ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 67 เหตุใดไม่พบแสงสว่างบ้าง

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 67 เหตุใดไม่พบแสงสว่างบ้าง

“สามสำนักศึกษา ช่างน่าไร้ยางอาย”

เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ ยอดผู้บำเพ็ญหลายคนหน้าเปลี่ยนสีไปทันที

โดยเฉพาะเจ้าจวนขานฟ้ามีใบหน้ามืดทะมึน

สิ่งที่ยังทำให้เขาไม่ลงมือไม่ใช่แค่ ‘ความหยิ่งผยอง’ ของผู้บำเพ็ญราชันดาราของเขา แต่ยังมีความหวาดกลัวต่อหญิงสวมงอบตรงหน้าส่วนหนึ่ง

หนิงอี้เป็นเพียงมดปลวกที่ยังไม่ทะลวงขอบเขตที่สิบเท่านั้น

แต่มีคนหนึ่งที่ไม่มี ‘จิตใจ’ ขอบเขตราชันดารานี้ เลือกลงมือในทันที

ราชันดาราอี๋อู๋ดึงปิ่นปักผมสีดำออกมา เขางอนิ้วกลางเล็กน้อย ปิ่นปักผมนั้นกลายเป็นลำแสงพุ่งออกไปหาหนิงอี้

หญิงสวมงอบที่ขวางหน้าหนิงอี้มองเห็นใบหน้าใต้งอบไม่ชัดเจน

ซูมู่เจอห้อยดาบยาวไว้ตรงเอวเล่มหนึ่ง นางยังใช้มือข้างหนึ่งกดด้ามดาบ กดจนปลายดาบยาวยกขึ้น

ตอนนี้เจ้าสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวคนนี้สั่นฝ่ามือเล็กน้อย ดาบยาวกลับมาตรงเอวอีกครั้ง ทันทีที่ออกจากฝัก ก็เหมือนชนกับบางสิ่งที่ไม่เข้าตาบางอย่าง

กำแพงบางแห่งที่รอดมาจากคลื่นปราณกระบี่อย่างยากลำบากไม่ไกลของจวนภูเขาครามพลันถล่มลง

ราชันดาราอี๋อู๋ยกมือขึ้นช้าๆ ปิ่นปักผมนั้นบินกลับมาในมือเขาช้าๆ

เขาถามด้วยรอยยิ้ม “ซูมู่เจอ เจ้ายึดมั่นเช่นนี้รึ”

ซูมู่เจอเอ่ยเนิบนาบ “ดูท่า…ใต้ดินจวนภูเขาครามเหมือนจะซ่อนความลับบางอย่างไว้ จวนขานฟ้าไม่ยินดีให้คนเอ่ยถึง รีบร้อนจะฆ่าปิดปากกันเลยรึ”

ราชันดาราอี๋อู๋หรี่ตาแคบลง

“สามสำนักศึกษา ช่างน่าไร้ยางอาย” ซูมู่เจอยิ้ม “หนิงอี้ไม่ได้รวมสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวไปในนั้นด้วย ข้าย่อมต้องปกป้องเขา ไม่ว่าต่อไปเขาจะพูดเรื่องอะไร ข้ายินดีรับฟัง ทุกท่านลองมาฟังกับข้าดูหน่อยดีหรือไม่”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ดวงตาใต้ผ้าปิดหน้าของหญิงสวมงอบเย็นชาเล็กน้อย นางมองราชันดาราอี๋อู๋ นิ้วมือจับที่ดาบยาวตรงเอว เอ่ยอย่างเย็นชา “สหายที่ไม่ชอบเสียเวลาน้ำชา จะไปก่อนก็ได้ หรือจะมาคุยเรื่องดาบกับข้าสักครู่ก็ได้”

เจ้าจวนขานฟ้าจ้องซูมู่เจอ สองมือไพล่หลัง บีบสิบนิ้วมือในแขนเสื้อ ทำปางมือช้าๆ และเงียบเชียบ เอ่ยนิ่งๆ “ถ้าอย่างนั้นก็จงรับผลที่ตามมาเอง”

ซูมู่เจอกดด้ามดาบ ยิ้มไม่ยี่หระ

ราชันดาราอี๋อู๋ที่สังเกตเห็นภาพนี้หรี่ดวงตาหงส์ ยกมุมปากเล็กน้อย ไม่พูดไม่กล่าว ปักปิ่นปักผมกลับไปในเส้นผมดังเดิม อาภรณ์ขาวพลิ้วไหวเบาๆ ตามสายลม

…….

“ทุกท่านเป็นยอดผู้บำเพ็ญ มีพลังบำเพ็ญสูงกว่าข้า”

หนิงอี้เหยียบน้ำพุของน้ำพุร้อนตามังกร ใบหน้าสงบนิ่ง เอ่ยราบเรียบ “สายน้ำมักจะไหลลง คนมักจะเดินขึ้นสูงเสมอ ยิ่งเป็นการบำเพ็ญ ก็ยิ่งรู้ว่าไม่ง่าย ตอนทะลวงพลัง ทุกเขาศักดิ์สิทธิ์จะไม่ยอมให้มีใครรบกวนศิษย์ตนเด็ดขาด”

เจ้าจวนขานฟ้าเอาสองมือไพล่หลัง สิบนิ้วทำปางมือในแขนเสื้อช้าๆ

เขามองหนิงอี้ด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ราวกับกำลังมองคนตาย

“จวนขานฟ้า…สำนักศึกษาตะวันสูง…สำนักศึกษาขุนเขา ที่บอกว่าสามสำนักศึกษาพวกเจ้าไร้ยางอาย” หนิงอี้เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยนิ่งๆ “เพราะว่าบรรพจารย์สามสำนักศึกษาพวกเจ้าทำเรื่องไร้ยางอายลอบโจมตีในขณะที่คนอื่นฝึกบำเพ็ญทะลวงพลัง”

คุณชายครามโกรธจนหน้าซีดขาว เขาด่าทอด้วยความโกรธ “หนิงอี้ เจ้า เจ้า…เจ้าใส่ร้าย!”

เจ้าจวนขานฟ้ามีแววตาเฉยชา

ราชันดาราอี๋อู๋เพ่งสายตามอง ในแววตามีความฉงนเล็กน้อย มองผู้กุมอำนาจของสามสำนักศึกษา พบว่าสามผู้ยิ่งใหญ่ยังคงมีสีหน้าดังเดิม ยังคงไม่ตื่นตระหนก ยอมรับการดูหมิ่นจากรุ่นเยาว์ได้อย่างสบายใจ

เขาสะบัดอาภรณ์คราม เงียบ ลึกๆ ในใจเกิดการคาดเดาที่ตนยากจะเลี่ยงได้ ลอยขึ้นมาช้าๆ

หนึ่งคนหนึ่งดาบ ซูมูเจอที่ขวางหน้าสามสำนักศึกษาเอ่ยเสียงเบา “หนิงอี้…พูดต่อ”

หนิงอี้เอ่ยนิ่งๆ “ตอนที่ท่านเคียงกระบี่ทะลวงพลัง ก็ถูกคนลอบโจมตีถึงแก่ความตาย แดนเทวาเหือดแห้ง ร่องรอยการต่อสู้ซ่อนอยู่หลังผนังหินของแดนเทวาใหญ่ในตอนนั้น…”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาหยุดชะงักไป หัวใจเต้นระรัว

ท่านผู้ยิ่งใหญ่หลายคนในตอนนั้น จุดที่ต่อสู้กันอยู่สุสานจักรพรรดิ หากหนิงอี้พูดเรื่องบุกสุสานจักรพรรดิออกมา การล่าสังหารจากราชวงศ์ต้าสุยน่ากลัวยิ่งกว่าสำนักศึกษา ต่อให้ตนหนีกลับเขาสู่ซาน เกรงว่าก็คงไม่มีประโยชน์

เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ

คุณชายครามที่กำลังโมโหกำสองหมัดแน่น ไม่ได้สังเกตสีหน้าเฉยชาของอาจารย์ตนเลย แต่จ้องหนิงอี้ กัดฟันกรอด เอ่ยเสียงแหบแห้ง “ไหนหลักฐาน”

หนิงอี้หรี่ตาลง “เจ้าต้องการ…หลักฐานรึ ดี เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าดูหลักฐาน”

หนิงอี้กุมฝ่ามือ แสงดาราพุ่งชนไปมาในน้ำพุของน้ำพุร้อนตามังกร เหนี่ยวนำกระบี่สามเล่มที่ฝังในเส้นทางสุสานและเสียสัมผัสไปหลังจากหนิงอี้พุ่งมาจากสุสานนั้นออกมาใหม่

เกิดการพุ่งชนใต้ดินจวนภูเขาคราม ปราณกระบี่พุ่งทะยานออกมา

แสงดาราของหนิงอี้เหนี่ยวนำกระบี่สามเล่มในสุสานเคียงกระบี่ หาเส้นทางที่แท้จริงพบใต้ดินน้ำพุตามังกรแล้วก็พุ่งออกมา เกิดสายน้ำสามสายขึ้นบนผิวน้ำ หันเหปลายกระบี่กลางอากาศ ลากเป็นเส้นกลมสมบูรณ์พุ่งมาหาหนิงอี้

สุ่ยเยวี่ยกดนิ้วต่อเนื่องกันสามครั้ง หยุดกระบี่ยาวคุณภาพสูงยิ่งสามเล่มไว้ตรงหน้า นางดีดนิ้วเบาๆ กระบี่ส่งเสียงดัง ก็ยังคงสั่นไหวด้วยความไม่ยอม

สุ่ยเยวี่ยหน้ามืดทะมึน จ้องกระบี่สามเล่ม พู่กระบี่สีดำแดงขาวสามสีรวมถึงลวดลายที่มีหนึ่งเดียวบนตัวกระบี่ ทำให้คนมองทีเดียวก็จำได้ นี่คือกระบี่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในประวัติศาสตร์สำนักศึกษา

“หนวดมังกร อักษรเต่า รุ้งขาว”

หนิงอี้จ้องคุณชายครามพลางเอ่ยนิ่งๆ “กระบี่สามเล่มนี้ลอยอยู่ตรงหน้าตักของท่านเคียงกระบี่ เปื้อนเลือด ร้อยปีพันปีมานี้ไม่เคยขยับตำแหน่ง คงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทุกท่านตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง”

“ข้ามีคำถาม นักกระบี่เฉาผีผู้ครองกระบี่หนวดมังกรคนสุดท้ายของจวนขานฟ้า สุดท้ายแล้วไปอยู่ที่ใด” หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะยิ้มเยาะ “หลังจากเคียงกระบี่ตาย เหตุใดเฉาผีถึงไม่โผล่หน้ามาอีก เหตุใดกระบี่หนวดมังกรนั่นถึงไม่ปรากฏมาในโลกอีก จวนขานฟ้าเจ้าใจกว้างเช่นนี้ เป็นผู้นำสี่สำนักศึกษา เป็นแดนสังกัดของปัญญาชนในใต้หล้า ควรอธิบายอย่างไร”

คุณชายครามหน้าซีดขาวเล็กน้อย

“รุ้งขาวกับอักษรเต่าสองเล่มนี้…ก็เช่นกัน กระบี่มีระดับไม่แพ้พินิจเหมันต์ของข้า กลับหายเข้ากลีบเมฆ หรือสำนักศึกษาไม่มีคนถือกระบี่แล้ว สองผู้บำเพ็ญสำนักศึกษาตะวันสูงกับขุนเขาที่ครองรุ้งขาวกับอักษรเต่า ก็ระเหยไปในโลก ไปที่ใดกันแน่”

หนิงอี้ยิ้ม “หรือว่าสามยอดผู้บำเพ็ญของสำนักศึกษาจะร่วมเดินทางไปทะเลพลิกผันแดนอุดร ไปงัดข้อกับปีศาจหมื่นปีกัน”

“เจ้า…” คุณชายครามหน้าแดงขึ้นมา เขามองอาจารย์ที่เงียบไม่พูดไม่จา ก่อนมองหนิงอี้ มาถึงตอนนี้ก็ได้แต่พูดคำว่า ‘เจ้า’ อย่างโกรธแค้น

“ใส่ร้ายกันง่ายจริงๆ…” ราชันดาราอี๋อู๋ที่หรี่ตาลงถอนหายใจเบาอยู่ในใจ ไม่คิดอีก บรรพจารย์ตนที่หนิงอี้พูดถึง ตอนนั้นทำบางอย่างที่ไม่สง่างาม มีเรื่องเช่นนี้อยู่จริง แต่ก็ยังพูดเสียงเบา “กระบี่สามเล่มนี้ สำนักศึกษาตามหามานานแล้ว ลำบากตั้งนานก็ยังไม่พบ เป็นสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวต่างหากที่ต้องอธิบายกับพวกเรา…ว่าเหตุใดอยู่ดีๆ ถึงไปอยู่ในแดนเทวาของเคียงกระบี่ได้

ตอนนั้นท่านเฉาผีห่างอีกก้าวเดียวก็จะทะลวงพลัง เหตุใดถึงไม่คิดบ้างว่าเป็นเคียงกระบี่ที่ลอบโจมตีบรรพจารย์ข้า มาชิงหนวดมังกรไป” ราชันดาราอี๋อู๋เอ่ยนิ่งๆ “เรื่องเมื่อพันปีก่อนจะตัดสินได้อย่างไรกัน หรือจะพูดสุ่มสี่สุ่มห้า ล่วงเกินสวรรค์โกรธคนเคียดแค้นเสียเปล่าๆ”

หนิงอี้หน้าดำมืด

“เคียงกระบี่สิ้นชีพแล้ว สามสำนักศึกษาเราเคยร่วมพิธีศพเขาด้วยกัน ส่วนความจริงในตอนนั้น ข้าเชื่อว่าเวลาจะพิสูจน์เอง”

เจ้าจวนขานฟ้าเอาสองมือไพล่หลัง พูดเสียงเบา “เล่าลือว่าเคียงกระบี่มีความโอหังเป็นหนึ่ง ข้าเชื่อว่าเขาจะไม่ลอบโจมตีท่านเฉาผีของจวนขานฟ้าแน่ เรื่องในตอนนั้น ไม่ต้องไปสืบสาวราวเรื่องแล้ว…สิ่งที่ข้าพูดพวกนี้ก็ยังเป็นแค่การคาดเดาเท่านั้น”

หนิงอี้ยิ้มด้วยความโกรธ โกรธจนแขนเสื้อสั่น กำสองหมัดแน่น แต่กลับทำอะไรไม่ได้

หนิงอี้รู้ว่าเจ้าจวนขานฟ้าพูดไม่ผิด

หากเขาไม่พาคนพวกนี้เดินทางไปสุสานจักรพรรดิ เช่นนั้นก็จะไม่มีวันพิสูจน์ความจริงในการตายของเคียงกระบี่ได้…

เขาเพ่งมองแววตาลึกล้ำของเจ้าจวนขานฟ้า

เจ้าสำนักศึกษา สืบทอดต่อกันมาทุกรุ่น ความลับทั้งหมดจะไม่เก็บซ่อนไว้ส่วนตัว ดังนั้นเจ้าจวนขานฟ้า…คือคนจำนวนน้อยที่รู้ความจริงในตอนนั้น

เขาแสดงออกได้สงบนิ่งเช่นนี้ ไม่เกิดคลื่นอารมณ์ใดๆ เลย ก็เพราะเขารู้ว่าหนิงอี้ไม่มีทางทำอะไรตนได้

การต่อสู้ในตอนนั้นอยู่ทางเข้าสุสานจักรพรรดิ

สุสานจักรพรรดิวางค่ายกลไว้มากมาย แต่คนที่ก้าวเข้าสุสานจักรพรรดิล้วนตายไม่มีที่ฝังศพ!

เขาไม่เชื่อว่าหนิงอี้จะเข้าสุสานจักรพรรดิได้

ดังนั้นเด็กหนุ่มชุดคลุมดำตรงหน้า ไม่ว่าจะพูดใกล้เคียงความจริงอย่างไร ไม่มีหลักฐาน พูดออกมาก็ยังเป็นแค่เรื่องราวเท่านั้น

หนิงอี้จ้องสามเจ้าสำนักศึกษาเงียบๆ

ในสายตายอดผู้บำเพ็ญสามคน สงบนิ่งดุจสมุทร ไม่เกิดคลื่นกระเพื่อม

“หนิงอี้…เจ้าทำให้ข้าผิดหวัง”

เจ้าจวนขานฟ้ายิ้ม

เขามองหนิงอี้ ในแววตามีความน่าเศร้าแต่ก็น่าขำ

ใช้แค่คำพูด จะเกิดคลื่นลมอะไรได้

“ยกความตายของเคียงกระบี่ออกมา อยากจะหลอกพวกเรา ให้สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวออกหน้าปกป้องเจ้ารึ” คนชราแห่งสำนักศึกษาตะวันสูงมองหญิงสวมงอบพลางพูดเบาๆ “ซูมู่เจอ ช่วยหลีกทางด้วย!”

หญิงสวมงอบเงียบ ภายใต้ผ้าสีดำ นางเม้มริมฝีปาก หันหน้าเล็กน้อย เหลือบตามองหนิงอี้ด้วยสีหน้าจริงจัง

พวกนี้…ยังไม่พอ

นางรู้ว่าหนิงอี้พูดความจริง

สุ่ยเยวี่ยก็รู้ว่าหนิงอี้พูดความจริง

แต่พวกนี้ไม่พอทำให้เรื่องที่เกิดขึ้นกับเคียงกระบี่ในตอนนั้น กลายเป็นความจริงที่ทุกคนยอมรับในจวนภูเขาครามและในโลกนี้

บนท้องนภา มีเสียงฟ้าร้องเบาๆ

ใต้ตีนภูเขาคราม สายลมหนาวพัดผ่าน เม็ดฝนเท่าถั่วตกลงมา

หนิงอี้หน้าขาวซีด เขาจับชายเสื้อของเคียงกระบี่ เดินไปช้าๆ เหยียบบนบ่อน้ำ ทุกก้าวจะเกิดคลื่นกระเพื่อม สุดท้ายมาอยู่ตรงหน้ารูปปั้นหินนั้น

สายฟ้าสวรรค์สว่างเลือนราง

ส่องใบหน้าเด็กหนุ่มที่ขาวซีดแต่แน่วแน่

หนิงอี้ย่อตัวลง ใช้มือถือชายเสื้อ จะลองประกบกับรูปปั้นหินที่ขาดหายไปให้สมบูรณ์

หนิงอี้มองใบหน้าอมยิ้มนั้นพลางพูดเสียงเบาอย่างจริงจัง “ผู้อาวุโส เหตุใดไม่ออกมาพบแสงสว่างบ้าง”

………………………