ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 65 ให้ข้ายืมหนึ่งกระบี่ (rewrite)

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 65 ให้ข้ายืมหนึ่งกระบี่ (rewrite)

ผนังหินจวนที่กั้นระหว่างด้านหยินและหยางถล่มลง

ฝุ่นควันลอยขึ้นช้าๆ

ยืนอยู่ในฝุ่นควัน ตะเกียงใต้เท้ายังส่องบุรุษอาภรณ์ครามในแสงเรืองรองอ่อนๆ เอ่ยเสียงเบาและนุ่มนวล “ยอดค่ายกลสำนักศึกษาทำงานแล้ว เรื่องใหญ่แล้ว เจ้าคิดว่าจะหนีรอดรึ”

หนิงอี้ยืนอยู่ริมบ่อ เขาจับด้ามกระบี่พินิจเหมันต์ น้ำวนความเป็นเทพในตันเถียนกำลังมีกลิ่นอายพลังเพิ่มขึ้นไม่หยุด ลองดึงความเป็นเทพออกมาเล็กน้อย

กระบี่นั้นบนถนนนิมิตชาด หนิงอี้ดึงความเป็นเทพมาเต็มที่ห้าหยด ทว่าตอนนี้ หากจะสู้กับคุณชายครามในสภาพเต็มร้อยตัวต่อตัว ห้าหยดความเป็นเทพ…เห็นได้ชัดว่าไม่เพียงพอ

ผลึกความเป็นเทพของราชาหัวใจราชสีห์นั้น ถูกที่ราบกระดูกกัดกินไปช้าๆ ลองแทะดูแม้จะมีเศษเพียงนิดเดียว

“พลังบำเพ็ญแสงดาราของเจ้าไม่สูง…ตอนถนนนิมิตชาด ข้าถูกเจ้าหลอกจริงๆ”

คุณชายครามที่เอาสองมือสอดในแขนเสื้อกันเอ่ยราบเรียบ “สังหารพญายมน้อยได้ ก่อนหน้านี้คนข้างนอกประเมินเจ้าต่ำไปหน่อย เจ้าน่าจะมีกลอุบายก้นหีบอยู่บ้าง”

หนิงอี้จับพินิจเหมันต์ก่อนคลายมือออกอีกครั้ง ฝ่ามือมีเหงื่อซึมออกมาเยอะมาก จากนั้นจับไว้แน่นอีก

เขาจ้องคุณชายครามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม คุณชายใหญ่จวนภูเขาครามที่พิงประตูคนนั้นดูเหมือนเกียจคร้าน แต่ความจริงเกร็งไปทั้งตัว เหมือนลูกธนูที่พร้อมจะพุ่งไปทุกเมื่อ

การพูดคุยของเขา เพราะไม่อยากเผยศักยภาพของตน อีกไม่นานยอดผู้บำเพ็ญจวนขานฟ้าจะมาถึงแล้ว

“ข้างนอกลือกันว่าเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญวิถีกระบี่คนนั้นที่บุกมาจวนภูเขาครามครั้งก่อน…” คุณชายครามยิ้ม “แต่เจ้าไม่เหมือนเขา เจ้าไม่ได้สร้างแรงกดดันเช่นนั้นให้ข้า นี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ในเมืองหลวงมีสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวมากอยู่ แต่สัตว์ประหลาดนั้นไม่ใช่เจ้า”

บุรุษที่พิงประตูพลันยืนตัวตรง ไม่ได้อยู่ในท่าทางเกียจคร้านแบบนั้นอีก สองมือที่สอดในแขนเสื้อลดลงช้าๆ ภายใต้พลังควบคุมมหาศาล ปราณสังหารน่าเกรงขามและนุ่มนวลหมุนม้วนฝุ่นดินบนพื้นขึ้น

“เดิมทีข้าคิดว่าการพบกันครั้งนี้ต้องเตรียมการไว้หลายอย่าง ตอนนี้ดูแล้ว…คงจะไม่ต้อง”

เมื่อเอ่ยจบ หนิงอี้หรี่ตาลง

ตะเกียงใต้เท้าบุรุษชุดคลุมครามพลันระเบิด เปลวเพลิงสีครามสาดกระจาย อาภรณ์ครามพองขึ้น เปลวเพลิงสีครามนี้ลอยขึ้นสูง เหมือนถูกลูกธนูทะลวงผ่าน พุ่งเข้ามาอย่างฉับพลัน…

หนิงอี้ยกสองแขนขึ้นมากันตรงหน้า เปลวเพลิงนั้นระเบิดห่างจากตรงหน้าเขาสามฉื่อ

ตาน้ำพุข้างหลังระเบิดเป็นเสาสายน้ำเชื่อมฟ้าหลายสาย!

หนิงอี้ไม่อำพรางกลิ่นอายพลังอีก ร่างอิทธิฤทธิ์ยักษ์ดาราพลันลอยขึ้นมา เก่าแก่และลึกล้ำ เงยหน้าขึ้นคำรามเสียงดัง แขนที่รวมจากแสงดาราสองข้างพากันลอยขึ้นมา ก่อนประกบฝ่ามือ ขวางไว้ตรงหน้าหนิงอี้

ขี้เถ้าที่เผาไหม้บนชุดคลุมดำถูกสายลมพัดสลายไป ละอองน้ำถาโถมเข้ามา หนิงอี้ยืนข้างน้ำพุ ประตูที่คุณชายครามพิงก่อนหน้านี้ว่างเปล่า ไม่เห็นเงาคนเลย

เสียงทะลวงอากาศพลันดังมาข้างหู

หนิงอี้พลันโค้งตัวลง ดวงตาเบิกโต หมัดหนึ่งชกใส่หน้าอกเขาอย่างไม่มีสีสันฉูดฉาดใดๆ คุณชายครามเข้าประชิดตัว หมัดหนึ่งงัดจากล่างขึ้นบนด้วยแรงมังกรคชสารหมื่นชั่ง ร่างอิทธิฤทธิ์ยักษ์แสงดาราถูกหมัดนี้ชกแตกกระจาย สิ่งที่เห็นเป็นหัวเข่าที่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว

หนิงอี้เอาสองมือจับพินิจเหมันต์กันไว้ตรงหน้า ใช้ตัวกระบี่กันหัวเข่านี้ไว้ แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ยังเวียนศีรษะเกือบกระอักเลือด รู้สึกเจ็บปวดทะลวงหัวใจตรงหน้าอก กระเด็นถอยไปข้างหลัง ยากจะจินตนาการได้ว่าคุณชายใหญ่จวนขานฟ้าคนนี้ฝึกกายและจิตถึงระดับใด

ปกติผู้บำเพ็ญสำนักศึกษาจะเลี่ยงสู้ระยะประชิด ฝึกปราณกระบี่อย่างเดียว ใช้แสงดาราสู้กับคนอื่น

คุณชายครามคนนี้ไม่เดินตามเส้นปกติ ดูเหมือนเปราะบาง แต่กายจิตกลับเหมือนมังกรเหมือนคชสาร แกร่งกว่าหนิงอี้!

หนิงอี้หมุนตัวกลางอากาศหลายรอบ กระแทกลงกลางน้ำอย่างแรง เกิดคลื่นลมวงกว้างเสียงดังสนั่น เขาเอามือข้างหนึ่งปักกระบี่ อีกมือเช็ดคราบเลือดตรงมุมปาก จ้องบุรุษอาภรณ์ครามที่ยืนเพียงลำพังไกลๆ ตอนนี้ถึงเพิ่งดึงหัวเข่าจู่โจมนั้นกลับมาช้าๆ ด้วยใบหน้ามืดทะมึน

คุณชายครามโยนผ้าดำปิดหน้าที่เพิ่งดึงมาออกไปโดยไม่ใส่ใจ ใบหน้าอ่อนโยน ไม่อบอุ่นไม่ร้อน สองมือกดใส่กัน เกิดเสียงกระดูกดังกรุบกรอบทั้งตัว เหมือนเสียงถั่วระเบิด

เขามองเด็กหนุ่มชุดคลุมดำหน้าซีดขาว ยิ้มเย้าหยอก “หนิงอี้…วิชาก้นหีบนั้นของเจ้าล่ะ กระบี่นั้นบนถนนนิมิตชาดล่ะ แสดงให้ดูหน่อย”

หนิงอี้ปักกระบี่ยืนขึ้น เขามีสีหน้าปั้นยาก ที่ราบกระดูกลองกัดกินผลึกความเป็นเทพราชาหัวใจราชสีห์หลายครั้ง ก็ยังไม่สำเร็จ

เขามองไปรอบๆ หมอกหมุนตลบ ข้างกายตนไม่ไกลเป็นรูปปั้นเคียงกระบี่ยักษ์นั้น

หนิงอี้หรี่ตาลง

เขาปลุกใจขึ้น หยดน้ำความเป็นเทพในน้ำวนตันเถียนไหลอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง ดึงออกมาวนเวียน ถูกบีบอัดในแกนกระบี่พินิจเหมันต์…

หนิงอี้ยกแขนขึ้น ถือพินิจเหมันต์ ผ้าดำพันตัวกระบี่

ท่าทางนี้เหมือนตอนถนนนิมิตชาดทุกประการ

คุณชายครามพิจารณามองหนิงอี้ที่ถือกระบี่ด้วยความสนใจ เขารู้ว่าเด็กหนุ่มชุดคลุมดำที่ยืนถือกระบี่คนนี้ แค่ขู่ให้กลัวเท่านั้น มีแสงดาราเพียงขอบเขตที่หก

แต่หนิงอี้กับตัวเองตอนถนนนิมิตชาดต่างกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว

เจตจำนงกระบี่ที่ตระหนักในตรอกฝนพรำ ถูกกดใส่ปลายกระบี่ช้าๆ

คุณชายครามยังคงมีสีหน้าเย้าหยอก

เขากำลังรอหนิงอี้ออกกระบี่

กระทั่งระยะห่างระหว่างสองคนยังพอๆ กับกระบี่นั้นบนถนนนิมิตชาด

ผู้บำเพ็ญอัจฉริยะ ฝึกฝนแสงดาราฝึกปราณกระบี่ ฝึกกายจิต ไม่ว่าวิถีใดล้วนฝึกจิตมรรคของตน

หากจิตมรรคไม่มั่นคง เช่นนั้นมีพรสวรรค์สูงกว่านี้ก็ไม่ประสบความสำเร็จสักอย่าง

กระบี่นั้นบนถนนนิมิตชาด ในจิตมรรคที่เดิมทีสมบูรณ์แบบไร้ที่ติของคุณชายครามมีร่องรอยเพิ่มมา

กระบี่นั้นของจวนภูเขาคราม ทำให้จิตมรรคของเขาเกือบแตก

หากแขกคนนั้นของจวนภูเขาครามเป็นหนิงอี้จริงๆ…อีกทั้งคุณชายครามได้พิสูจน์ความจริงนี้ด้วยตนเอง เช่นนั้นเส้นทางการบำเพ็ญของเขาจะปกคลุมด้วยเงามืดทึบยิ่ง อีกทั้งยิ่งเดินจะยิ่งแคบ

‘มาเถอะ…’ คุณชายครามพูดเงียบๆ ในใจ

หนิงอี้จับกระบี่

ผ้าดำระเบิดออก

กระบี่นี้เหมือนกับกระบี่นั้นบนถนนนิมิตชาด

การประชันกันของยอดอัจฉริยะเขาศักดิ์สิทธิ์สองคน แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือหนิงอี้แค่ดึงความเป็นเทพมาหนึ่งหยด ส่วนใหญ่ที่ใส่เข้าไปจะเป็นเจตจำนงกระบี่ของนักกระบี่!

คุณชายครามยกสองมือขึ้น ไม่ได้กันไว้ตรงหน้าเพื่อป้องกัน แต่ยกฝ่ามือขึ้น ใช้กายจิตของฝ่ามือต้านปราณกระบี่ที่ไม่อาจต้านได้นี้!

พลันระเบิดกระจาย…

หนิงอี้เท้าซวนเซ ถูกแรงสะท้อนกลับรุนแรงกระแทก ถอยกรูดออกไป เกือบจะยืนไม่อยู่ ปักพินิจเหมันต์ลงบนผิวน้ำอย่างแรง ทั้งตัวไถลไปเป็นรอยยาว

บ่อน้ำพุตามังกรที่ปูกระเบื้องหยกไว้ลึกยิ่งระเบิดภายใต้ปราณกระบี่นี้ ลอยขึ้นมาทั้งหมด กระเบื้องแตก เหมือนมังกรชราคำรามเสียงดัง ท่ามกลางหมอกน้ำกระจาย หนิงอี้จ้องร่างเงาเลือนรางที่ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นทีละนิดไกลๆ

“หนิงอี้…เจ้า…”

เสียงเชื่องช้า

บุรุษชุดคลุมครามที่ยกสองมือ เพ่งมองฝ่ามือดั่งหยก มองเศษปราณกระบี่ยังที่เต้นอยู่ในฝ่ามือก่อนจะกุมมือช้าๆ ดับปราณกระบี่ทั้งหมด พูดพึมพำ “ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”

หนิงอี้มองชุดคลุมครามนั้น ใบหน้าขาวซีดเล็กน้อย

“ผู้บำเพ็ญในสี่สำนักศึกษาล้วนไม่ฝึกกายจิต ข้าอยู่จวนภูเขาครามไม่เคยออกไป และยิ่งไม่อยากประมือกับใคร เพราะไม่อยากเผยพลังบำเพ็ญของข้าเอง”

สายฟ้าสีครามในตัวคุณชายครามระเบิดดังเปรี๊ยะๆ พลังที่เดิมทีพุ่งขึ้นค่อยๆ ลดลง

“จงหลี กู้ชาง อ้อยอิ่ง ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ข้ายอมรับมาตลอด” เสียงคุณชายครามมีความเฉยชาเสี้ยวหนึ่ง “มังกรจู๋หลงน้อยแห่งแดนอุดรเคยบอกว่าหากไม่ฝึกกายจิต ก็จะมีช่องโหว่เสมอ มีช่องโหว่เพียงนิดเดียวก็มีความเป็นไปได้ที่จะตกต่ำลง…ข้าจะตามรอยลั่วฉางเซิง จะครองอันดับหนึ่งในงานราชวงศ์ใหญ่ จะให้มีสิ่งที่ไม่ชำนาญไม่ได้แม้แต่นิด

วันนั้น เดิมทีข้าคิดว่าเจตจำนงกระบี่ของเจ้าคงไม่เท่าไร…เพื่อไม่เผยศักยภาพ ข้าไม่เคยใช้วิชาใดเลย แสงดารากับกายจิต ข้าไม่เคยใช้เลยเช่นกัน ถึงได้มีศึกนั้นที่เจ้ามีชื่อเสียง กระบี่ที่ทำให้ข้าถอยไปสามสิบจั้งบนถนนนิมิตชาด” คุณชายครามหัวเราะ “ตอนนี้เจ้าดูสิ…เจตจำนงกระบี่ของเจ้า เป็นอย่างไร”

หนิงอี้หน้าขาวซีดเล็กน้อย

พลังบำเพ็ญของคุณชายคราม เกรงว่าคงสูงกว่า ‘บุตรศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ทั่วแปดทิศ’ ที่ท่านพันกรบอกขั้นหนึ่ง ให้กำเนิดและดับปราณกระบี่ขอบเขตที่เจ็ดของตน ไม่บาดเจ็บใดๆ เลย

เขามีคุณสมบัติพูดเช่นนี้จริงๆ

“จะถึงเวลาแล้ว…อาจารย์อาน่าจะใกล้มาถึงแล้ว”

คุณชายครามเลิกคิ้วขึ้น เขามองเด็กหนุ่มทางนั้นของหมอกน้ำ พลางหัวเราะเสียงเบา “หนิงอี้ ก่อนฆ่าเจ้า ข้าจะทำลายจิตมรรคของเจ้า…ให้เจ้าได้สัมผัสความเจ็บปวดของจิตมรรคแตก”

คุณชายครามขมวดคิ้ว

เงาเด็กหนุ่มอีกด้านของหมอกน้ำยกกระบี่ขึ้นอีกครั้งช้าๆ

เสียงแหบแห้งดังมาถึงหูคุณชายคราม

“ข้ายังมีอีกกระบี่…เจ้ากล้ารับหรือไม่”

คุณชายครามหรี่ตาลงเล็กน้อย เสียงเตือนโดยสัญชาตญาณดังขึ้น ขนลุกขึ้นมา

เขาจับจ้องร่างเงานั้นเขม็ง

ทางด้านนั้นของหมอก…

หนิงอี้ถือกระบี่ด้วยสองมือ คลื่นน้ำใต้เท้าใสสะอาด พริบตาเดียวเกิดคลื่นกระเพื่อมขึ้นมากมาย กระแทกใส่กัน

เขามีสีหน้าแน่วแน่ หลับตาลงช้าๆ สัมผัสภายในกายของตน

ภายในน้ำวนตันเถียน ที่ราบกระดูกกัดกินผลึกความเป็นเทพของราชาหัวใจราชสีห์ก้อนเล็กสำเร็จ

ภายในความคิดหนิงอี้ปรากฏเป็นทุ่งหญ้าวังเวงนั้น

เขาพูดงึมงำ “ผู้อาวุโส ให้ข้ายืมกระบี่หนึ่งได้หรือไม่”

หยดน้ำที่ถูกปราณกระบี่ฟันสาดกระจายในบ่อก่อนหน้านี้ตกลงมาช้าๆ ลงบนบ่าหนิงอี้

คมกระบี่สีขาวของพินิจเหมันต์ฟันหยดน้ำทุกหยดขาดเป็นสองส่วน

…..

ในสุสานราชาหัวใจราชสีห์ เศษหญ้าปลิวไสว

บุรุษรูปร่างไม่สูงใหญ่ที่หลับใหลนิรันดร์ในสุสานคนนั้น หน้ากากหัวใจราชสีห์ครึ่งหน้า รอยยิ้มอ่อนโยน มือซ้ายกดดาบมือขวากดกระบี่ เหมือนจะลุกขึ้นนั่งจากโลงศพได้ตลอดเวลา

ที่นี่เงียบสงัดมาพันปี

เสียงเบาของเด็กหนุ่มผ่านไปบนทุ่งหญ้าแห่งนี้

“ผู้อาวุโส…ให้ข้ายืมหนึ่งกระบี่ได้หรือไม่”

พายุฝนก่อตัว ร้อยหญ้าเงยหน้าขึ้น

เสียงบริสุทธิ์และทุ้มต่ำดังขึ้นช้าๆ ภายในโลงไม้

“ได้”

…………………………