลุช่วงหลัง แต่ไม่นับว่าเป็นนักกระบี่ด้วยซ้ำ ปราณกระบี่เปราะบางมาก ยกรูปปั้นหินออกมาก็เพื่อยืนยันการคาดเดา

เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ!

หนิงอี้หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เงยหน้าขึ้น กระบี่ยาวสามสี่เล่มลอยอยู่กลางฟ้ายามราตรี คุณชายน้อยแห่งจวนขานฟ้ามาหลายท่าน ในนั้นไม่ขาดใบหน้าคุ้นตา ต่างเหยียบมิติหนึ่งทิศ ล้อมรอบตนอยู่ในจวนด้านหยิน

ปราณกระบี่พุ่งเข้ามาเต็มฟ้า คุณชายน้อยพวกนี้ไม่พูดอะไรมาก ลงมือก็ขี่กระบี่แปลงกาย ยกแขนเสื้อยิงปราณกระบี่นับไม่ถ้วนออกมา!

หนิงอี้ควงรูปปั้นหินดินเหนียวเคียงกระบี่ ตบปราณกระบี่ที่พุ่งเข้ามาทั้งหมด พลังดุจดั่งสายรุ้ง ก่อนพุ่งเข้าไปหาคุณชายพิรุณที่ใกล้ตนมากที่สุด

“โจรชั่วช่างกล้านัก!”

หยวนหลินอาภรณ์ครามโบกสะบัด สองมือกดลง ร่างอิทธิฤทธิ์ของสายเลือดอาภรณ์ครามวรุณพลันรวมขึ้น คนชราอาภรณ์ครามใกล้สิ้นอายุขัยคนหนึ่งรวมขึ้นจากแสงดารา มือถือตะเกียง เผยมาครึ่งตัวบน มีท่วงทำนองผ่านโลกมาเนิ่นนาน ลืมตาขึ้นช้าๆ จ้องหนิงอี้ช้าๆ

สายลมเงามืดรวมเข้ามา ดึงทึ้งอาภรณ์หนิงอี้ คนแปลกชราที่รวมจากอิทธิฤทธิ์อาภรณ์ครามวรุณนั้นเป่าแสงไฟตรงหน้า สายลมเงามืดมากมายจู่โจมมาตรงหน้าหนิงอี้…

เป่าจนหนิงอี้ลืมตาขึ้นไม่ได้เล็กน้อย

“นี่มันบ้าอะไรกัน”

หนิงอี้ที่เหยียบพื้นแตกเป็นใยแมงมุมวิ่งเข้าไปดั่งคชสาร ทำลายล้างทุกสิ่ง แค่สะบัดไหล่ สายลมเงามืดทั้งหมดระหว่างทางก็ถูกทำลายลงทั้งหมด

สายลมเงามืดหมุนม้วน ร่างอิทธิฤทธิ์ที่เพิ่งรวมมาขอบเขตที่เจ็ดนั้นถูกร่างหนิงอี้กระแทกกระเทือน สายลมเงามืดแตกเป็นเสี่ยงๆ!

“พละกำลังทะลวงหมื่นวิชาหรือ” หยวนหลินหน้าเปลี่ยนสีอย่างชัดเจน ลึกๆ ในใจพลันสั่นไหว เขารีบทำปางมือ เหยียบกระบี่บินใต้เท้า ขี่กระบี่พุ่งขึ้นไป ทั้งตัวตรงดิ่งขนานกับพื้น ชุดคลุมยาวกับเส้นผมยาวปลิวไสวไม่หยุด

วิชายักษ์ดาราหุบเข้าไปในกาย หนิงอี้พลันหยุดลง สองมือจับรูปปั้นเคียงกระบี่แน่น จับชายเสื้อตรงฐานไว้ พุ่งเข้าไปเหมือนยอดขุนพลโบราณลากดาบ ท่าทางการพุ่งบ้าอำนาจอย่างยิ่ง ตบทำลายปราณกระบี่ที่พุ่งเข้ามาหน้าหลังซ้ายขวาทั้งหมด หลังหยุดลง เขาก็เงยหน้ามองหยวนหลินที่ควบกระบี่พุ่งขึ้นฟ้า ก่อนจะย่อตัวลงเล็กน้อย เกิดเสียงดังสนั่น

พื้นดินด้านหยินจวนภูเขาคราม ตรงจุดที่หนิงอี้หยุดแตกกระจายเป็นใยแมงมุมยักษ์

ท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของทุกคน เงาชุดคลุมดำที่ใช้สองมือจับรูปปั้นหินร่างมนุษย์ไว้ สั่งสมพลังอยู่กับที่อยู่ครึ่งลมหายใจ ก่อนจะเหมือนกระสุนพุ่งเข้าใส่คุณชายน้อยหยวนหลินที่ขี่กระบี่บิน

หยวนหลินได้ยินเสียงดัง ‘ฟิ้ว’ เขาหันมามองเล็กน้อย ก่อนจะพบเรื่องน่าตื่นกลัว เด็กหนุ่มปิดผ้าดำมาปรากฏตรงหน้าตนอย่างไม่มีสัญญาณใดๆ เช่นนี้

หนิงอี้ควงรูปปั้นเคียงกระบี่ ฟาดลงมาด้วยแรงพันชั่ง และยังไม่เสียดายใช้ท่วงทำนองของ ‘กระบี่ฟาด’ รูปปั้นหินเคียงกระบี่ ท่าทางเร่าร้อนฮึกเหิมเม้มปากอมยิ้มดูปั่นป่วนเล็กน้อยในพายุคลั่ง หากเคียงกระบี่มีจิตวิญญาณ คงคาดไม่ถึงว่าตนจะถูกคนเหวี่ยงฟาดเป็นอาวุธ

เสียงดังสนั่น ดัง ‘ปัง’

ไม่มีแม้แต่เสียงร้อง คุณชายพิรุณที่ขี่กระบี่ก็กลายเป็นว่าวเชือกขาด ยิ่งลอยไปไกลเท่าไรก็ยิ่งกระแทกรุนแรงเท่านั้น กลางฟ้าวังเวงยามราตรียังมีไข่มุกโลหิตลอยออกมาเป็นสาวยาว

ทำทุกอย่างเสร็จ หนิงอี้ไม่มีท่าทีคิดจะหยุดเลยแม้แต่นิด

ตัวยังอยู่กลางอากาศ มีแนวโน้มจะตกลงเล็กน้อย เด็กหนุ่มที่เหวี่ยงรูปปั้นเคียงกระบี่ สองมือกดรูปปั้นเคียงกระบี่ กดลงเล็กน้อย วางรูปปั้นนั้นไว้ใต้ร่าง ยืมแสงดาราที่พรั่งพรูออกมาหันเหทิศทาง ก่อนจะพุ่งออกไปอีกครั้ง…

หนิงอี้อยู่กลางอากาศ ใช้พลังที่พุ่งลงมาข้างล่าง ตรงไปหาคุณชายน้อยคนที่สองของจวนขานฟ้า

แสงดาราถูกดึงออกกลางฝ่ามือเหมือนใยแมงมุมเหนียวหนึบ รูปปั้นหินหนักนั้นถูกแรงดีดกระเทือนไปข้างหลัง หนิงอี้ประกบสองมือกำเป็นหมัด เหวี่ยงผ่านอากาศด้วยแรงมหาศาล เชือกยาวแสงดาราระหว่างรูปปั้นเหมือนดึงศรดึงตึง ลากเป็นเส้นโค้งที่กลมอย่างยิ่ง

พลันดึงเข้ามา

เกิดเสียงปังครั้งที่สอง คุณชายน้อยจวนขานฟ้าที่มีกายและจิตไม่แกร่งคนที่สองถูกรูปปั้นเคียงกระบี่ที่ปรากฏตรงหน้าอย่างกะทันหันฟาดกระเด็นออกไป

หนิงอี้กอดรูปปั้นหิน พลันตกลงกลางบ่อน้ำพุตามังกร ม่านน้ำระเบิดกระจายกว้าง คลื่นน้ำถาโถม หลังกระจายออกช้าๆ ก็เผยเป็นร่างเงาไม่สูงใหญ่

เด็กหนุ่มที่สองมือกอดบ่ารูปปั้นเคียงกระบี่เหยียบบนผิวน้ำ แสงดาราแนบใต้เท้า เส้นผมดำกับชุดคลุมดำเปียกชุ่มน้ำ ผ้าดำปิดใบหน้าไปมากกว่าครึ่ง เผยเพียงดวงตา

หนิงอี้มีแววตาเย็นชา

เปลี่ยนจากโจมตีเป็นตั้งรับ

คุณชายน้อยจวนขานฟ้าสองคนที่ถือกระบี่เข้ามา เริ่มเร่งความเร็วจากระยะห่างสิบจั้ง เงากระบี่เต็มฟ้าซ้ายขวา เริ่มรวมกัน สุดท้ายเป็นหนึ่ง!

สองร่างเงาดุจพายุและสายฟ้า หินครามใต้เท้าระเบิด เหยียบบนน้ำพุ ก่อคลื่นยักษ์ขึ้นสองลูก แทบจะแทงใส่หนิงอี้จากซ้ายและขวาพร้อมกัน

หนิงอี้ไม่หลบ

พินิจเหมันต์ผ้าดำที่ผูกไว้ตรงเอวไม่เคยออกจากฝักเช่นกัน

หนิงอี้ยกสองมือขึ้น เจตจำนงกระบี่พุ่งจากฝ่ามือ กระบี่ยาวสองเล่มกดกับฝ่ามือ ปลายกระบี่ยิงปราณกระบี่ยิ่งใหญ่ออกมา หนิงอี้ร้องทีหนึ่ง เข่างอเล็กน้อย แสงดาราขอบเขตที่เจ็ดหลั่งทะลัก ทำให้เขาเจ็บปวดนิดๆ เพียงแต่ว่าปราณกระบี่พวกนี้…

ก็แค่ไก่ดินสุนัขกระเบื้องเท่านั้น!

กระบี่ยาวสองเล่มงอเป็นเส้นโค้งน่าเหลือเชื่อ หนิงอี้ที่ยกสองแขนขึ้น พายุสายฟ้าในแขนเสื้อสั่นไหว ยันต์สีฟ้าใสลอยขึ้นมาทีละแผ่น ดวงตาแสงดารามหึมาข้างหลังพลันลืมตาขึ้น

หนิงอี้พลันกำฝ่ามือ บีบกระบี่ยาวสองเล่มแตกกระจาย

“นักกระบี่รึ!” คุณชายน้อยคนหนึ่งสัมผัสได้ถึงท่วงทำนองที่พรั่งพรูเข้ามาจากกระบี่ตน เสียงกลายเป็นไม่กล้าเชื่อ

คุณชายน้อยสองคนหน้าซีดขาว เตรียมจะลอยถอยไป หนิงอี้ออกแรงดูดที่ฝ่ามือ คว้าคอเสื้อสองคนไว้ กระชากสองร่างเงาด้วยพลังป่าเถื่อนยิ่ง เอาหัวสองคนโขกใส่กัน

โลกเงียบสงบลง

หนิงอี้พ่นลมหายใจขุ่นเบาๆ

เขายกสองแขนขึ้น จับคุณชายน้อยจวนขานฟ้าที่หมดสติสองคนยกขึ้นช้าๆ จากนั้นเดินไปข้างหน้า

คลื่นน้ำกระเพื่อม ละอองน้ำกระจาย

ในเงามืดไกลออกไป

คุณชายใหญ่อาภรณ์ครามที่เอาสองแขนเสื้อมาสอดกัน ใต้เท้าวางตะเกียงอันหนึ่ง มาถึงที่นี่เป็นคนแรก ตั้งแต่แรกก็ไม่เคยขยับเลยสักก้าว

หนิงอี้เหวี่ยงสองคุณชายน้อยออกไป

คุณชายครามไม่รับและไม่มอง ปล่อยให้พวกเขากระแทกกับผนังหินจวนสองด้านซ้ายขวาข้างตน

ก็ยังคงอยู่ในท่าทางสอดแขนเสื้อเอามือไพล่หลังอยู่สูงส่ง

คุณชายครามพูดด้วยใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ “หนิงอี้ มาก็มาแล้ว ไฉนจะต้องปิดตัวตน”

หนิงอี้ที่ปิดผ้าดำยืนกลางละอองน้ำ

เขาจับกระบี่ยาวผ้าดำตรงเอวแน่น หัวเราะเบาๆ “เจ้าจำคนผิดแล้ว…ข้าไม่ใช่อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานที่ยโสโอหังอวดดีและสง่างามคนนั้น”

…………………………