ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 66 พายุถาโถม

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 66 พายุถาโถม

ภายในน้ำวนตันเถียน

ผลึกความเป็นเทพที่ถูกที่ราบกระดูกกัดกินอย่างระมัดระวังก้อนนั้นพลันหลุดลอก เหมือนพายุคลั่งถาโถมทุ่งหญ้า โอบกอดเศษหญ้ามากมายและกระจายออก…

หยดความเป็นเทพร้อยหยดอัดแน่นในตันเถียนของหนิงอี้ กระทั่งยังมีแนวโน้มจะขยายใหญ่

ผลึกความเป็นเทพก้อนเล็กของราชาหัวใจราชสีห์กลับซ่อนพลังน่ากลัวขนาดนี้เชียว

หนิงอี้ร้องด้วยความเจ็บปวด สองมือจับด้ามกระบี่แน่น ส่งความเป็นเทพไปยังคมกระบี่พินิจเหมันต์ของตน หยดความเป็นเทพในตันเถียนหนิงอี้มีจำนวนมาก ทางเข้าออกที่ราบกระดูกกลับหดตัวถึงขีดสุด แต่ละหยดส่งไปรวดเร็วยิ่ง เพียงไม่กี่ลมหายใจ ตัวหนิงอี้เหมือนถูกหยดความเป็นเทพดันระเบิด ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจความเจ็บปวดของเด็กสาวคนนั้นที่อารามรู้กรรม

พลังกระบี่ยิ่งแสดงก็ยิ่งทรงพลัง บ่อน้ำใต้เท้าเหมือนมหาสมุทรเกิดคลื่นลูกใหญ่ ม่านน้ำปราณกระบี่ยักษ์พุ่งขึ้นจากพื้นราบ หนิงอี้ยืนอยู่บนม่านน้ำสูง หลับตาปิดสนิท ใบหน้าเหยเกย

พายุถาโถมใส่เรือโดดเดี่ยว

เขาสัมผัสได้ว่าร่างเงาสวมอาภรณ์ครามนั้นพยายามจะคว้า จากนั้นฟันลงหนึ่งกระบี่!

คุณชายครามหน้าซีดขาวขึ้นเรื่อยๆ มองคลื่นปราณกระบี่โถมขึ้นสูงใหญ่และไม่อาจต้านนั้น ยิ่งไหลหลากก็ยิ่งใหญ่ขึ้นตรงหน้าตน ยิ่งไหลหลากก็ยิ่งสูง สร้างความเจ็บปวดให้กับตนแทบจะหายใจไม่ออก เขาจึงเริ่มหมุนตัวกลับพุ่งทะยานไปอย่างไม่ลังเล

ล้อเล่นอะไรกัน?!

ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญขอบเขตที่สิบสูงสุดก็ไม่มีทางต้านคมกระบี่นี้ไหว!

ม่านน้ำสูงเทียมฟ้าพุ่งออกไปตามกระบี่

คุณชายครามไม่มีทางเร็วกว่าปราณกระบี่ เขาหมุนตัวกลับมาจะป้องกัน สองมือกันตรงหน้า กายจิตและแสงดาราแผ่ออกมาทั้งหมด ยืนอยู่ที่เดิม เพียงสัมผัสวินาทีเดียว แสงดาราคุณชายครามก็ถูกปราณกระบี่สูงเทียมฟ้าทะลวง กระทั่งเขายังได้ยินเสียงกระดูกตนแตกหัก

จิตมรรคที่เดิมทีมีเค้าลางมั่นคงถูกกระบี่นี้ทำลายลงสิ้น

“เป็นไปได้อย่างไร! มันเอากระบี่นี้มาจากที่ใด?!”

สติเกือบจะพร่าเลือนแล้ว

คุณชายครามกัดฟันแน่น ใบหน้าปกคลุมด้วยสีน้ำค้างน่าเวทนา ข้อมืองอบิดผิดรูป เหมือนเรือเล็กที่ถูกคลื่นลมคลั่งโถมใส่ โคลงเคลงจะคว่ำลง

ในช่วงที่จะยืนหยัดไม่ไหวจะเป็นบ้านั้น…

มีคนตบบ่าเขา ก่อนอาภรณ์แดงจะชักกระบี่ก้าวออกไป ใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ ฟันกระบี่ออกไป

ม่านน้ำสูงเท่าฟ้าพลันสลายลง

กลายเป็นพื้นราบ

ปราณกระบี่นั้นทำลายม่านน้ำ ยังคงไม่หยุด พุ่งเข้าใส่กระบี่ที่ใช้พลังทั้งหมดแล้วก็เป็นหนิงอี้ที่อ่อนแรง

ตรงหน้าหนิงอี้ปรากฏร่างเงาหนึ่งขึ้นเช่นกัน

หญิงสวมงอบใช้มือข้างหนึ่งกดงอบ อีกมือยกขึ้น นิ้วชี้กับนิ้วกลางติดกัน สองนิ้วมือวาดจากบนลงล่างเบาๆ ผ่านฟ้าดิน เส้นยาวสีดำกับเส้นยาวปราณกระบี่ของเจ้าจวนขานฟ้าปะทะกัน คลื่นลมสองลูกระเบิด จวนภูเขาครามสองด้านหยินหยางถูกปราณกระบี่โหมซัดสาดพังทลายลง

หนิงอี้หน้าขาวซีด เขาไม่มีกำลังยืนแล้ว โซเซจะล้มลง กำลังทั้งหมดใช้ถือกระบี่ จนถึงตอนนี้ พินิจเหมันต์ยังอยู่ในมือเขา

ร่างเงาหญิงสวมงอบคนที่สองมาช้ากว่าคนนั้นที่ต้านกระบี่ก่อนหน้านี้เล็กน้อย ปรากฏข้างกายหนิงอี้ ประคองเขา ไม่ให้เขาล้ม ก่อนจะผ่อนลมหายใจเบา

“การต่อสู้ระหว่างรุ่นเยาว์ ตัดสินแพ้ชนะแล้ว” สุ่ยเยวี่ยประคองหนิงอี้ มองเจ้าจวนขานฟ้าในอาภรณ์แดงที่ออกกระบี่นั้นแล้วยังมีใบหน้าเฉยชา ก่อนพูดเย้ยเยาะ “เจ้าจวนขานฟ้า…คิดว่าฆ่าหนิงอี้แล้ว จะเติมเต็มความเสียหายจิตมรรคของศิษย์ที่ตนภูมิใจได้รึ”

ตอนเอ่ยคำพูดนี้ สุ่ยเยวี่ยจงใจเน้นหนักคำว่า ‘ศิษย์ที่ภูมิใจ’ เล็กน้อย

คุณชายครามหน้าซีดขาว ไม่มีเลือดฝาด พูดงึมงำ “อาจารย์…ข้า…”

เจ้าจวนขานฟ้าตบบ่าเขา มองไปรอบๆ จวนภูเขาครามพังทลายเป็นไม่ชิ้นดี บ่อน้ำพุตามังกรที่สำคัญที่สุดยังถูกคนทำลายตาค่ายกล ไม่อาจรวมดวงชะตาได้อีก

“ยอดค่ายกลจวนขานฟ้าทำงาน ต่อให้เป็นข้าก็ฉีกมิติมาไม่ได้” เจ้าจวนขานฟ้าพูดอย่างเย็นชาด้วยใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ “สุสานเกิดการเปลี่ยนแปลง นี่เป็นเรื่องใหญ่ พวกเจ้าสองคนขวางทาง ไม่อย่างนั้นจะเกิดเรื่องน่าเศร้าเช่นนี้ได้รึ”

เมื่อเอ่ยจบ ก็ปรากฏหลายร่างเงาขึ้นในจวนภูเขาคราม เจ้าสำนักศึกษาตะวันสูงกับสำนักศึกษาขุนเขาสองคนอยู่ในอาภรณ์ไม่เรียบร้อย สีหน้าปั้นยาก เหมือนผ่านการต่อสู้ที่ไม่เล็กไม่ใหญ่มา

ก่อนหน้านี้ระหว่างทาง หญิงสองคนนี้ เดิมทีมาด้วยกัน ตอนจะถึงจวนภูเขาคราม

จู่ๆ เจ้าสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวซูมู่เจอลงมือกับพวกเขาสามคน จะขวางเจ้าสำนักสามคนนี้ไม่ให้มาถึงโดยเร็ว

จำได้ว่าปราณกระบี่ที่พุ่งขึ้นฟ้าพวกนั้นมาจากแดนเทวาบำเพ็ญของบรรพจารย์เคียงกระบี่ของตน อีกทั้งสุ่ยเยวี่ยที่สืบทอดสายเลือดเคียงกระบี่ในสำนักยังสัมผัสได้มากกว่า ตอนนั้นได้ใช้จิตสื่อสารบอกซูมู่เจอว่าต้องขวางสามคนอีกสามสำนักศึกษาไว้ การเปลี่ยนแปลงก้นสุสาน มีโอกาสสูงมากที่จะเกี่ยวกับความลับที่ไม่เคยกระจ่างมาตลอดพันปีของถ้ำกวางขาว

เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ

สุ่ยเยวี่ยพบรูปปั้นดินเหนียวที่อยู่ห่างจากตนไม่ไกล

ปราณกระบี่ที่พุ่งขึ้นฟ้าแทบจะสร้างความตกใจให้กับยอดผู้บำเพ็ญในสี่สำนักศึกษา ตอนนี้แต่ละคนปรากฏตัวภายในจวนภูเขาคราม อีกทั้งยังแบ่งเป็นสองฝ่ายลับๆ

สำนักศึกษาตะวันสูงกับสำนักศึกษาขุนเขา กองกำลังของสองสำนักศึกษายืนหลังจวนขานฟ้า ผู้บำเพ็ญดาราชะตาทยอยกันมาทีละคน

ราชันดาราอี๋อู๋แห่งจวนขานฟ้าถูกลงโทษหลังตรอกฝนพรำ ปิดด่านบำเพ็ญห่างจากจวนภูเขาครามไม่ไกล เป็นผู้บำเพ็ญราชันดาราคนที่สองที่มาถึงของจวนขานฟ้า

เขามาจวนภูเขาคราม มีสีหน้าจริงจัง มองคุณชายน้อยที่ล้มอยู่ในสำนัก ตามตัวมีรอยช้ำบวมแดง ถูกทุบตีอย่างน่าอนาถ ก่อนจะมองคุณชายครามที่มีสภาพน่าเวทนาเช่นกัน…ก็เข้าใจอยู่แล้ว

ราชันดาราอี๋อู๋จ้องหนิงอี้ด้วยสายตาเย็นชา

ตรงหน้าหนิงอี้มีเพียงซูมู่เจอแห่งสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวคนเดียว ราชันดาราหญิงคนนี้ลึกลับ พลังบำเพ็ญไม่ธรรมดา ไม่มีใครรู้ว่าสายเลือดนี้มีรากฐานลึกเพียงใด ระดับของการแต่งตั้งฉายาก็ไม่ต่ำ กล้าขวางหน้าหนิงอี้คนเดียว เผชิญหน้ากับราชันดาราสี่คน เห็นได้ชัดว่าเป็นยอดฝีมือเช่นกัน

พลังบำเพ็ญของสุ่ยเยวี่ยเทียบกับ ‘เทพวิถีกระบี่’ สามคนนั้นในรุ่นเดียวกันตอนนั้นไม่ได้ นางยังห่างจากขอบเขตราชันดาราอีกเล็กน้อย ตอนนี้สีหน้าใช่ว่าไม่เคยสั่นคลอน แต่เหยียดหลังตรง กวาดสายตามองทุกคนด้วยใบหน้าเฉยชา

กองกำลังสองฝ่ายต่างยืนนิ่งคุมเชิงกัน

หนิงอี้เช็ดมุมปากจ้องทุกคนที่มารวมกันของสามสำนักศึกษา ใจนึกสี่สำนักศึกษาภายนอกดูกลมเกลียว แต่ใต้ดินได้ก่อตัวพายุไว้นานแล้ว

“สุสานสำนักศึกษาเกิดเรื่อง มีคนบุกสุสาน…ทำให้ข้าตื่นจากการบำเพ็ญ”

เสียงนุ่มนวลทำลายการคุมเชิงเงียบสงัด

“บุกสุสานสำนักศึกษาโดยพลการ หากถูกจับได้…” ราชันดาราอี๋อู๋สวมอาภรณ์ขาว เขาชำเลืองตามองทุกคนอย่างเกียจคร้าน สุดท้ายมองหญิงชุดคลุมดำที่กดงอบนั้นตรงหน้าหนิงอี้ ก่อนถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านซูมู่เจอ ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่านี่เป็นโทษสังหารเก้าชั่วโคตร”

“ซูมู่เจอ!” ราชันดาราสองคนจากสำนักศึกษาตะวันสูงกับขุนเขาหน้าเขียวปัด พูดเสียงต่ำ “เราต่างเป็นราชันดารา เป็นเจ้าสำนักศึกษา วันนี้ต้องฉีกหน้ากันเพื่อปกป้องคนนอกรึ”

ซูมู่เจอไม่พูดไม่กล่าว คิ้วใต้งอบขมวดขึ้น

เจ้าจวนขานฟ้าเงียบอยู่ชั่วครู่

เขาถือกระบี่ยาวเอ่ยนิ่งๆ “ทำความผิดใต้เท้าบุตรสวรรค์ บุกจวนภูเขาคราม ทำร้ายศิษย์ในจวนข้า หยิบยกสองอย่างนี้ เห็นแก่หน้าท่านนั้นของเขาสู่ซาน ข้าไว้ชีวิตเจ้าได้”

เขาเงียบไปก่อนจะพูดอย่างเฉยชา “แต่ว่า…เข้าสุสานใต้ดินภูเขาคราม ชีวิตเจ้า คงไม่มีใครช่วยได้แล้ว”

“ซูมู่เจอ…ก่อนหน้านี้เจ้าขวางข้า ข้าจะให้โอกาสเจ้าอธิบาย แต่หากอธิบายไม่กระจ่าง อีกทั้งวันนี้ถ้ำกวางขาวยังยึดมั่นจะยืนหน้าหนิงอี้…”

เจ้าจวนขานฟ้าพูดด้วยใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ “ผู้ชิงแสงไฟเป็น ผู้ปล้นสุสานตาย…บรรพจารย์ในสุสานรู้เข้าเกรงว่าคงจะผิดหวังมาก สี่สำนักศึกษา จากนี้คงต้องเหลือเพียงสามสำนักศึกษา”

ซูมู่เจอกำหมัด

นางหันหน้าไปมองสุ่ยเยวี่ยเล็กน้อย

ระหว่างทางมา นางเชื่อใจสุ่ยเยวี่ยมาก จนถึงตอนนี้ได้ทำให้ตนอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายยิ่ง

ใต้ดินจวนภูเขาครามเหมือนจะซ่อนคนใหญ่คนโตที่สุดยอดของสำนักศึกษาไว้ ตนขวางหน้าหนิงอี้ หากเจ้าจวนขานฟ้าตัดสินใจลงมือจริงๆ ปลุกยอดผู้บำเพ็ญที่มีตำแหน่งสูงจนน่าตกใจบางคนออกมา เช่นนั้นสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวก็คงจะโดนลูกหลงไปด้วยอย่างผู้บริสุทธิ์…

หลายปีมานี้ สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวทำอะไรเงียบเชียบทุกอย่าง ไม่เคยมีเรื่องกับใคร ไม่ใช่ไม่อยากไปแย่งชิงจริงๆ

แต่เพราะว่าไพ่ตายพวกนั้นที่ต้องมีไม่น้อยในสำนักศึกษา พวกนางขาดอันที่ใหญ่ที่สุด ในสุสานของถ้ำกวางขาว หลังแดนเทวาบำเพ็ญของท่านเคียงกระบี่เหือดแห้ง บรรพจารย์ทุกรุ่นไม่อาจฝากโอกาสคืนชีพของความเป็นเทพไว้ แต่ละรุ่นจะแย่ลงเรื่อยๆ

บุตรสู่ฟ้ากับบุตรยอดขุนนางของสำนักศึกษาตะวันสูงกับขุนเขา ตื่นขึ้นมาสักคน พลิกมือทีเดียวก็กำราบสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวได้ทั้งสำนัก

ซูมู่เจอมองสุ่ยเยวี่ย

สามสำนักศึกษาต้องการคำอธิบาย

หนิงอี้…จะปกป้องไว้ได้หรือไม่

ก่อนหน้านี้หากไม่ใช่เพราะได้ยินว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับท่านเคียงกระบี่ จะไม่บุ่มบ่ามลงมือเด็ดขาด

ตอนนี้ดูแล้วการกดดันของสามสำนักศึกษาเหมือนเป็นแผนการที่วางไว้นานแล้ว ไม่เอ่ยคำพูดวันนี้ ก็ต้องเป็นวันหน้าที่สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวขัดขวางพวกเขา

ต่อไป…ควรทำอย่างไรดี

สุ่ยเยวี่ยมองหนิงอี้

หนิงอี้ที่หน้าซีดขาวละสายตากลับมาจากรูปปั้นหินดินเหนียวนั้น

เขามองสามสำนักศึกษาไกลๆ อาภรณ์ครามอาภรณ์แดงของจวนขานฟ้า คนใหญ่คนชราของสำนักศึกษาตะวันสูงกับขุนเขา ใบหน้าเฉยชาต่างมองมาที่ตน

หนิงอี้ยิ้ม เขามองยอดผู้บำเพ็ญพวกนี้พลางพูดเสียงเบา

“จวนขานฟ้า”

“สำนักศึกษาตะวันสูง”

“สำนักศึกษาขุนเขา”

“สามสำนักศึกษา ช่างน่าไร้ยางอาย”

………………………