ที่ทำการของกองพลสี่ม้าทะยานตั้งอยู่ที่ห้องปีกของพระที่นั่งอู่อิง ทั้งเล็กและแคบ แต่เมื่อเดินทะลุผ่านประตูกลางด้านขวาไปก็ถึงพระตำหนักเฉียนชิงแล้ว สะดวกสบายต่อการทำงานมาก

ตอนที่เฉินลั่วได้รับกระดาษแผ่นเล็กของหวังซีนั้น กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแขนหลังโต๊ะหนังสือตัวใหญ่ในห้องทำงาน กำลังกังวลเรื่องจะไปหาหน่อไม้น้ำจากที่ไหนดีอยู่ เมื่อรับกระดาษมาอ่านแล้ว อารมณ์พลันเดือดเป็นไฟขึ้นมา

เขายุ่งจนหัวหมุน ปั๋วหมิงเย่ว์ยังมีแก่ใจไปตอแยหวังซีอีก

เฉินลั่วตะโกนเรียกผู้ใต้บังคับบัญชาผู้หนึ่งของเขานามเว่ยไหวเข้ามา กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ได้ยินว่าช่วงนี้ปั๋วหมิงเย่ว์กำลังยุ่งอยู่กับการทำเครื่องหอม ไม่รู้ว่าเขาจะเอาไปประจบผู้ใด พวกเจ้าจับตาดูเขาไว้สักหน่อย อย่าให้เครื่องหอมหนึ่งชุดส่งให้คนสองบ้านเป็นดี”

เว่ยไหวผู้นี้ก็เป็นบุตรหลานจากตระกูลที่มีคุณงามความดีเช่นกัน วิทยายุทธ์และความสามารถล้วนอยู่ในกลุ่มยอดเยี่ยม นิสัยค่อนข้างตรงไปตรงมา ถึงแม้อายุมากกว่าเฉินลั่วสองถึงสามปี แต่เนื่องจากในบ้านมีบุตรชายมาก เขามิใช่ทั้งบุตรชายคนโตและบุตรชายคนเล็ก ผู้อาวุโสในบ้านจึงดูแลได้ไม่ทั่วถึง เขาจำต้องไขว่คว้าหาอนาคตของตัวเอง ด้วยเหตุนี้จึงคิดจะเดินในเส้นสายของเฉินลั่ว เขากับเฉินลั่วไม่เพียงมีความสัมพันธ์ดีมากเท่านั้น ปกติยามมีเรื่องอะไรก็ยินดีไปจัดการให้เฉินลั่วด้วย

เขาได้ยินถ้อยคำดังกล่าวก็เข้าใจความขุ่นแค้นส่วนตัวนี้แล้ว จงใจหันไปยิ้มชั่วร้ายให้เฉินลั่วพลางกล่าว “ต้องการให้ท่านรองปั๋วทราบเรื่องหรือไม่ขอรับ”

ตระกูลปั๋วมีคนเป็นขุนนางอยู่ในราชสำนักจำนวนมาก จึงจำต้องเรียกขานบุตรหลานจากตระกูลพวกเขาด้วยชื่อตำแหน่ง

ท่านรองปั๋วคือพี่ชายรองของปั๋วหมิงเย่ว์ เป็่นบัณฑิตสายบุ๋นทว่าเดินเส้นทางของขุนนางฝ่ายทหาร เปรียบเทียบกับชิ่งอวิ๋นโหวซื่อจื่อที่เอาแต่ติดตามอยู่ข้างกายบิดาไปเข้าสังคมแล้ว เขาดูเหมือนพี่ชายคนโตมากกว่า ไม่เพียงชอบดูแลเรื่องการเรียนของน้องชายน้องสาวเท่านั้น ยังชอบกำกับดูแลพฤติกรรมของพวกเขาด้วย พวกปั๋วหมิงเย่ว์จึงเกรงกลัวเขามากกว่า

เฉินลั่วกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “ในเมื่อให้เจ้าจับตาดูเอาไว้ หากคนตระกูลปั๋วไม่ทราบเรื่องจะมีความหมายอะไร!”

ขุดหลุมให้ปั๋วหมิงเย่ว์ต้องขุดให้ได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่ตระการตา!

เว่ยไหวเข้าใจ กล่าวยิ้มๆ อย่างอันธพาลว่า “ท่านวางใจ รับประกันว่าต่อให้ไม่มีเรื่องอะไรก็หาเรื่องออกมาจนได้”

ความหมายนี้แหละที่ต้องการ

เฉินลั่วพยักหน้า รอเว่ยไหวออกไปแล้วก็ไปหาสือเหล่ย

สือเหล่ยกำลังกุมขมับอยู่ในห้องทำงาน

ที่ฮ่องเต้ให้เฉินลั่วเดินทางไปหมิ่นหนานหมายความว่าอย่างไรกันแน่

ตระกูลสือของพวกเขารับใช้อยู่ทางใต้มาหลายชั่วอายุคน จริงๆ พอจะเป็นตระกูลทรงอิทธิพลและมั่งคั่งอยู่บ้างแล้ว ที่น้องชายสามของเขาไม่ได้เลื่อนตำแหน่งเสียทีก็เพราะฮ่องเต้ประสงค์กดทับตระกูลของพวกเขาเอาไว้ แต่ตระกูลของพวกเขาก็ไม่ได้ร้อนใจมาก ประการแรกเป็นเพราะคนที่น้องชายสามของเขาติดตามอยู่คือเหยียนเจิ้ง ด้วยความสามารถของเหยียนเจิ้งแล้ว ช้าเร็วก็รุ่งโรจน์ขึ้นมาอยู่ดี อนาคตของน้องชายสามของเขาจึงไม่หนีหายไปไหน ประการที่สอง พวกเขาสามพี่น้องโดดเด่นสะดุดตามากเกินไปจริงๆ ฮ่องเต้จึงต้องกดทับเอาไว้ รอให้ถึงโอกาสเหมาะสมแล้วค่อยพระราชทานเมตตาลงมา ให้ตระกูลของพวกเขาได้รู้ว่าอะไรคือฟ้าคำรามอะไรคือหยาดฝนโปรยปรายได้ชัดเจนขึ้น ต่อไปจะทำอะไรก็จะได้จงรักภักดีต่อเบื้องบนมากยิ่งขึ้น ก็ถือเป็นกลยุทธ์หนึ่งของฮ่องเต้

แต่การที่มีเฉินลั่วโผล่ออกมาอย่างกะทันหัน สถานการณ์ของจวนเจิ้นกั๋วกงก็เป็นเช่นนั้น หรือฮ่องเต้ต้องการหนุนหลังเฉินลั่ว? บีบบังคับให้เจิ้นกั๋วกงแต่งตั้งเฉินลั่วเป็นซื่อจื่อ?

ลุงสนับสนุนหลานชาย นี่เป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ แต่ถ้าเครื่องบูชายัญที่ต้องสละคืออนาคตของน้องชายเขา คนที่ถูกเลือกเป็นเครื่องบูชายัญจะไม่เสียใจได้อย่างไร

เขาควรเขียนจดหมายสักฉบับไปขอความเห็นจากเหยียนเจิ้งหรือควรเขียนจดหมายไปให้น้องชายสามสักฉบับ ให้หลีกทางให้เฉินลั่วและใช้เรื่องนี้ทำให้ฮ่องเต้รู้สึกผิด เพื่อหน้าที่การงานในอนาคต?

สือเหล่ยยังตัดสินใจไม่ได้ ทว่าเฉินลั่วกลับมาหาเขาก่อนแล้ว

เขาตกใจเป็นอย่างมาก จัดชุดขุนนางใหม่อีกครั้งตามสัญชาตญาณแล้วถึงได้ออกไปพบเฉินลั่ว

ไม่เสียแรงที่เฉินลั่วได้รับการขนานนามว่าเป็นบุรุษรูปงามของจิงเฉิง ชุดอี้ส่านคอป้ายด้านล่างเป็นกระโปรงจีบสีแดงสดทอลายสีทองหรูหรา เขาสวมใส่ออกมาแล้วให้ความรู้สึกองอาจกล้าหาญดังวีรบุรุษ ทำให้คนข้างกายของเขาดูอึดอัดกลายเป็นเพชรพลอยขนาบข้างไปเสีย

สือเหล่ยกระแอมไอเบาๆ เสียงหนึ่ง ถึงได้ถามถึงวัตถุประสงค์การมาของเฉินลั่ว

เฉินลั่วขอให้เขาช่วยหาหน่อไม้น้ำมาให้สักเล็กน้อย กล่าวอธิบายอย่างกระดากอายว่า “อีกไม่กี่วันข้าต้องการเชิญแขกมากินข้าว”

สือเหล่ยตะลึงงัน ครู่ใหญ่กว่าจะได้สติคืนกลับมา ทำการขบคิดอยู่ในใจอย่างรวดเร็ว

ถึงเขาจะเป็นคนทางใต้ แต่ขุนนางจากทางใต้ในราชสำนักก็มีมากมาย เฉินลั่วไม่ไปหาซูถง ผู้บังคับบัญชากองพลอาชาหาญซ้ายสหายร่วมกองพลของเฉินลั่วที่เป็นคนจินหลิงกลับมาถามเขาแทน?

เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาอื่นแอบแฝงอยู่!

เขารับมืออย่างระมัดระวัง ทว่าไม่แสดงออกทางสีหน้าแม้แต่นิดเดียว ยังหัวเราะเสียงดังหลายเสียงอีกด้วย กล่าวว่า “ใต้เท้าเฉินท่านอย่าว่าข้าเลย นี่หากมิใช่เพราะรู้อยู่แล้ว ต้องรู้สึกว่านี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย สมควรรับปากทันทีไปแล้ว แต่เรื่องนี้…ข้าไม่กล้ารับปากจริงๆ! ข้าคิดว่า มิสู้ท่านให้ข้าหาหน่อไม้น้ำทองคำที่เหมือนกันทุกอย่างมาให้ท่านน่าจะง่ายกว่า!”

นี่กำลังบอกเป็นนัยถึงเรื่อง ‘ชามข้าวทองคำ’ กระมัง

เฉินลั่วขมวดคิ้วเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น

สถานการณ์รุดหน้าไปในทิศทางร้ายอย่างที่คาดเอาไว้จริงๆ

เขากล่าว “ข้าเองก็เป็นดั่งคนป่วยสิ้นหวังที่ยอมไปหาหมอทุกที่ หากใต้เท้าสือลำบากใจจริงๆ ข้าไปสอบถามใต้เท้าซูดูก็ได้ ทางนี้ ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว” กล่าวจบ เฉินลั่วลุกขึ้นหมายจะเดินจากไป

สือเหล่ยไม่ทันได้เตรียมตัว รีบกล่าว “เจ้าเองก็อย่าเพิ่งใจร้อน! เรื่องหน่อไม้น้ำอะไรพวกนี้ข้ารู้เรื่องที่ไหนกัน เจ้าต้องให้ข้ากลับไปถามภรรยาที่บ้านดูก่อนกระมัง”

เฉินลั่วโบกมือ กล่าวว่า “ถามมากความคาดหวังก็มาก หากมิใช่เพราะข้าไม่คิดจะเดินทางไปหมิ่นหนานล่ะก็ เกรงว่าคงลากหน่อไม้น้ำนี้กลับมาหนึ่งคันรถไปแล้ว”

สือเหล่ยเบื้อใบ้

เฉินลั่วออกจากประตูไปแล้ว

กว่าเขาจะเข้าใจว่าเฉินลั่วหมายถึงอะไรและตอนไล่ตามออกมานั้น ก็ไม่เห็นเงาของเฉินลั่วแล้ว

เฉินลั่วที่กลับมาถึงที่ทำการกลับนั่งไม่ติดที่เล็กน้อย เห็นว่าใกล้ถึงเวลาเลิกงานแล้ว เขาหาข้ออ้างหนึ่งออกจากพระที่นั่งอู่อิงก่อนเวลา สั่งการคนขับรถม้าว่า “ไปซอยลิ่วเถียว”

เพียงแต่ว่าเพิ่งสั่งการเสร็จ เขาก็เปลี่ยนความคิด

เขาจะไปทำอะไรที่ซอยลิ่วเถียว หวังซีไม่ได้อยู่ที่นั่นเสียหน่อย

ปั๋วหมิงเย่ว์ส่งของไปให้นางอย่างเอิกเกริกเช่นนี้ ไม่รู้ว่าผู้อื่นรู้แล้วจะพูดอะไรกันบ้าง ชีวิตของนางต้องไม่สงบสุขแน่ อาจจะรู้สึกหวาดกลัวและเป็นกังวลมากก็เป็นได้?

เขาพลันรู้สึกว่าการที่หวังซีอาศัยอยู่ที่จวนหย่งเฉิงโหวไม่ใช่เรื่องดีนัก

“กลับจวนจ่างกงจู่!” เฉินลั่วสั่งการคนขับรถม้าเสียงเคร่ง

***

สิ่งแรกที่หวังซีทำหลังจากตื่นเช้าขึ้นมาคือไปถามหวังหมัวมัวว่าทางด้านฮูหยินผู้เฒ่ามีความเคลื่อนไหวอะไรบ้างหรือไม่

หวังหมัวมัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “เมื่อคืนกว่าโหวฮูหยินกับนายหญิงรองจะออกจากเรือนหยกวสันต์ก็ดึกมากแล้ว โหวฮูหยินแวะสวนร่มวสันต์ ส่วนนายหญิงรองตรงกลับสวนกล้วยไม้เลยเจ้าค่ะ”

คุณหนูพานพักอยู่ที่สวนร่มวสันต์

คิดไม่ถึงว่าเมื่อมีปัญหาโหวฮูหยินจะไปขอความเห็นจากคุณหนูพาน!

หวังซีพยักหน้า กล่าวว่า “หวังว่าในบรรดาพวกนางจะมีคนฉลาดสักคนหนึ่ง”

อย่าคาดหวังว่ารู้จักปั๋วหมิงเย่ว์แล้วจะขอผลประโยชน์อะไรได้

หวังหมัวมัวเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ลดเสียงลงกล่าวกับนางว่า “เช้าตรู่วันนี้ข้าจงใจไปเอาซาลาเปาและหมานโถวที่เรือนครัวเป็นการเฉพาะ ระหว่างทางเจอพานหมัวมัวคนข้างกายของโหวฮูหยิน ข้าบอกนางว่า คนจวนเซียงหยางโหวนั้นเชื่อใจไม่ได้ ดูจากท่าทางของพวกเขาในงานเลี้ยงของจ่างกงจู่ก็รู้แล้ว”

นี่ก็จริง

หวังซีรีบถาม “แล้วพานหมัวมัวว่าอย่างไร”

“นางราวกับจมอยู่ในภวังค์ความคิด น่าจะฟังสิ่งที่ข้าบอกไปอยู่กระมัง” หวังหมัวมัวกล่าว ช่วยเกล้าผมให้หวังซี

หวังซีให้นางเกล้าผมให้มาตั้งแต่เด็ก เพียงแต่ว่านางอายุมากแล้ว เรื่องที่หวังหมัวมัวต้องดูแลก็มีมากขึ้น ถึงได้ค่อยๆ มอบหมายให้ผู้อื่นทำแทน แต่บางครั้งหวังหมัวมัวก็ช่วยเกล้าผมให้นางเป็นครั้งคราวเช่นกัน

นางช่วยเกล้าผมให้หวังซีเป็นมวยตกหลังม้าอันสลับซับซ้อน ไป๋จื่อยังไปเด็ดดอกมะลิในสวนมาจำนวนมาก กึ่งหนึ่งปักไว้บนเรือนผมของหวังซี อีกกึ่งหนึ่งนำมาร้อยมาลัยกับสาวใช้เด็กอีกสองสามคน บ้างเอาไปแขวนไว้ในม่านเตียงของหวังซี บ้างมอบให้ผู้อื่นเอาไปห้อยไว้ตรงกระดุมเสื้อ

ตอนฉังเคอเข้ามา ได้กลิ่นดอกมะลิอบอวลเต็มห้อง

ไป๋จื่อจึงช่วยปักดอกมะลิให้ฉังเคอสองช่อ

ทั้งสองคนนั่งอยู่ใต้ชายคา ดื่มน้ำบ๊วยเปรี้ยวที่ผ่านการแช่ในบ่อน้ำมาแล้วไปด้วย กินขนมหนวดมังกรและขนมงาที่ปั๋วหมิงเย่ว์ส่งมาให้ไปด้วย กำหนดวันเชิญแขกและรายชื่อแขกจนแล้วเสร็จ

ฉังเคอกล่าว “เกรงว่ายังต้องขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าช่วยยืมตัวพ่อบ้านแม่บ้านที่มีอำนาจในบ้านนำเทียบเชิญไปส่งให้”

หวังซีมีวิธีของตัวเอง

เนื่องจากนางรับปากว่าจะช่วยจัดการธุระให้เฉินลั่ว บางเรื่องจึงไม่อาจขอให้ผู้อื่นช่วยเหลือทั้งหมด ต้องถอนรากถอนโคนออกมาจัดการให้ดีถึงจะถูก นางตั้งใจจะเชิญซือหมัวมัวหรือไม่ก็พานหมัวมัวช่วยออกหน้า แล้วให้หวังหมัวมัวติดตามไปส่งเทียบเชิญด้วย

นางกับฉังเคอไปหาฮูหยินผู้เฒ่า

เมื่อวานฮูหยินผู้เฒ่าถูกหวังซีปฏิเสธ ในใจยังขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย ประกอบกับได้ฟังถ้อยคำพร่ำบ่นของซือจู ยามเห็นหวังซีจึงไม่ได้กระตือรือร้นเหมือนปกติ

หวังซีไม่ใส่ใจ

นางมิได้เติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูของฮูหยินผู้เฒ่า เป็นธรรมดาที่ฮูหยินผู้เฒ่าจะมิได้รู้สึกรักใคร่นางอย่างลึกซึ้ง

กลับเป็นมิตรอย่างฉังเคอผู้นี้ที่นับวันยิ่งเฉลียวฉลาดมีไหวพริบมากขึ้น ตอนที่หวังซีกำลังคุยเรื่องนี้กับฮูหยินผู้เฒ่าอยู่นั้น นางยืนบีบนวดไหล่ให้ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ข้างๆ อย่างขะมักเขม้น ยังช่วยพูดเสริมให้บ่อยๆ สองประโยคด้วย “คุณหนูหกปั๋วต้องมาร่วมงานด้วยอย่างแน่นอน…ยังมีคุณหนูรองอู๋…คุณหนูลู่ก็บอกแล้วว่าหากน้องสาวสกุลหวังไม่เชิญนาง ต่อไปนางจะไม่สนใจน้องสาวสกุลหวังอีก…ถึงแม้จะเทียบองค์หญิงฟู่หยางไม่ได้ แต่ทุกคนล้วนเป็นคนระดับบนๆ ของจิงเฉิงทั้งสิ้น หากมีอะไรไม่น่าฟังเผยแพร่ออกไป ร้ายแรงกว่าการทำให้องค์หญิงฟู่หยางขุ่นเคืองใจอีกเจ้าค่ะ…องค์หญิงฟู่หยางไม่พอใจ ก็แค่พูดอยู่ในวังหลวงเท่านั้น แต่ถ้าพวกนางไม่พอใจ เกรงว่าชื่อเสียงของจวนพวกเราคงต้องเสียหายไปด้วย…จวนของพวกเราเองก็ไม่ได้เชิญใครมาเป็นแขกนานแล้ว…”

ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วค่อยๆ เปลี่ยนท่าที นอกจากรับปากให้ซือหมัวมัวพาหวังหมัวมัวไปส่งเทียบเชิญและให้พานหมัวมัวเป็นคนนำไป๋กั่วจัดการเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานเลี้ยงในวันนั้นแล้ว ยังให้ซือหมัวมัวเปิดห้องเก็บของด้วย “ถ้วยชามชุดน้ำชาในงานเลี้ยงก็ใช้เครื่องถ้วยชามกระเบื้องขาวชุดนั้น”

นี่เป็นถ้วยชามชุดน้ำชาที่ใช้รับรององค์หญิงฟู่หยางในวันนั้น

ซือหมัวมัวมองฉังเคออย่างมีนัยแฝงครั้งหนึ่ง ถึงได้ยิ้มร่ารับกุญแจไป

ฉังเคอไม่ได้สังเกตซือหมัวมัว นางกำลังดีใจที่ตัวเองช่วยเหลือหวังซีได้หนึ่งเรื่อง ออกจากเรือนหยกวสันต์แล้ว ยิ้มหัวกับหวังซีไปตลอดทางที่เดินกลับสวนร่มหลิว

ไป๋ซู่ที่ออกมาต้อนรับพวกนางมองหวังซีด้วยแววตาซับซ้อนเล็กน้อย กระทั่งฉังเคออยู่รับมื้อเย็นและดื่มชาที่สวนร่มหลิวเสร็จกลับเรือนตัวเองไปแล้ว นางถึงได้เดินมาข้างๆ หวังซีอย่างเบามือเบาเท้า กระซิบกล่าวว่า “ใต้เท้าเฉินให้หวังสี่ส่งขนมจำนวนมากมาให้ท่าน ยังบอกด้วยว่า กินขนมแล้วจะได้อารมณ์ดีขึ้น”

หวังซีประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง แต่เฉินลั่วส่งขนมมาให้นาง นางก็ดีใจมากจริงๆ ดีใจมากถึงขั้นว่ามีความคาดหวังและตั้งตารอคอยแฝงอยู่ด้วยหลายส่วนที่แม้แต่นางเองก็ไม่รู้ตัว “จริงหรือ เขาส่งขนมอะไรมาให้บ้าง แล้วขนมเล่า อยู่ที่ไหน”

ไป๋ซู่ไปหอบขนมเข้ามา

ถึงจะเป็นแค่ผลไม้แห้งสี่ห่อ ขนมสี่ห่อ ขนมน้ำตาลสี่ห่อและผลไม้อีกสี่ห่อเท่านั้นก็ตาม ทว่าล้วนเป็นขนมจากร้านเก่าแก่ของจิงเฉิงอย่างร้านเจกุ้ยซุ่นทั้งสิ้น

หวังซีแกะกระดาษห่อขนมอย่างกระตือรือร้นและมีชีวิตชีวา

ผลไม้แห้งมีมันฮ่อ ลำไย เมล็ดซิ่งแห้งและพุทราเชื่อมน้ำผึ้ง ขนมมีขนมถั่วลันเตาเหลือง ขนมปุยเมฆแผ่น ขนมลาม้วนตัวและขนมฝูหลิง ขนมน้ำตาลมีขนมงาแท่ง ขนมถั่วแท่ง ขนมหนังวัวและขนมรังไหม ส่วนผลไม้มีลูกไหน ลูกหยางเหมย ลูกซิ่งและลูกไห่ถัง

“มีขนมหนังวัวด้วย! แล้วก็มีลูกไห่ถังด้วย!” นางร้องอย่างตื่นเต้นดีใจ ความสุขบนใบหน้าหลั่งออกมาอย่างระงับไว้ไม่อยู่