บทที่ 97 ตะขาบปีศาจ

ชิงอวี่เห็นเจ้าตัวยาวสีแดงสดนั่น นัยน์ตานางพลันเบิกกว้างเมื่อเห็นว่ามันพุ่งเข้าไปโจมตีเด็กหนุ่ม นางรีบตะโกนขึ้นเสียงดังในพลัน “หลบเร็วเข้า!”

เมื่อได้ยินนางตะโกน แม้ชิงเป่ยที่เตรียมตัวจะสังหารศัตรูจะไม่เข้าใจเหตุผล หากแต่ด้วยความที่เชื่อใจชิงอวี่อยู่ตลอด เขาจึงกระโดดหลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว

หากแต่ความเร็วของมันนั้นเหนือความคาดหมายนัก ร่างยาวหลายสิบเมตรถอยกลับไปแล้วยืดตัวตรง อวัยวะคล้ายเกสรตัวผู้ที่ปากมันสั่นน้อย ๆ จากนั้นของเหลวหนืดก็พุ่งออกมา

ชิงเป่ยไม่อาจหลบทัน ไหล่กว่าครึ่งถูกของเหลวนั่นโจมตี เป็นความเจ็บปวดสะท้านลึกถึงทรวงเหมือนสมัยที่รักษาขา เขาก็มีความอดทนต่อความเจ็บปวดสูงกว่าคนทั่วไป หากแต่เมื่อถูกของเหลวนั่นพุ่งเข้าใส่กลับส่งผลให้เขาร้องเสียงเจ็บปวดออกมาในพลัน จากนั้นร่างก็ล้มลงกับพื้น

“เสี่ยวเป่ย!” ชิงอวี่หน้าเปลี่ยนสี

ตั้งแต่ที่ชิงเป่ยกลับมายืนได้ นางก็ไม่เคยปล่อยให้เขาได้รับบาดเจ็บอีก หากแต่ตอนนี้กลับถูกอสูรประหลาดนี่โจมตีจนบาดเจ็บสาหัส ตอนที่นางเห็นมันพุ่งขึ้นมาจากซอกหิน ในใจนางรู้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

ลำตัวสีแดงของมันยาวหลายสิบเมตร ที่ปากมันมีบางสิ่งหน้าตาคล้ายเกสรดอกไม้ มีขายั้วเยี้ยนับไม่ถ้วน ต้องเป็นตะขาบปีศาจที่มีเฉพาะในทะเลทรายเป็นแน่ ยังเป็นอสูรที่มีพิษร้ายเคลือบกาย พิษเหลวที่มันพ่นออกมานั้นคือยอดพิษเหนือพิษทั้งปวง!

หากแต่ตะขาบปีศาจปกติมักอาศัยอยู่ใต้ทะเลทราย เหตุใดมันจึงมาหลบอยู่ใต้ศิลาแล้วตามพวกนางมานานเช่นนี้ได้!?

ความกลัวยังคงแล่นพล่านในร่าง ไม่ว่านางจะฉลาดเฉลียวสักเพียงไหนหากแต่ก็ไม่อาจขับไล่ความกลัวนี้ไปได้ ที่เบื้องหน้านางคือร่างของชิงเป่ยที่นอนแน่นิ่ง เปลือกตาปิดสนิท หมดสติไปแล้ว นางทำได้เพียงใช้เข็มทองปิดเส้นพลังของเขาไว้ชั่วคราวเพื่อไม่ให้เลือดหมุนเวียน ป้องกันไม่ให้พิษแล่นไปทั่วร่าง

นางหันกลับมาอีกครั้ง เห็นตะขาบปีศาจกำลังมุ่งหน้าไปโจมตีเยี่ยนซีโหรวและเยี่ยนซีอู่ เคราะห์ดีที่แม้สองพี่น้องจะไม่ได้มีพลังบำเพ็ญสูงส่งมากนักแต่ก็สับขาวิ่งหนีได้อย่างชำนาญ แม้พวกนางจะวิ่งไปกรีดร้องสุดเสียงไปด้วยความหวาดกลัว ตะขาบปีศาจก็ยังไม่อาจตามจับพวกนางได้ทัน ลำตัวยาวของมันทำให้ความเร็วของมันลดลงไปเล็กน้อย

ชิงอวี่ขมวดคิ้ว เมื่อครู่นางอยู่ข้างมันแท้ ๆ แต่คล้ายกับมันไม่เห็นนาง กลับหันไปตามสองคนนั้นแทน เป็นเพราะเหตุใดกัน?

เสียงหัวเราะคิกคักพลันดังขึ้นข้างกาย จั้งไหมปรากฏตัวขึ้น นัยน์ตาเรียวยาวสีทองและสีเงินสุกใสแพรวพราว เขาหันมาขยิบตาให้นาง “นายหญิง มันไม่เพียงไม่โจมตีท่าน ถึงท่านจะยืนขวางหน้ามันอยู่นายหญิงก็จะยังปลอดภัย”

“เพราะเหตุใด?”

“ท่านดูเสีย!”

จั้งไหมเผยรอยยิ้มชั่วร้าย ก่อนที่ร่างสีทองเหลือบเงินจะพุ่งไปเร็วดั่งแสง หายไปปรากฏตรงหน้าตะขาบปีศาจที่กำลังไล่ล่าแม่นางทั้งสองในพริบตา เขายืนนิ่งอยู่เช่นนั้นไม่ขยับกาย สองมือไพล่หลัง

ชิงอวี่มองภาพนั้นไม่เชื่อสายตา นางเห็นตะขาบปีศาจเลื้อยอ้อมเด็กหนุ่มผมทองไปเพื่อไล่ตามเด็กสาวทั้งสองต่อ

“เป็นไปได้อย่างไร?” ชิงอวี่มองเด็กหนุ่มที่วิ่งกลับมาด้วยความฉงน “เมื่อครู่เจ้าล่องหนหรือ?”

ปกติแล้วเวลาจั้งไหมออกมาปรากฏตัว เพื่อเลี่ยงปัญหาทั้งหลายที่อาจตามมา ชิงอวี่จะให้เด็กหนุ่มล่องหนไว้ ไม่ให้ปรากฏตัวต่อหน้าใคร

“ข้าเปล่า!” เด็กหนุ่มแบมือท่าทางไร้เดียงสา

“เช่นนั้นเจ้าแผ่รัศมีขู่มันหรือ?”

“ย่อมไม่ใช่” จั้งไหมบุ้ยปากตอบปฏิเสธแล้วมองนาง “นายหญิงผู้โง่งมของข้า ปกติท่านฉลาดจะตายไป เหตุใดวันนี้จึงบื้อเช่นนี้?”

“เจ้านี่ไม่มีตาไม่มีจมูก ดังนั้นจึงไม่อาจได้กลิ่นหรือมองเห็นศัตรูได้ แต่ตัวมันอยู่บนพื้นจึงสามารถจับตำแหน่งศัตรูได้จากแรงสะเทือนยามอีกฝ่ายเคลื่อนกาย เมื่อครู่ท่านไม่ได้ขยับกาย ดังนั้นมันจึงจับสัมผัสท่านไม่ได้ ตอนข้าปรากฏตัวไปขวางมันเมื่อครู่มันก็อ้อมข้าไปเพราะคิดว่าข้าเป็นศิลาก้อนหนึ่ง”

“ศิลาหรือ?” เมื่อได้ฟังจั้งไหมอธิบาย ชิงอวี่จึงเข้าใจว่าเหตุใดเจ้าตะขาบปีศาจจึงคิดว่าเด็กหนุ่มเป็นก้อนศิลา!

“สภาพแวดล้อมที่นี่แปลกประหลาดนัก ไม่อาจใช้เพียงตามองได้ พวกหินต่าง ๆ พุ่งขึ้นจากพื้นโดยฉับพลันอยู่ตลอด ดังนั้นมันจึงคิดว่าข้าเป็นศิลาที่เพิ่งผุดขึ้นจากพื้น”

“เป็นเช่นนี้” ชิงอวี่พยักหน้าจากนั้นขยี้หัวเด็กหนุ่มอย่างเพลินมือ “ไม่เลวนี้ไหมไหม เจ้านี่ราวกับตำราเดินได้ เรื่องเช่นนี้เจ้าก็รู้ สมกับเป็นเกราะคุ้มภัยให้นายหญิงจริง ๆ”

เมื่อถูกขยี้หัวโดยฉับพลันทั้งยังถูกดวงตาที่เจือไปด้วยแววเอ็นดูของนาง ไหนจะถูกชมถึงขนาดนี้ แก้มทั้งสองของจั้งไหมก็ระบายไปด้วยสีแดงจาง “อืม เป็นประโยชน์ต่อนายหญิงได้ ไหมไหมก็พอใจแล้ว”

ขัดเขินอยู่ครู่หนึ่งเด็กหนุ่มก็เอ่ยขึ้นเสียงจริงจังขึ้น “นายหญิง อย่างไรก็ต้องระวัง แม้เจ้านี่จะโง่แต่ก็เป็นอสูรวิญญาณระดับเจ็ดขั้นสุด ใกล้เลื่อนเป็นระดับแปด ท่านต้องสังหารมันก่อนเลื่อนระดับ ไม่เช่นนั้นมันจะแกร่งขึ้นมาก”

อสูรวิญญาณระดับเจ็ดขั้นสุด ….. พวกนางต้องโชคดีถึงขั้นนี้เลยหรือ?

ชิงอวี่ส่งสายตาเป็นกังวลไปยังเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนพื้น นางต้องรีบจัดการมันให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นหากปล่อยเจ้าน้องชายซื่อบื้อของนางไว้ในสภาพนี้ต่อไปต้องเป็นอันตรายแน่ นางเริ่มเสียใจที่ไม่ได้พาเสี่ยวเสวี่ยมาด้วย ให้เสี่ยวเสวี่ยดูดพิษทั้งหมดออกจากร่างเขาเช่นนั้นเขาก็จะปลอดภัยแล้วแท้ ๆ

“ไหมไหม เฝ้าเสี่ยวเป่ยให้ข้า ข้ากลัวว่าจะมีอีกตัวอยู่แถวนี้”

พูดจบชิงอวี่ก็ยืนขึ้น เมื่อมองภาพเด็กสาวสองคนที่วิ่งจนแทบเป็นลม นางก็เอ่ยน้ำเสียงไม่ดังหากแต่กลับพุ่งเข้าสู่หูของคนทั้งสองอย่างชัดเจน “หลบหลังศิลาที่อยู่ด้านข้าง ยืนนิ่ง ๆ อย่าขยับตัว”

เมื่อเยี่ยนซีโหรวได้ยินแล้วก็ตะโกนกลับ “เจ้าคิดว่าพวกข้าโง่หรือ!? จะให้พวกข้ายืนรอความตายหรือไร?”

“หากไม่อยากตายก็ทำตามคำข้า” ชิงอวี่เอ่ยเสียงเรียบ

เทียบกันแล้วเยี่ยนซีอู่นั้นฉลาดกว่า เมื่อได้ยินคำชิงอวี่นางก็ทำตามในพลัน หลบอยู่หลังศิลา ยืนนิ่งไม่ไหวติง เมื่อเห็นดังนั้นเยี่ยนซีโหรวจึงต้องทำตามอย่างไร้ทางเลือก

ทันใดนั้นเจ้าตะขาบยักษ์ก็หยุดชะงักไป

ตะขาบปีศาจที่พุ่งตัวไปด้านหน้าด้วยความเร็วพลันหยุดนิ่ง ปลายปากที่คล้ายกับเกสรดอกไม้ของมันสั่นน้อย ๆ ดูท่ามันจะกำลังสับสนว่าเหตุใดเหยื่อทั้งสองของมัน จู่ ๆ จึงหายตัวไปได้ ร่างยาวสิบเมตรของมันบิดไปมาด้วยความโกรธเกรี้ยวผสมปนเปไปด้วยความสับสน

มันหยุดบิดตัวไปมาด้วยความโกรธแล้วหันร่างไปยังทิศทางหนึ่ง มันสัมผัสได้ว่ามีความเคลื่อนไหวมาจากทิศนั้น

ชิงอวี่กำลังย่องเข้าหามันด้วยฝีเท้าเบาหวิว หากแต่ฝีเท้าเบาเกินไปเริ่มทำให้เจ้าตะขาบเริ่มสงสัยว่ามันจับสัมผัสพลาดไปหรือไม่

ทันใดนั้นเสียฝีเท้าก็ดังขึ้น กลายเป็นเสียงวิ่ง ตะขาบปีศาจทะลึ่งตัวขึ้นในพลัน ร่างที่แนบลงกับพื้นเมื่อครู่ชูขึ้น ส่งพลังโจมตีไปยังต้นเสียงสะเทือน หากแต่ปลายทางกลับเป็นศิลาแข็งก้อนหนึ่ง มันมึนงงไปพักหนึ่งก่อนจะได้สติ

ศัตรูอยู่ไหน?

การเคลื่อนไหวมาจากทางนี้ไม่ผิดแน่ เหตุใดจึงหายไปอีกเล่า?

ความเร็วในการโจมตีของตะขาบปีศาจนั้นเร็วเกินกว่าจะหลบทัน ชิงอวี่กระโดดขึ้นไปอยู่บนยอดศิลา เหยียดแขนสองข้างออกเพื่อถ่วงสมดุล

เจ้าตะขาบพุ่งตัวเข้าชนศิลาอย่างที่นางคาดไว้ แม้ชิงอวี่จะยืนอยู่เหนือศิลาก้อนนั้นแต่มันกลับไม่รับรู้เลย

เมื่อมันไร้ตาไร้จมูก ดังนั้นจึงทำได้เพียงแนบลำตัวลงกับพื้น ใช้ร่างจับการเคลื่อนไหวจากศัตรู

เมื่อรอดูแล้วยังไร้การเคลื่อนไหวใดมันจึงเลื้อยจากไปท่าทางดูเงอะงะ หากแต่ทันใดนั้นร่างของชิงอวี่พลันซวนเซ ขาข้างหนึ่งที่นางยกค้างไว้เลื่อนลงมาแล้วกระโดดบนศิลาโดยแรง ครั้งนี้ตะขาบปีศาจฉลาดกว่าเก่า ไม่พุ่งเอาหัวชนโครมไปยังทิศที่จับสัมผัสการเคลื่อนไหวได้อีก หากแต่พ่นพิษออกมาแทน

ชิงอวี่กระโดดหลบไปยังศิลาอีกก้อน พิษที่บ่นมาถูกหินก่อเกิดเป็นฟองขึ้นมา ส่งผลให้เนื้อหินละลายลง กลายเป็นกองของเหลวกองหนึ่ง

ชิงอวี่เห็นแล้วขวัญผวา “…..” พิษร้ายแรงเหลือเกิน!

ดูท่ามันจะรู้ว่าศัตรูของมันกำลังหลอกมันไปมาจึงเริ่มเดือดดาลยิ่งนัก ปากที่รูปร่างคล้ายเกสรดอกไม้เริ่มพ่นพิษไปทั่วทิศทาง คล้ายกับว่าหากอีกฝ่ายไม่ยอมออกมาก็จะไม่ยอมหยุด

บัดซบ หากมันยังคลั่งอยู่เช่นนี้เรื่องย่อมจบไม่ดีแน่ อสูรวิญญาณจะมีพลังสูงสุดยามบ้าคลั่ง อีกทั้งอยู่ในสภาวะนี้อาจทำให้มันเลื่อนขั้นได้ด้วย

กลิ่นอายชิงอวี่ดุดันขึ้น นางเหินร่างขึ้นฟ้า นัยน์ตาแฉลบขึ้นของนางทะมึนลง จากนั้นแปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ทั้งลูกตาไม่มีส่วนใดเป็นสีขาวเหลืออยู่ ดูพิสดารพันลึก

“วิชาฝังวิญญาณ ทลายซาก!”

นางเปล่งเสียงออกมาเพียงแผ่วเบา หากแต่ผืนพสุธากลับสั่นสะเทือนสะท้านไปทั่วทุกทาง

เส้นสายสีดำพลันผุดขึ้นจากใต้ดิน บนเส้นเหล่านั้นมีหนามคมนับไม่ถ้วน ปลายเส้นสายเหล่านั้นขยับไปมาราวหนวดปลาหมึก ดูนุ่มนิ่มยืดหยุ่น ทั้งยังยืดยาวออกมาไม่หยุดหย่อน ทั้งยังแหลมคมราวใบมีด หนวดดำแต่ละเส้นทิ้งรอยแผลมากมายไว้บนร่างตะขาบปีศาจ

สิ่งที่มีค่าที่สุดในร่างตะขาบปีศาจคือโลหิตในร่างของมัน มีค่ากว่าพิษที่มันพ่นออกจากปากมากนัก หากนำมาปรุงยาพิษคงติดหนึ่งในสิบอันดับยาพิษทั้งใต้หล้า แต่หากมันหลั่งโลหิต ความร้ายแรงของพิษในร่างก็จะลดลงด้วย

เถาวัลย์หนายังคงผุดขึ้นจากพื้นไม่หยุดจนกลายเป็นกรงทรงกลมคุมขังตะขาบปีศาจไว้ภายใน เจ้าตะขาบขดตัวเป็นก้อนกลมแน่น ส่งผลให้เลือดยิ่งไหลออกมาเร็วขึ้น

ตะขาบปีศาจกรีดเสียงร้องเจ็บปวดออกมา มันพ่นพิษออกหวังจะทำลายเถาวัลย์มืดที่พันเกี่ยวจนกลายเป็นกรงขัง หากแต่เมื่อถูกทำลาย เส้นสายใหม่ก็มาแทนที่ในพลันไม่หยุดหย่อน หากฝืนโจมตีต่อไปมีแต่จะทำให้มันอ่อนแอลงเรื่อย ๆ

อาจเป็นเพราะมันตกอยู่ในสภาวะคับขัน สัญชาตญาณในการเอาตัวรอดจึงถูกปลุกให้ตื่น มันพยายามดิ้นไปมาไม่หยุด พิษที่พ่นจากปากราวกับเขื่อนแตก ไหลท่วมออกมา ทำลายกรงเถาวัลย์มืดจนกลายเป็นรู ทันในดันร่างของมันก็ใหญ่ขึ้นหนึ่งเท่า ปากที่คล้ายเกสรของมันแปรเปลี่ยนไปเป็นปากกว้างเต็มไปด้วยเขี้ยวคมราวกับเลื่อย

เด็กหนุ่มผมทองเผยนัยน์ตาเฉียบคมในพลัน “แย่ล่ะ! มันเลื่อนระดับแล้ว!”