เนื่องจากเป็นคนที่มารดาของตนให้ความสำคัญ หวังซีจึงกล่าวเตือนสติโหวฮูหยินดีๆ “เมื่อก่อนจวนชิ่งอวิ๋นโหวก็เคยช่วยเหลือผู้อื่นเช่นนี้หรือเจ้าคะ”
โหวฮูหยินได้ยินแล้วมีชีวิตชีวา คิดว่าหวังซีเปลี่ยนความคิด ยอมออกหน้าไปหาคนตระกูลปั๋วให้นางแล้ว จึงรีบกล่าวว่า “ไม่เคย ไม่เคย เพราะฉะนั้นข้าถึงคิดว่าเส้นทางนี้มีความเป็นไปได้”
ส่วนเรื่องที่หลายปีมานี้ยิ่งอยู่ตระกูลปั๋วก็ยิ่งไม่ชอบออกหน้าช่วยเหลือคนแล้วนั้น นางย่อมไม่บอกหวังซี
หวังซีจำต้องกล่าวต่อไปว่า “เช่นนั้นท่านทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร”
โหวฮูหยินตะลึงงัน
จริงด้วย นางรู้ได้อย่างไร
คล้ายกับว่าเป็นตอนที่ไปเป็นแขกที่บ้านตระกูลหัน ตระกูลบุตรสะใภ้ของนายหญิงรองวันนั้นแล้วได้ยินใครสักคนเล่าให้ฟัง
นางนึกย้อนกลับไปด้วย เล่าเหตุการณ์ตอนนั้นให้หวังซีฟังไปด้วย กลัวว่าหวังซีจะไม่เข้าใจ ยังกล่าวด้วยว่า “เจ้าไม่เข้าใจเรื่องในราชสำนัก ทุกคนต่างปกปิดเบื้องสูงไม่ปิดบังเบื้องล่างกันทั้งนั้น ปกติเรื่องเช่นนี้ คนอย่างพวกเรานั้นผู้อื่นล้วนระแวดระวังเอาไว้สองส่วน ย่อมไม่บอกพวกเราและพวกเราเองก็ยากจะได้รู้ด้วย แต่คนอย่างตระกูลหัน ไม่จำเป็นต้องระมัดระวังอะไร ข่าวของพวกเขาจึงรวดเร็วกว่าพวกเรานัก”
ถ้าตระกูลหันทำอะไรไม่พิถีพิถันขนาดนั้นจริง ก็คงถูกฝ่ายร้องเรียนยื่นฎีกาฟ้องร้องจนล้มหายตายจากไปนานแล้ว
หวังซีพยายามควบคุมกิริยาพลางกล่าว “การขอร้องให้ผู้อื่นช่วยเหลือต้องมีการปฏิสัมพันธ์กัน โหวฮูหยินควรไปสืบดูอีกสักหน่อยหรือไม่ เพื่อมิให้ติดต่อผิดคน อย่างน้อยก็ต้องสอบถามให้กระจ่างว่าเซียงหยางโหวซื้อใจชิ่งอวิ๋นโหวอย่างไรกระมัง หากเซียงหยางไปขอร้องด้วยตัวเอง ต่อให้ข้าไปหาคุณหนูหกปั๋วและคุณชายปั๋ว แต่เกรงว่าทั้งตัวคนและวาจาก็มีน้ำหนักน้อย ไม่ได้ผลลัพธ์อะไรอยู่ดี หากแหวกหญ้าให้งูตื่น ทำให้อนาคตของพี่ชายทั้งสองสามท่านเสียหาย เช่นนั้นก็เป็นการล้มเหลวขั้นปลายสุด ได้ไม่คุ้มเสียแล้วเจ้าค่ะ”
โหวฮูหยินฟังถ้อยคำนี้แล้วไม่ค่อยยินดีนัก นายหญิงรองกลับหมุนตัวเข้าไปหา รีบจับแขนเสื้อของโหวฮูหยินเอาไว้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูต่างสกุลกล่าวมีเหตุผล เรื่องนี้พวกเราต้องไปสืบดูให้ดีก่อนจริงๆ ถึงจะถูก” จากนั้นบอกหวังซีให้รีบกลับไปอย่างอ้อมๆ ว่า “ออกไปข้างนอกมาทั้งวัน เจ้าเองก็เหน็ดเหนื่อยแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ! มีเรื่องอะไร พรุ่งนี้เช้าพวกเราค่อยคุยกันอีกที”
หวังซีรู้ว่าพวกนางอยากไล่ตนกลับไปเพื่อจะได้ปิดประตูหารือกันว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี เพราะขอร้องนางไม่เป็นผล นางจึงถามไถ่ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างยิ้มแย้มอีกสองสามประโยคแล้วลุกขึ้นขอตัวลา
พวกฮูหยินผู้เฒ่าคุยอะไรกันบ้างนั้นหวังซีไม่รู้ หวังซีเพิ่งก้าวเท้าเข้าสวนร่มหลิวหวังหมัวมัวก็ออกมาต้อนรับ ถามอย่างเป็นห่วงว่า “ท่านไปหาฮูหยินผู้เฒ่ามาใช่หรือไม่ นางได้ตำหนิอะไรท่านหรือเปล่าเจ้าคะ”
กล่าวจบ นางเผยความขุ่นเคืองออกมาให้เห็นหลายส่วน กล่าวว่า “หากคุณหนูรู้สึกไม่สบายใจ พวกเราย้ายออกไปดีกว่า หากท่านกลัวเหงา พวกเราย้ายไปอยู่ร้านขายยาเพื่อมวลชนเป็นเพื่อนท่านผู้เฒ่าเฝิงก็ได้ แต่ถ้าท่านอยากอยู่อย่างสงบ พวกเราก็ซื้อบ้านหรือไม่ก็เช่าบ้านหลังหนึ่งใกล้ๆ กัน”
สรุปแล้วก็คือ ให้คุณหนูใหญ่ของพวกนางทนทุกข์อีกไม่ได้แล้ว
วาจานี้กล่าวราวกับว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่ไว้หน้าหวังซีก็ไม่ปาน
หวังซีอดถามไม่ได้ว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ”
หวังหมัวมัวประหลาดใจ กล่าวว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ารั้งท่านไว้ไม่ได้กล่าวอะไรเลยหรือ เช้านี้หลังจากที่ท่านไปจวนชิ่งอวิ๋นโหวได้ไม่นาน องค์หญิงฟู่หยางก็มาถึง คนของคุณหนูซือจึงมาขอน้ำแข็ง ข้าทำตามที่ท่านบอกไว้ก่อนหน้านี้ บอกว่าน้ำแข็งของพวกเราจำเป็นต้องเก็บไว้ใช้เอง ไม่อาจให้ยืมได้ หมัวมัวข้างกายคุณหนูซือจึงเดือดดาลขึ้นมา ตอนนั้นข้าเถียงกับนางไปหลายประโยค บอกว่ามาเป็นแขกบ้านผู้อื่นยังต้องบอกส่งเทียบมาแจ้งล่วงหน้าก่อนสองสามวัน บ้านพวกเขามาขอยืมน้ำแข็งถึงบ้านผู้อื่นไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าสักคำเลยอย่างนั้นหรือ เอ่ยปากก็พูดทันทีเลยว่าต้องการยืมน้ำแข็ง ไร้กฎระเบียบเกินไปแล้ว…
…หมัวมัวผู้นั้นโมโห ก่นด่าพร้อมกับไปฟ้องฮูหยินผู้เฒ่า…
…ฮูหยินผู้เฒ่าจึงส่งซือหมัวมัวมา…
…เพียงแต่ว่าเนื่องจากซือหมัวมัวผู้นั้นรับเงินของพวกเราไป จึงไม่กล้าพูดอะไรมาก แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องมาไกล่เกลี่ยให้ทั้งสองฝ่าย บอกว่าช่วยนำความของฮูหยินผู้เฒ่ามาแจ้ง ทว่าความหมายโดยรวมกลับให้พวกเราทำเสมือนไม่เคยได้ยิน…
…หลังจากองค์หญิงฟู่หยางกลับไปแล้วข้าเห็นนางรออยู่ที่ประตูชั้นในตลอด คิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าต้องการรอท่านกลับมาแล้วอบรมสั่งสอนท่านเสียอีก ข้าเห็นท่านไปหาฮูหยินผู้เฒ่าก่อน มิใช่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าต้องการพูดเรื่องพวกนี้กับท่านหรอกหรือ”
“เปล่า” หวังซีบอกวัตถุประสงค์ที่ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกนางไปให้หวังหมัวมัวฟัง จากนั้นถามอย่างสนเท่ห์ว่า “แล้วหลังจากนั้นซือจูทำอย่างไร”
หวังหมัวมัวกล่าวอย่างดูแคลนว่า “จะทำอะไรได้ ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมไม่อาจปล่อยให้ซือจูมาทำขายหน้าที่จวนหย่งเฉิงโหว จึงเอาน้ำแข็งของตัวเองออกมาให้ซือจูใช้ก่อน ซือจูผู้นั้นก็ช่างหน้าใหญ่ใจโต นอกจากจะวางน้ำแข็งไว้ทั่วทั้งสี่มุมห้องโถงรับรองแขกแล้ว ยังใช้น้ำแข็งแช่ผลไม้และถั่วเขียวต้มเม็ดบัวให้องค์หญิงฟู่หยางและคนจากวังหลวงกินอีกด้วย ไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าทราบเรื่องนี้หรือไม่ หากทราบ ข้าก็ต้องชมฮูหยินผู้เฒ่าว่า ‘ใจกว้าง’ สักคำแล้ว แต่ถ้าไม่ทราบ พรุ่งนี้คงมีงิ้วให้ดูเป็นแน่”
ตอนนี้ต่อให้มีเงินก็หาซื้อน้ำแข็งไม่ได้ ฮูหยินผู้เฒ่ายกน้ำแข็งให้ซือจูใช้ ที่เรือนนางจึงมีไม่พอใช้แล้ว
นอกเสียจากว่าจะไปหยิบยืมใช้ส่วนของหย่งเฉิงโหว
หวังซียิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปากแทนซือจู หากพวกเราส่งน้ำแข็งไปให้ฮูหยินผู้เฒ่า ตัวเองก็มีไม่พอใช้แล้ว”
หวังหมัวมัวเข้าใจ พยักหน้ายิ้มๆ เอ่ยถึงเจตนาที่ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกหาหวังซีขึ้นมา กล่าวอย่างเดียดฉันท์ว่า “เห็นได้ชัดว่าพออนาคตของหลานชายมาอยู่ตรงหน้า เรื่องของคุณหนูซือก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรแล้ว”
นี่เป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์
หวังซีได้แต่หัวเราะ
หวังหมัวมัวหยิบใบรายการของขวัญของปั๋วหมิงเย่ว์มาอย่างกลัดกลุ้ม เอ่ยถามว่า “นี่ควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
“มีอะไรยุ่งยากกัน” หวังซียิ้มพลางรับใบรายการของขวัญมากวาดสายตามองครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ให้พวกไป๋กั่วมาช่วยจัดเก็บ อะไรที่อร่อยและน่าเล่นจริงๆ ก็เก็บเอาไว้ ส่วนที่ไม่อร่อยไม่น่าเล่นก็ทำเหมือนที่ผ่านมา มอบให้ผู้อื่นบ้างหรือไม่ก็ใช้ทำเป็นของขวัญตอบแทนบ้าง ย่อมมีที่ให้พวกมันไปอยู่แล้ว ส่วนด้านปั๋วหมิงเย่ว์ ข้าจะคิดหาวิธีเอง”
หวังหมัวมัวไม่เข้าใจ ไปจัดการของขวัญเหล่านั้นด้วยความงุนงง
หวังซีกลับเขียนกระดาษเล็กๆ แผ่นหนึ่ง ถามเฉินลั่วว่าควรจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี
***
ด้านจวนชิ่งอวิ๋นโหว คุณหนูหกปั๋วนึกถึงความมหัศจรรย์ของการเย็บปักแบบสู่ซิ่วที่หวังซีพูดถึง จึงไปสถานที่เก็บตำราของตระกูลปั๋ว อยากดูว่าในบ้านมีหนังสือเกี่ยวกับการเย็บปักแบบสู่ซิ่วบ้างหรือไม่
สาวใช้เด็กที่ให้การรับใช้นางมีนามว่าเสี่ยวเถา ค่อนข้างสนิทสนมกับคุณหนูหกปั๋ว
นางนึกถึงหน้าตาและกิริยามารยาทของหวังซี ในใจรู้สึกไม่ค่อยสงบนัก เห็นว่าในหอหนังสือไม่มีผู้อื่นอยู่ด้วย จึงช่วยคุณหนูหกปั๋วตรวจดูรายชื่อหนังสือไปด้วย กระซิบกล่าวหยั่งเชิงไปด้วยว่า “คุณหนูหก เหตุใดคุณชายรองตระกูลเฉินต้องช่วยคุณหนูหวังผู้นั้นด้วย คงมิใช่ว่าเขาสนใจคุณหนูหวังหรอกกระมัง เมื่อครู่ข้าได้ยินสาวใช้ในเรือนของคุณชายเจ็ดพูดกันว่า หลายวันมานี้คุณชายเจ็ดออกไปข้างนอกทุกวัน กลับมายังจับพู่กันหน้านิ่วคิ้วขมวดจนถึงถึงยามสามก็ยังไม่นอน วันนี้ยังส่งของกินของเล่นไปให้คุณหนูหวังที่จวนหย่งเฉิงโหวอีกหนึ่งคันรถด้วยเจ้าค่ะ…
…ท่านว่า คุณหนูหวังผู้นี้จะมีอะไรโดดเด่นกว่าผู้อื่นหรือไม่ เหตุใดทั้งคนนี้และคนนั้นต่างชอบนางขนาดนี้”
คุณหนูหกปั๋วได้ยินแล้วไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง กล่าวว่า “กล่าววาจาเลอะเทอะอะไร คุณชายเจ็ดชอบเล่นสนุกจนเกินความเหมาะสม พี่ชายรองเฉินก็เป็นคนเช่นนั้นด้วยหรืออย่างไร พี่ชายรองเฉินถึงกับมาขอร้องข้า เห็นได้ชัดว่าเชื่อใจข้าเป็นอย่างมาก แล้วข้าจะหักหลังความเชื่อใจของเขาได้อย่างไร…
…คำพูดพวกนี้เจ้าพูดต่อหน้าข้าก็ให้แล้วกันไป หากข้าได้ยินเจ้าเอาไปซุบซิบนินทากับผู้อื่นล่ะก็ คนเช่นนี้ข้าไม่ต้องการ เจ้ามาจากที่ใดก็จงกลับไปที่นั่นเสีย”
เสี่ยวเถาผู้นั้นเป็นลูกของบ่าวในบ้าน
นี่ถ้าถูกส่งตัวกลับไป ไม่ต้องพูดถึงครอบครัวของพวกนาง แม้แต่อาหญิงสามและน้าชายหกก็เสียหน้าไปด้วย ชีวิตนี้นางอย่าหวังจะได้เงยหน้าขึ้นมาเป็นผู้เป็นคนอีกเลย
ที่ผ่านมาคุณหนูหกปั๋วไม่เคยพูดกับนางรุนแรงเช่นนี้มาก่อน เสี่ยวเถาตกใจจนคุกเข่าเสียงดัง ตึง ลงไป กล่าวน้ำตาคลอว่า “คุณหนูหก ข้าช่างเหมือนมีน้ำมันหมูพอกหัวใจ[1] กล่าววาจาผิดไปแล้ว ต่อไปไม่กล้าทำอีกแล้วเจ้าค่ะ”
“อืม!” คุณหนูหกปั๋วพยักหน้าเบาๆ ก้มหน้าดูรายชื่อหนังสือต่อ ทว่าปลายนิ้วกลับหยุดที่หน้านั้น เนิ่นนานก็ยังไม่พลิกไปหน้าใหม่
ในใจของนางเหมือนน้ำร้อนที่กำลังเดือดปุดๆ
เฉินลั่วกับนางเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ทั้งสองคนอายุใกล้เคียงกัน สมัยเด็ก พวกผู้ใหญ่ยังเคยพูดเล่นๆ กันว่าอยากจับคู่ให้พวกเขา แต่นับตั้งแต่ฮ่องเต้ดูคลุมเครือกับเรื่องแต่งตั้งองค์ชายรองเป็นรัชทายาทเป็นต้นมา ผู้อาวุโสในบ้านก็ไม่อนุญาตให้คนในบ้านเอาชื่อของนางไปเอ่ยพ่วงกับเฉินลั่วอีก
นางรู้ดี นี่เป็นเพราะฮ่องเต้ไม่อยากให้ตระกูลของพวกนางดองกับตระกูลเฉิน แต่ตั้งแต่ต้นจนถึงปักปิ่น เรื่องงานแต่งของนางก็ยังไม่มีการกำหนดลงมา ครอบครัวพวกนางอาจมีความคิดอยากให้เฉินลั่วมาเป็นบุตรเขยของตระกูลพวกนางก็เป็นได้
นางเองก็ยินดีเช่นกัน
ไม่พูดถึงเรื่องที่เฉินลั่วหน้าตาโดดเด่นจนอาจกล่าวได้ว่ามีเพียงหนึ่งในหมื่น กระทั่งอาจมีเพียงหนึ่งในร้อยล้านด้วยซ้ำ แค่การระวังตัวไม่เข้าใกล้สตรีตามใจชอบ แค่ความฉลาดที่มองอะไรเพียงครั้งเดียวก็ทำได้แล้วเหล่านั้น คุณหนูหกปั๋วก็ยินดีรอต่อไปเรื่อยๆ แล้ว
แต่สิ่งที่นางคิดไม่ถึงเลยก็คือ เฉินลั่วที่ไม่เคยขอร้องผู้ใดมาก่อนนั้น ครั้งแรกที่ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น นอกจากจะมาขอความช่วยเหลือที่นางแล้ว ยังทำเพื่อคุณหนูต่างสกุลผู้หนึ่งของจวนหย่งเฉิงโหวที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากที่ใด และยังเป็นการช่วยเหลือคุณหนูต่างสกุลผู้นี้ออกจากปัญหาอีกด้วย
นึกถึงตรงนี้ คุณหนูหกปั๋วรู้สึกนั่งไม่ติดที่เล็กน้อย
นางอยากไปหาเฉินลั่วเพื่อสอบถามให้กระจ่างสักครั้งเหลือเกิน
แต่พวกเขาไม่ใช่เด็กกันแล้ว นางไม่อาจไปพบเฉินลั่วตามใจชอบ และเฉินลั่วเองก็ไม่อาจมาจวนชิ่งอวิ๋นโหวตามใจชอบเช่นกัน
ในหัวของนางปรากฏภาพตอนที่นางไปเรือนเย็บปักเมื่อช่วงบ่ายขึ้นมา ระหว่างที่เดินทะลุผ่านลานบ้านนั้นหวังซียื่นมือออกมาบังแสงแดดตรงหน้าผาก
มือขาวกระจ่าง เนียนละเอียด เรียวยาวและนุ่มละมุนราวกับแกะสลักมาจากหยกหินอ่อนขาว ทว่านุ่มและงดงามยิ่งกว่าหยกหินอ่อนขาวเสียอีก ภายใต้แสงอาทิตย์ทำให้มองเห็นเส้นเลือดเขียวและปลายนิ้วชมพูได้ชัดเจน
ในใจของคุณหนูหกปั๋วราวกับมีขนนกปัดผ่านกลับไปกลับมา ทำให้นางไม่อาจสงบใจลงมาได้
นางวางรายชื่อหนังสือลง อดถามเสี่ยวเถาไม่ได้ว่า “เจ้าบอกว่าพี่ชายเจ็ดส่งของกินเครื่องดื่มและของเล่นไปให้คุณหนูหวังเป็นจำนวนมาก เป็นเรื่องจริงหรือ”
เสี่ยวเถาเพิ่งจะถูกทำให้ตกใจกลัวมา ไหนเลยจะกล้าพูดเสียงดัง
“ข้าได้ยินเสียวอู่พูดเจ้าค่ะ” นางกล่าวอย่างระมัดระวัง “เสียวอู่บอกว่าของบางอย่างเขาเป็นคนไปซื้อด้วยตัวเอง เพื่อรวบรวมของหนึ่งคันรถนี้แล้ว คุณชายน้อยเจ็ดใช้เวลาร่างใบรายการไปหลายวัน ยังให้ซื้อของเล่นและเครื่องดื่มก่อน แล้วค่อยซื้อของกินเป็นลำดับสุดท้าย ไม่รู้ว่าเอาใจใส่มากมายเพียงใด!”
เอาใจใส่ก็ดี
คุณหนูหกปั๋วยิ้ม กล่าวว่า “เจ้าหาวิธีไปเอาใบรายการของขวัญที่พี่ชายเจ็ดส่งไปให้คุณหนูหวังมาหนึ่งฉบับ”
นางจะเอาไปให้ฮูหยินผู้เฒ่าดู
พอฮูหยินผู้เฒ่าดีใจ ไม่แน่ว่าอาจจะสู่ขอภรรยามาให้พี่ชายเจ็ดของนางสักคนก็ได้ นี่ก็นับเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง
เสี่ยวเถารับคำ “เจ้าค่ะ” อย่างนอบน้อม แล้วถอยออกไป
คุณหนูหกปั๋วนั่งอยู่ในหอหนังสือเงียบๆ เพียงลำพัง ดมกลิ่นหมึกอันเป็นเอกลักษณ์ของหอหนังสือ คิดคำนวณว่าหวังซีจะเชิญแขกเมื่อใด ถึงเวลานางควรส่งของขวัญอะไรไปให้ ถ้าหากหวังซีไม่ส่งเทียบเชิญมาให้นาง นางควรทำหน้าหนาไปอาศัยรถม้าของอู๋จู๋ คุณหนูรองตระกูลอู๋ตรงไปเองเลยดีหรือไม่ หรือควรหลอกล่อลู่หลิงของจวนเจียงชวนป๋อให้พานางร่วมทางไปด้วยดี…
นางคิดว่านางต้องไปหยั่งเชิงเจตนาของมารดานางดูสักหน่อย
ถึงแม้นางจะยินดีรอเฉินลั่ว แต่ก็ต้องมั่นใจว่าเป็นคนที่นางรอแล้วจะได้มาจริงๆ ถึงจะใช้การได้
คุณหนูหกปั๋วเผยรอยยิ้มหวานงดงามออกมา ก่อนไปเรือนหลักของจวนชิ่งอวิ๋นโหว
………………………………………………………………………..
[1] น้ำมันหมูพอกหัวใจ กล่าวถึงคนที่มองปัญหาเพียงผิวเผิน ผู้อื่นว่าอย่างไรก็เฮโลตามนั้น ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง
ตอนต่อไป