บทที่ 111 มองไม่ออกหรือ ข้าก็จะฟาดเจ้าน่ะสิ

เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย

บทที่ 111 มองไม่ออกหรือ ข้าก็จะฟาดเจ้าน่ะสิ

“กินครั้งแรกอาจจะแปลก ๆ หน่อย เป็นรสนมที่เค็มปะแล่ม แต่กินกับผลไม้จะเข้ากันดีมากเลยนะ” จี้จือฮวนเอ่ยจบก็รอปฏิกิริยาจากเผยยวน

เพราะเขาเป็นนักชิมคนแรก ดังนั้นความเห็นของเขาจึงสำคัญมาก

ตอนที่เข้าปากครั้งแรกเผยยวนรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินจริง ๆ แต่กลิ่นหอมของนมที่เข้มข้นก็แทรกซึมไปทั่วทั้งปากในทันที มันเป็นรสชาติที่เขาไม่เคยลิ้มลองมาก่อน

เผยยวนหันหน้าไป แสงแดดนอกหน้าต่างส่องมากระทบด้านหลังของเขา ฉายแสงอันอบอุ่นออกมา

“อืม อร่อยดี ข้าคิดว่าคนที่ชอบกินของหวานต้องชอบมากแน่ ๆ เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย”

“ไม่ใช่แค่นั้นนะ กินกับไก่ทอดพวกนั้นก็อร่อยมาก” ในที่สุดจี้จือฮวนก็ยิ้มออกมาจนตาหยี

ขณะที่นางหันหน้าไปหยิบชีสออกมานั้น เผยยวนก็เอาแต่จ้องมองนาง ขนตาของเขาทั้งยาวทั้งหนา นัยน์ตาดอกท้อกระจ่างใสดั่งแสงอาทิตย์อันอบอุ่น ราวกับว่ามีดวงดาวมากมายในดวงตาคู่นั้น

เมื่อจี้จือฮวนหันหน้ามา เผยยวนก็รีบเบนสายตาหนีทันที

“รีบไปเรียกเด็ก ๆ มากินเถอะ เย็นแล้วจะไม่อร่อย”

จี้จือฮวนกำลังจะทำซาลาเปาทอด จึงยื่นชามให้กับเผยยวน ปลายนิ้วของนางยังมีความร้อนตอนทำอาหารเมื่อครู่อยู่ ทำให้หัวใจของเผยยวนอบอุ่นขึ้นมา

นางดีต่อเด็กทั้งสามคนอย่างจริงใจ ทั้งยังสอนเด็กทั้งสามคนมากมาย

เผยยวนแอบสาบานในใจว่า สักวันหนึ่งเขาจะต้องแต่งนางมาเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามประเพณีให้จงได้ และจะไม่ยอมให้ใครมารังแกนางได้อีก

เผยยวนเดินไปพลางหันหลังมามองนางเป็นระยะ จนกระทั่งไปถึงห้องโถง

อาชิงที่ป้อนอาหารลูกไก่เสร็จก็วิ่งกลับมาที่ห้องโถง “หอมจังเลย ท่านแม่ทำของอร่อยอีกแล้วใช่หรือไม่ขอรับ”

อาอินที่รองน้ำเกลือกลับมา เมื่อได้ยินเสียงก็ตะโกนขึ้นมาว่า “ท่านแม่บอกว่าเจ้าต้องล้างมือก่อนค่อยกิน”

เผยยวนมองไปที่อาชิง อาชิงรีบหดมือเล็ก ๆ กลับทันที ก่อนจะวิ่งตึงตังไปที่ด้านหลังของห้องโถง เปิดจุกไม้ออก น้ำจากภูเขาที่ใสและเย็นก็ไหลลงมา อากาศที่ร้อนระอุก็พลันเย็นสบายขึ้น

เผยยวนรู้สึกว่าแม่บ้านตัวน้อยอย่างอาอินมีความชำนาญมากขึ้นเรื่อย ๆ

“พี่ใหญ่ ป้อนข้าคำหนึ่งสิเจ้าคะ เมื่อวานท่านย่าหยางเอางามาให้ ท่านแม่ให้ข้าเอาไปตาก มือเลยไม่ว่าง”

อาอินอ้าปากออก เผยจี้ฉือรีบใช้ส้อมไม้ไผ่จิ้มใส่ปากให้นางหนึ่งอัน

“อ้าไออำอานอ่อน อ้านอ้ออ้อย ๆ อินอ้ะเอ้าอ้ะ” (ข้าไปทำงานก่อน ท่านพ่อค่อย ๆ กินนะเจ้าคะ) นางพูดโดยที่มีของกินอยู่เต็มปากขณะกำลังเดินออกไป

“อย่าเสียใจไปเลยขอรับ พวกเราไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว มีมือมีเท้า ช่วงที่ผ่านมาก็ทำงานเองมาตลอด” เผยจี้ฉือเห็นท่าทางเจ็บปวดของเผยยวน จึงได้เอ่ยปลอบ

ด้านนอก จี้จือฮวนทำอาหารเช้าเสร็จแล้ว จึงได้มากินข้าวเช้ากับสองพ่อลูก นางตั้งใจว่าวันนี้จะเข้าไปดูการค้าในตำบล และจะเอาของป่าไปขายด้วย

เผยยวนกับเผยจี้ฉืออยากตามไปด้วย นางย่อมไม่ยอมอย่างแน่นอน เพราะนางขี่ม้าไปครู่เดียวก็ถึงแล้ว หากพาคนไปด้วยก็ต้องใส่รถม้า

จ้านอิ่งถูกจูงออกมาด้วยความสะลึมสะลือ เพิ่งจะลงเนินเขามาก็มีคนเข้ามาทักทายจี้จือฮวนตลอดทาง

ชาวบ้านที่ก่อนหน้านี้แค่เห็นจี้จือฮวนก็หงุดหงิด ตอนนี้แต่ละคนกลับมีสีหน้ายิ้มแย้ม สนิทสนมราวกับเห็นนางเป็นลูกสาวของตัวเองก็มิปาน

“ฮวนฮวน ไปตำบลหรือ?”

“ใช่เจ้าค่ะ”

“เดี๋ยวข้าจะเอาเครื่องเคียงสด ๆ ไปให้ที่บ้านเจ้านะ”

“ได้เลยเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านอามากนะเจ้าคะ”

จี้จือฮวนโบกมือให้กับพวกเขา จ้านอิ่งก็วิ่งเหยาะ ๆ ไปตามคันนา จากนั้นจี้จือฮวนก็เห็นว่าเฉินเย่าจงกำลังเดินวนไปวนมาอยู่ที่ซุ้มประตูทางเข้าหมู่บ้าน

เจ้าเด็กนี่ ยังไม่ตัดใจอีกหรือ

เฉินเย่าจงเองก็เห็นจี้จือฮวนแล้วเช่นกัน เขาเบือนหน้าหนีตั้งใจจะอ้อมไปอีกทาง

จี้จือฮวนกลับไม่ยอมให้เขาไปง่าย ๆ ทว่าจ้านอิ่งกลับเอาเรื่องยิ่งกว่านางเสียอีก มันหันก้นไปทางเฉินเย่าจง ก่อนสะบัดหางใส่ด้วยท่าทางที่สนุกสนาน

เฉินเย่าจงจ้องเขม็ง “เจ้าจะทำอะไร?”

“มองไม่ออกหรือ ก็จะฟาดเจ้าน่ะสิ”

เฉินเย่าจงกลัวนางมากจริง ๆ จึงไม่กล้าปะทะกับนางตรง ๆ กลัวว่าสตรีบ้าผู้นี้จะวางแผนลอบกัดเขาอีก

ทว่าจี้จือฮวนคิดจะตีคนทั้งทียังต้องวางแผนลอบกัดอีกอย่างนั้นหรือ ที่ผ่านมานางล้วนทำอะไรซึ่ง ๆ หน้า

ดังนั้นนางจึงฟาดแส้ม้าลงไปที่ร่างของเฉินเย่าจงตรง ๆ

เฉินเย่าจงร้องออกมาทันที น้ำตาก็ไหลพรากออกมา “เจ้ากล้าทำร้ายมือของข้า มือของข้า…”

“เมื่อครู่ข้าบอกแล้วว่าจะฟาดเจ้า เจ้าไม่หลบเองจะมาโทษข้าได้อย่างไร?” จี้จือฮวนปรายตามองพลางถามออกมา “เจ้าอยากได้ชีวิตข้า แต่ข้าอยากได้แค่มือของเจ้า เจ้าได้กำไรกว่าเห็น ๆ”

“ย้าก! จี้จือฮวน ข้าจะ…” เฉินเย่าจงคำรามออกมา ผู้ชายสองสามคนที่กำลังไถดินอยู่บริเวณนั้น เมื่อได้ยินเสียงต่างก็เดินมาดูพร้อมกับจอบในมือ

“สะใภ้ตระกูลเผย เป็นอะไรอย่างนั้นหรือ เฉินเย่าจงรังแกเจ้าหรือไม่?”

“เหตุใดเจ้ายังไม่ไสหัวไปอีก ไม่งั้นพวกเราจะตีเจ้าให้ตายเลยคอยดู”

“รีบไปได้แล้ว ที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า!”

เฉินเย่าจงเห็นว่าชาวบ้านที่เคยประจบเขาในอดีต ต่างไปช่วยเหลือสตรีชั่วร้ายอย่างจี้จือฮวน จึงยกมือของตัวเองขึ้น “นางเป็นคนลงมือก่อน พวกเจ้าตาบอดหรืออย่างไรกัน?”

“ลงมือแล้วหรือ พวกเราไม่เห็นเลย”

“นั่นสิ เจ้าล้มบาดเจ็บเองแล้วใส่ร้ายคนอื่นล่ะสิไม่ว่า สะใภ้ตระกูลเผย เจ้ารีบไปเถอะ อย่าเสียเวลาเพราะคางคกเช่นนี้เลย”

จี้จือฮวนมองเฉินเย่าจงด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ขอบคุณท่านลุงและท่านอาทุกท่านมากเจ้าค่ะ ไม่อย่างนั้นถูกคนเช่นนี้รั้งไว้ ข้าคงจะลำบากมากจริง ๆ”

ในน้ำเสียงนั้นแสดงถึงความรังเกียจอย่างไม่ปิดบัง ท่าทางนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“จ้านอิ่ง ไป”

จ้านอิ่งปรายตามอง ก่อนจะสะบัดหางใส่เฉินเย่าจงอย่างดูแคลน ก่อนจะตะบึงไปทางตำบล

“มองอะไรของเจ้า สะใภ้ตระกูลเผยใช่คนที่เจ้าจะมองได้อย่างนั้นหรือ?”

“ใช่ ไม่มีมารยาทเฉกเช่นปัญญาชนเลยสักนิด”

เฉินเย่าจงกุมข้อมือเอาไว้ เขาเจ็บมือมาก มันทั้งชาทั้งเจ็บ และเขาไม่มีเรี่ยวแรงเหลือเลยสักนิด

มือของเขาจะหักไม่ได้เด็ดขาด คราวนี้ไม่ต้องให้ชาวบ้านออกปากไล่ เฉินเย่าจงก็รีบกลับไปที่ถ้ำโทรม ๆ ทันที เพราะตอนนี้คนครอบครัวเฉินล้วนอาศัยอยู่ที่นี่

เมื่อจี้จือฮวนมาถึงที่ตำบล ก็ไปส่งเนื้อตุ๋นให้จางต้าเปียวก่อน แล้วไปซื้อสินค้าใหม่บางอย่าง จากนั้นก็ไปที่เค่ออวิ๋นไหลต่อ

“ทุกวันนี้ชานมไม่พอกับความต้องการของลูกค้าแล้ว ข้าเองแค่ไม่ได้ดื่มหนึ่งวันก็รู้สึกอยากเช่นกัน เหตุใดชานมของเจ้าถึงได้กินแล้วติดแบบนี้นะ” ฮวาเซียงเซียงพูดไปก็ดีดลูกคิดไปด้วย เสียงลูกคิดจึงดังขึ้นไม่หยุด

ตอนนี้นางต้องคิดบัญชีวันละสามครั้ง นับเงินจนมือเป็นตะคริว

“ข้าเห็นว่าร้านข้าง ๆ เจ้ากำลังหาคนเช่า เจ้าช่วยถามราคาให้ข้าได้หรือไม่?” เกี่ยวกับด้านนี้จี้จือฮวนไม่มีความรู้เท่ากับฮวาเซียงเซียง

ฮวาเซียงเซียงจึงชะโงกหน้าไปมอง ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ร้านนั้นก็เป็นของข้า แม้กระทั่งร้านถัดไปอีกสองสามร้านข้าก็ซื้อขาดแล้ว ข้าปล่อยให้พวกเขาเช่า แต่กิจการพวกเขาไม่ดีจึงย้ายไป เจ้ามองหาร้าน ตั้งใจจะทำการค้าเองแล้วหรือ?”

จี้จือฮวนคิดไม่ถึงว่าฮวาเซียงเซียงจะเป็นเจ้าแม่อสังหาฯ ด้วย “เหตุใดเจ้าถึงมีเงินมากเพียงนี้กัน”

“ข้าไม่มีเงินแต่พ่อข้ามี ไม่อย่างนั้นร้านข้าที่กิจการไม่ดีจะสามารถเปิดมาได้นานขนาดนี้หรือ” ฮวาเซียงเซียงดีดลูกคิดเสร็จ ก็เลิกคิ้วขึ้น “หากเจ้าต้องการล่ะก็ ข้าจะไม่เก็บค่าเช่าเจ้า”

ฮวาเซียงเซียงเป็นคนใจกว้างอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้หม้อเหล็กรวมถึงรถเข็นคันนั้นก็ยังยกให้นางเปล่า ๆ ที่ฟุ่มเฟือยได้เป็นเพราะครอบครัวไม่ได้ขาดแคลนเงินนี่เอง

“เจ้ามีน้ำใจ ข้าไม่สามารถเอาเปรียบเจ้าได้ คิดค่าเช่าตามราคาตลาดเถอะ ข้าตั้งใจจะเปิดร้านขายน้ำแข็งแท่งกับไอศกรีม”

“อะไรนะ น้ำแข็งแท่งที่ตอนหน้าหนาวจับตัวกันอยู่ใต้ชายคาน่ะหรือ ขายสิ่งนั้นทำไมกัน ยังมีไอศกรีมอะไรนั่นอีก? ไอศกรีมมันคืออะไรกัน?”

ตั้งแต่เกิดมานางยังไม่เคยเห็นไอศกรีมมาก่อนเลย

จี้จือฮวนเห็นท่าทางของนาง ดูก็รู้ว่านางต้องคิดอะไรเลอะเทอะอยู่เป็นแน่