บทที่ 96 ทางเข้าที่หายไป

เพราะคำพูดของชิงเป่ย เยี่ยนซีโหรวจึงกินอะไรไร้รสชาติไปหลายวัน

ดังนั้นชิงอวี่จึงทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เก็บเนื้อหมูขนแหลมที่เหลือไว้ในมิติของนาง

ขณะนั้นเจ้าอสูรน้อยก็อยู่ในมิติของนางเช่นกัน มันกำลังนอนหลับกรนเสียงดัง จมูกพลันได้กลิ่นหอมของเนื้อ มันตัวสั่นเล็กๆก่อนจะลืมตาตื่นขึ้น นัยน์ตาส่องประกายสดใส หลังจากได้รับคำอนุญาตจากชิงอวี่แล้ว เจ้าอสูรน้อยก็ให้บทเรียนอันทรงคุณค่าแก่นางหนึ่งเรื่อง

อย่าตัดสินคนจากภายนอก อสูรก็เช่นกัน

ชิงอวี่มองภาพนั้นตาเบิกกว้างปากอ้าค้าง นางเห็นเจ้าตัวเล็กเขมือบอสูรวิญญาณที่ร่างใหญ่กว่ามันนับร้อยเท่าเข้าไปในคำเดียว ท้องมันกลับไม่ป่องไม่ยื่น ดูท่าจะยังกินได้อีกมาก

ชิงอวี่ “…..” หรือท้องเจ้าตัวเล็กนี้เป็นหลุมดำกัน?

นางพลันรู้สึกเสียใจขึ้นมา จากนี้ไปนางต้องล่าอสูรวิญญาณมาให้มันกินทุกวันเลยหรือ? โชคดีที่พวกนางจะอยู่ที่นี่เพียงสิบวัน หากต้องอยู่เป็นเดือน เกรงว่าอสูรวิญญาณในหุบเขาพญายมคงจะไม่พอประทังหิวอสูรน้อยเป็นแน่…..

มิน่าถึงได้ชื่อว่าโร่วโร่ว มันเป็นสัตว์กินเนื้อนี่เอง! ทั้งนายหญิงของมันช่างรู้จักมันดีจริงๆ

อีกด้านหนึ่ง ณ ชายขอบหุบเขาพญายม คนหลายคนรวมกลุ่มกันสนทนาเรื่องบางอย่างด้วยเสียงแผ่วต่ำ

ไม่รู้ว่าชายร่างกำยำสูงใหญ่ได้ยินคำใดเข้า เขาถึงกับล้มทรุดลงกับพื้นด้วยสีหน้าโศกเศร้าโศกา “สวรรค์! เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร? ข้ามีลูกเพียงคนเดียว หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่คิดให้เขาเข้าไปฝึกตนที่นั่นกับคนอื่น ๆ”

“น้องชายข้ายังอยู่นั้นอยู่เลย! พวกเราไม่สามารถเข้าไปได้จริงหรือ?”

“เจ้าก็เห็นว่าขนาดทางเข้าเรายังหากันไม่เจอ แล้วจะเข้าไปด้านในได้อย่างไร…..”

คนเหล่านี้อาศัยอยู่ไม่ไกลจากหุบเขาพญายมมากนัก เมื่อคืนมีคนได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้น ดังนั้นจึงพากันวิ่งมาดูสถานการณ์ สุดท้ายวิญญาณเกือบหลุดออกจากร่างเมื่อเห็นภาพ ได้แต่วิ่งกลับไปตามคนมาดูเพิ่มขึ้น

ทางเข้าหุบเขาพญายมนั้นเป็นอุโมงค์สูงใหญ่ที่เกิดจากต้นไม้ ทั่วพื้นที่เต็มไปด้วยต้นไม้โบราณสูงใหญ่มากมาย ลำต้นและกิ่งก้านสาขามันบิดไปมาเป็นรูปร่างประหลาด ส่วนทางเข้านี้จะถูกหมอกหนาปกคลุมไว้ หมอกนี้จะจางลงเมื่อถึงยามเหม่าเท่านั้น เมื่อฟ้าสว่างหมอกจะลงอีกครั้ง เป็นปรากฏการณ์ที่น่าประหลาดนัก

และตอนนี้ฟ้าสว่างแล้ว พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น หากแต่กลับไร้หมอกหนา อุโมงค์ทางเข้ากลับหายไป ต้นไม้ใหญ่ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงพื้นดินราบเรียบเท่านั้น

คล้ายกับหายไปในพลันโดยไร้คำเตือน

“เช่นนี้จะทำอย่างไรดี? ใครจะช่วยลูกชายข้าได้!!!” ชายร่างกำยำยกมือขึ้นปิดหน้า ร้องไห้ออกมาไม่อาจยับยั้งอารมณ์ไว้ได้อีกต่อไป เสียงร่ำไห้ทุกข์ระทมเจ็บปวดส่งผลให้คนอื่น ๆ ต่างก็ปวดใจกันไปตาม ๆ กัน

เขาน่าสงสารนัก ภรรยาเสียชีวิตเพราะคลอดบุตรยาก เลี้ยงลูกชายคนนี้มาจนโตเช่นนี้ต้องเป็นทั้งพ่อและแม่ในเวลาเดียวกัน โชคดีที่ลูกชายคนนี้มีความสามารถอยู่บ้าง มีโอกาสได้เข้าสามสำนักใหญ่ หากแต่ตอนนี้เขากลับต้องมารับรู้ข่าวร้ายเช่นนี้

ไม่มีใครปลอบเขาได้ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรลูกชายของเขาก็ไม่อาจกลับคืนมา

เป็นตอนนั้นเองที่เสียงฝีเท้าพลันดังขึ้น ทุกคนหันกลับไปมอง หรือจะเป็นเด็ก ๆ กลุ่มใหม่เดินทางมาฝึกฝนที่หุบเขาพญายม?

พวกเขาเห็นเงาร่างของชายหนุ่มร่างสูงสองคนกำลังเดินเข้ามา คนหนึ่งสวมชุดแดง ใบหน้างดงามอย่างชั่วร้าย นัยน์ตาดอกท้อยกขึ้นนั้นมีเสน่ห์น่าหลงใหล งดงามเหนือมนุษย์

อีกคนดูลึกลับ สวมชุดคลุมหรูหราสีม่วง ใบหน้าประณีตสง่างาม ราวกับสวรรค์ชื่นชอบเขาเป็นพิเศษ นัยน์ตาสีม่วงคู่นั้นใสกระจ่างราวกับอัญมณีบริสุทธิ์อันแสนล้ำค่า มองเพียงหนึ่งคราสั่นเทาจิตใจผู้คน ริมฝีปากเขาโค้งเป็นรอยยิ้มหนึ่ง หากแต่กลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างกลับทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้

ชายหนุ่มทั้งสองดูโดดเด่นไม่น้อย เวลานี้เดินทางมายังหุบเขาพญายม ผู้คนจึงพอคาดเดาจุดประสงค์ของคนทั้งคู่ได้

แม้ทั้งสองคนจะดูท่าทางไม่น่าเข้าใกล้ หากแต่คนหนึ่งกลับเอ่ยถามขึ้นอย่างระวัง “พ่อหนุ่มคิดจะเข้าไปในหุบเขาพญายมหรือ? ไม่ว่าจะมาด้วยเรื่องอันใด พวกเจ้ารีบจากไปเสียเถอะ!”

ชายหนุ่มทั้งสองที่เพิ่งมาถึงไม่ใช่ใครอื่น คือโหลวจวินเหยาและไป๋จือเยี่ยน

เมื่อได้ยินว่าไป๋จือเยี่ยนซ่อนยูนิคอร์นอสนีบาตระดับสิบเอ็ดไว้ในหุบเขาพญายม และชิงอวี่ก็กำลังทำการฝึกฝนตนอยู่ที่นั่นเช่นกัน จิตใจโหลวจวินเหยาจึงไม่อาจสงบนิ่งได้

น่าขันสิ้นดี! อสูรวิญญาณระดับสิบเอ็ด ไม่สิ อาจเรียกว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้กระมัง

มันไม่เพียงมีสติปัญญาล้ำเลิศ มันยังสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธฝีมือล้ำเลิศจากดินแดนระดับกลางในในพริบตา ยูนิคอร์นอสนีบาตนั้นมีความสามารถ ถือครองได้ถึงสองธาตุ ทั้งธาตุสายฟ้าและธาตุไฟ ด้วยมีสายเลือดทรงพลังไหลเวียนอยู่ในร่าง เมื่อถึงระดับสิบสองสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ ไม่เหมือนกับอสูรวิญญาณธรรมดาที่ต้องรอจนถึงระดับสิบห้าจึงจะสามารถทำได้

หากชิงอวี่และกลุ่มของนางเจอมันเข้าก็คงมีแต่ตายเท่านั้น

เมื่อได้ยินคำแนะนำจากอีกฝ่าย ไป๋จือเยี่ยนพลันเลิกคิ้วถาม “เพราะเหตุใด?”

เป็นเพราะมีคนหลายคนมารวมตัวกันอยู่ ฝูงชนบดบังภาพไปจนสิ้น ไป๋จือเยี่ยนจึงไม่อาจมองเห็นภาพเบื้องหน้า ดังนั้นจึงไม่รู้สถานการณ์ที่เป็นอยู่ เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มผู้นี้ดูยืนยันที่จะเข้าไปให้ได้ ฝูงชนจึงทำเพียงส่ายหัวถอนหายใจ แหวกทางให้เขาเข้าไป

ไป๋จือเยี่ยนเห็นแล้วชะงักไปในพลัน นัยน์ตาดอกท้องามจ้องภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึง “เกิด….. เกิดอะไรขึ้น?”

อุโมงค์ทางเข้าเล่า?

เหตุใดจึงกลายเป็นพื้นดินราบเรียบเช่นนี้??

โหลวจวินเหยาเพิ่งเคยมาที่นี่ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเหตุใดไป๋จือเยี่ยนจึงดูตกใจนัก เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ “มีอันใด?”

“อุโมงค์ทางเข้าหุบเขาพญายม….. หายไปแล้ว” ไป๋จือเยี่ยนมุมปากกระตุก ไม่เพียงหายไปเท่านั้น พื้นที่ทั้งหมดยังกลายเป็นผืนดินว่างเปล่า ไม่เหลือเค้าเดิมแม้แต่น้อย

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” โหลวจวินเหยาเหลือบมองอีกฝ่าย “มันมีขางอกออกมาแล้ววิ่งหนีไปหรือไร?”

“ข้าก็อยากรู้เช่นกัน” ไป๋จือเยี่ยนเอ่ยน้ำเสียงไร้หนทาง จากนั้นหันไปมองฝูงชนมากมายที่มารวมตัวกัน “เป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

“เมื่อคืนข้าได้ยินเสียงดังมาจากที่นี่ ข้าอยู่ใกล้แถบนี้จึงวิ่งมาดู พอมาถึงอุโมงค์ทางเข้าก็หายไปแล้ว” ชายตัวเตี้ยคนหนึ่งเอ่ย

ไป๋จือเยี่ยนหรี่ตาลง ในหัวมีความคิดหนึ่งผุดขึ้น หากแต่เขารีบเขี่ยมันทิ้งไป คงไม่ใช่กระมัง…..

“คิดอะไรอยู่?” โหลวจวินเหยาที่อยู่ด้านข้างเห็นไป๋จือเยี่ยนส่ายหัวไปมาจึงเอ่ยถาม

“จวินเหยา ไม่รู้ว่าเจ้าเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนหรือไม่ ยามอสูรศักดิ์สิทธิ์กลายร่าง การกลายร่างนั้นเทียบเท่ากับการเกิดใหม่ พลังเพิ่มขึ้นมหาศาล ทำให้พื้นที่โดยรอบเปลี่ยนแปลงไปได้” ไป๋จือเยี่ยนเอ่ยอย่างเป็นกังวล อารมณ์ในดวงตาซับซ้อน “แต่….. เจ้านั่นเพิ่งเลื่อนระดับเป็นระดับสิบเอ็ดเมื่อสองเดือนก่อน เหตุใดมันจึงสามารถเลื่อนระดับได้อีกรวดเร็วเช่นนี้….. น่ากลัวจริง”

การที่อสูรวิญญาณจะเลื่อนระดับได้นั้นยากเย็นยิ่ง อาจใช้เวลานานถึงหลายปี แต่หากเรื่องนี้เกิดเพราะเจ้านั่นเลื่อนระดับ ทำให้หุบเขาพญายมเปลี่ยนแปลงไปละก็….. เช่นนั้นก็นับว่ามันมีความก้าวหน้าอย่างบ้าคลั่งแล้ว!

นัยน์โหลวจวินเหยาส่องประกายคมวาบ “เจ้าจะบอกว่า….. เจ้านั่นเลื่อนระดับหรือ?”

“เป็นไปได้สูง” ไป๋จือเยี่ยนพยักหน้าคล้ายกับคนเจ็บปวด

“ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ ไปดูก็รู้แล้ว” โหลวจวินเหยาเอ่ยเสียงหยัน จากนั้นมือเรียวก็ยกขึ้นดึงอากาศตรงหน้า ฉีกมิติเบื้องหน้าตนออก ก่อเกิดเป็นหลุมดำ

ไป๋จือเยี่ยนกลืนน้ำลาย กล้าทำเรื่องประหลาดต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวว่าจะมีใครเห็นหรือ?

เมื่อเห็นว่าร่างโหลวจวินเหยาหายไปในหลุมดำแล้ว ไป๋จือเยี่ยนก็เก็บความคิดแล้วเดินตามเข้าไป พริบตาต่อมาหลุมดำก็หดตัวลงแล้วหายไปในที่สุด

ทุกคน ณ ที่นั้นต่างไม่เอ่ยคำใด “…..”

เกิดอะไรขึ้นกัน?

เจ้าปีศาจสองคนนั้นมาจากที่ใด?

อีกด้านหนึ่ง ชิงอวี่และคนอื่น ๆ เดินทางลึกเข้าไปในหุบเขาพญายม

นับเป็นสถานที่ที่อันตรายและลึกลับซับซ้อนยิ่ง ก่อนหน้าที่เดินทางลึกเข้ามาเห็นว่าตนอยู่ในป่ามืดทึบ มีต้นไม้สูงใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาที่มีหนามคมมากมาย แต่พอเดินเข้ามาอีกหน่อยต้นไม้กลับหายไปจนหมด กลายเป็นที่ราบแห้งแล้งสุดลูกหูลูกตา

พื้นดินที่เหยียบย่างไม่นุ่มชื้นดังแต่ก่อน แต่กลับแข็งมาก ราวกับไม่ถูกฝนมายาวนาน มันแห้งแล้งจนกระทั่งพื้นเต็มไปด้วยรอยแตกขนาดใหญ่มากมาย รอยแตกนั้นใหญ่มาก หากเดินไม่ระวัง เท้าอาจลงไปติดได้

ไม่รู้ว่าเดินมานานเท่าไหร่ แต่ท้องฟ้ามืดเริ่มส่องสว่าง ทำให้เห็นว่าพื้นที่โดยรอบเต็มไปด้วยก้อนหินกองศิลามากมาย มองผ่าน ๆ เห็นเพียงศิลาและหินต่าง ๆ ตั้งอยู่ ไม่เห็นเงาสิ่งมีชีวิตอื่น

เยี่ยนซีโหรวพลันสะดุดหลุมข้อเท้าแพลง ร้องเสียงเจ็บปวดออกมา “โอ๊ย! นี่มันที่บ้าอะไรกัน!”

คนที่เหลือหยุดมองนาง เมื่อเห็นว่านางนั่งอยู่กับพื้น กำลังจะถอดรองเท้าและถุงเท้าดูแผล ชิงอวี่ก็เลิกคิ้วเอ่ยขึ้นเสียงเย็น “อย่าดูแล้วเดินต่อเถอะ หากมีบางอย่างพุ่งขึ้นจากพื้น ถึงวิ่งก็สายไปแล้ว”

เมื่อเยี่ยนซีโหรวได้ยินว่าอาจมีตัวอะไรพุ่งขึ้นจากพื้นได้ นางก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วก้มมองรอยแตกบนพื้นด้วยหวาดหวั่น

ชิงอวี่หัวเราะเบา ๆ จากนั้นหันกลับไปเดินนำต่อ สายตานางมองไปทั่วทุกทิศ ดูแล้วที่นี่ไม่ปกติ นางไม่เห็นหญ้าสักต้น มีเพียงหินเท่านั้น

นางกำลังครุ่นคิด ทันใดนั้นร่างนางพลันชะงักไป ฝีเท้านางหยุดลงในทันที

“พี่ มีอะไรหรือ?” ชิงเป่ยเดินตามนางอยู่เบื้องหลัง เมื่อเห็นนางหยุดเดินจึงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

ชิงอวี่หรี่ตาลงช้า ๆ หันไปมองศิลารูปร่างผอมบางเบื้องหลัง มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “เห็นศิลาตรงนั้นหรือไม่?”

ได้ยินดังนั้นคนอื่น ๆ ก็หันมองตามนาง แต่ไม่รู้ว่านางจะเอ่ยอันใด ศิลาก้อนนั้นประหลาดหรืออย่างไร? ก็เห็นมีเช่นนี้อยู่เต็มไปหมด!

“มันตามเรามาระยะหนึ่งแล้ว ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ายังที่ราบนี่ก็มีมันตามหลังเราอยู่ตลอด” ชิงอวี่เอ่ยเสียงค่อย

เยี่ยนซีโหรวได้ยินนางแล้วทั้งร่างก็เย็นวาบในพลัน ถามเสียงอ่อยขึ้น “ไม่กระมัง! เจ้าอาจ….. ตาฝาดล่ะมั้ง?”

“เจ้าเชื่อความจำข้าได้” ชิงอวี่เอ่ย ส่งสายตาเรียบเฉยมองนาง จากนั้นส่งสายตาหาเด็กหนุ่ม ได้เวลาลงมือแล้ว

ชิงเป่ยเข้าใจนางทันที ฝ่ามืออสนีบาตของเขาก้าวหน้าขึ้นรวดเร็วมาก โอกาสนี้เหมาะสมนักที่เขาจะได้ลองวิชา

ชิงเป่ยคิดดังนั้นแล้วนัยน์ตาก็ทะมึนลง เปลี่ยนฝ่ามือเป็นดาบที่ย้อมด้วยสีม่วงเข้มและกระแสไฟฟ้า จากนั้นฟาดฝ่ามือไปยังศิลาก้อนนั้นอย่างรุนแรง เสียงดังสนั่นดังลั่นขึ้น ศิลาก้อนนั้นระเบิดออก ก่อนเงาร่างหนึ่งจะกระโจนเข้าใส่ชิงเป่ย