ตอนที่ 101 ชั่งน้ำหนัก

เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล

ตอนเป็นเด็ก หมัวมัวที่ดูแลเรื่องในบ้านสกุลหวังไม่อนุญาตให้หวังซีกินของหวานช่วงเวลาเย็นมากเกินไป ประการแรกเพราะไม่ดีต่อฟัน ประการที่สองเพราะทำให้อ้วนง่าย นานวันเข้า หวังซีก็ชินกับนิสัยนี้ไปแล้ว แต่วันนี้เมื่อนางได้รับขนมหนังวัวที่เฉินลั่วส่งมาให้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่สมควร แต่ก็ยังกินติดกันหลายชิ้นถึงได้ไปบ้วนปากและขึ้นเตียงไปพักผ่อนอย่างเบิกบานใจ

ทว่าชีวิตของปั๋วหมิงเย่ว์กลับไม่ค่อยราบรื่นนัก

เขาไม่เข้าใจ เขาตรวจสอบที่มาของธูปหอมนั่นมาร่วมเดือนทุกอย่างล้วนเงียบเชียบไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรสักอย่าง เหตุใดเพียงหนึ่งข้ามคืน นอกจากทุกคนจะรู้ว่าเขากำลังหาคนช่วยทำเครื่องหอมให้แล้ว ข่าวยังแพร่ไปถึงหูพี่ชายรองของเขาอีกด้วย พูดอะไรทำนองว่าระยะนี้เขาตามหาอาจารย์ผสมเครื่องหอมไปทั่วทุกที่เพื่อขอเรียนการผสมเครื่องหอมเพราะต้องการแข่งเครื่องหอมกับคนอื่น และเอาไปประจบเอาใจหญิงคณิกาเหล่านั้น เป็นเหตุให้พี่ชายรองของเขาเรียกเขาไปอบรมอย่างรุนแรงหนึ่งคำรบ แม้แต่ท่านย่าของเขาก็ตกใจ รั้งให้เขาอยู่รับมื้อเย็นด้วย พยายามถามเขาอย่างอ้อมค้อมว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร

ปั๋วหมิงเย่ว์คงไม่อาจพูดว่าเขาลอบรู้สึกอยู่รางๆ ว่าธูปหอมใหม่ที่ใช้ในพระตำหนักเฉียนชิงมีปัญหาหรอกกระมัง

นอกจากไม่มีหลักฐานแล้ว เขายังกลัวว่าตัวเองเข้าใจผิดได้ยินสายลมเป็นเสียงฝน ทำร้ายจิตใจของท่านป้าที่รักใคร่เขามากที่สุด

แต่เขาคิดว่าควรเตือนองค์ชายรองสักสองสามประโยค

ตอนฮูหยินผู้เฒ่าถามเขา เขาใจลอยเล็กน้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้ กระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะคิกของน้องสาวหกของเขา และกล่าวล้อเลียนเขาว่า เกรงว่าคงเป็นเพราะอาย เขาถึงได้สติคืนกลับมา ใช้สายตาเหลอหลาส่งสัญญาณให้หมัวมัวคนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่ารีบหาทางอธิบายเรื่องราวให้เขาฟัง

หมัวมัวผู้นั้นย่อมไม่มีทางทำให้หลานชายอันเป็นที่รักคนที่ฮูหยินผู้เฒ่าโปรดปรานที่สุดขุ่นเคือง รีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “ต้องบอกว่า ควรตำหนิคนจวนหย่งเฉิงโหวที่เหลาะแหละมากเกินไป งานแต่งของบุตรชายหญิงเป็นเรื่องใหญ่ ผู้ใดมิใช่ของมีค่าที่ถนอมไว้ในปากประคองไว้ในมือบ้าง ใครจะยอมก้มศีรษะให้ต่ำกว่าผู้อื่นกัน ต่อให้หมั้นหมายกันแล้ว ยังต้องคำนึงถึงเกียรติของบุตรชายหญิง ต้องปิดบังไว้หนึ่งถึงสองส่วน มีเพียงจวนหย่งเฉิงโหวเท่านั้นแล้ว เพิ่งจะส่งคนไปหยั่งเชิงเสียงหนึ่ง พวกเขาก็ป่าวประกาศจนทุกคนต่างรับรู้กันทั่ว จะกล่าวโทษว่าคุณชายเจ็ดทำลายเกียรติของพวกเขาได้อย่างไร”

ปั๋วหมิงเย่ว์จึงรู้ว่าท่านย่าและน้องสาวหกของเขากำลังคุยอะไรกันอยู่

อย่างไรก็ตาม ใครเป็นคนเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน?

เรื่องที่เขาส่งของไปให้หวังซีนั้นเขาไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังใคร เพราะตามปกติแล้วขอเพียงมิใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ก็ไม่มีใครเอาไปเล่าให้ท่านย่าของเขาฟังตามใจชอบอยู่แล้ว

ปกติน้องสาวหกทำอะไรสุขุมและชัดเจน ดูไม่เหมือนเป็นคนเช่นนี้นี่นา

เขาส่งสายตาให้หมัวมัวคนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่าอีกครั้ง

หมัวมัวผู้นั้นเข้าใจ แง้มเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่ากับคุณหนูหกปั๋วกำลังคุยกันอยู่ให้เขาฟังต่อ “ข่าวลือที่ส่งต่อๆ กันไปนี้ ไม่รู้ว่าจวนหย่งเฉิงโหวได้ยินส่วนไหนบ้าง ท่านโหวปกครองเรือนอย่างเข้มงวดมาตลอด คุณชายเจ็ดส่งของไปให้คุณหนูหวังผู้นั้นเล็กน้อยเป็นการขอโทษ ก็นับเป็นน้ำใจที่คนถือปฏิบัติกัน ข้ากลับรู้สึกว่าคุณชายเจ็ดน่าเลื่อมใส มีจิตวิญญาณของบุรุษดีงาม!”

กล่าวชมจนปั๋วหมิงเย่ว์เองยังอยากเชื่อ ยืดตัวตรงขึ้นหลายส่วน

ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะร่า พูดถึงเรื่องงานแต่งของปั๋วหมิงเย่ว์ต่อ “พรหมลิขิตเป็นสิ่งที่คนกำหนดให้ชัดเจนได้ยากเป็นที่สุด มีคำกล่าวว่า ‘รักแท้มักมีอุปสรรค’ มิใช่หรือ หากเจ้ากับคุณหนูหวังมีบุญวาสนาต่อกันจริง ย่อมมีโอกาสได้พบกันอีก ไม่ต้องรีบร้อน!”

ประโยคสุดท้ายแฝงน้ำเสียงหยอกเย้าเอาไว้

ปั๋วหมิงเย่ว์หน้าแดงก่ำ ปรับท่านั่งเล็กน้อยอย่างอึดอัด

เขามีความรู้สึกดีต่อหวังซีอยู่บ้างจริงๆ ที่ส่งของไปให้ก็มีความคิดอยากหยั่งเชิงอยู่ด้วย ส่วนเรื่องจะสานต่อหรือไม่นั้น เขายังไม่แน่ใจ แต่เขารู้เรื่องที่หวังซีเคยไปส่งท่านหมอเฝิง ผู้อาวุโสที่เป็นสหายสนิทเก่าแก่ของครอบครัวไปขอคำชี้แนะการทำเครื่องหอมกับเฉาอวิ๋นที่วัดต้าเจวี๋ยมาก่อน เขาจึงคิดว่าหากทำให้หวังซีไปพบท่านหมอเฝิงเป็นเพื่อนเขา ทำให้ท่านหมอเฝิงชี้แนะเขาหรือไม่ก็แนะนำคนที่ช่วยเหลือเขาได้สักคนหนึ่งก็ไม่เลวเหมือนกัน

ส่วนสาเหตุที่เขาไม่ตรงไปหาเฉาอวิ๋นเลยนั้น เขาคิดว่าเป็นเพราะวันนั้นเฉินลั่วเองก็อยู่ด้วย หากเขาตรงไปหาเฉาอวิ๋นเลย มิเท่ากับปล่อยให้เฉินลั่วรู้ว่าเขากำลังทำอยู่หรอกหรือ

หากปล่อยให้เฉินลั่วจับตาดู ด้วยนิสัยของเฉินลั่วแล้ว ต่อให้ไม่บอกฮ่องเต้ก็ต้องต่อว่าเขาว่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ต่อหน้าองค์ชายรองเป็นแน่ และองค์ชายรองก็เชื่อเฉินลั่วมากกว่าเขา…

เพราะปั๋วหมิงเย่ว์เป็นห่วงฮองเฮาเหนียงเหนียงและองค์ชายรอง ความรู้สึกที่ลึกไปกว่านี้ เขาจึงไม่ได้ไปคิดอย่างละเอียด อีกนัยหนึ่งก็พยายามปฏิเสธที่จะคิดด้วย

บางอย่างจึงปล่อยให้มันจากไปอย่างเงียบๆ เช่นนี้

และเขาในเวลานี้คิดเพียงว่าต้องกล่าวชมหมัวมัวข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าท่านนี้ดีๆ สักครั้ง ไม่เสียแรงที่เห็นเขาโตมาตั้งแต่เด็ก ไม่เสียแรงที่เป็นคนสนิทที่ฮูหยินผู้เฒ่าไว้วางใจ วาจาและกิริยาล้วนงดงาม

เขารีบกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าว่า “ท่านอย่าล้อข้าอีกเลย หากข้าจะหาภรรยา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องกตัญญูต่อท่านย่า ท่านย่าชอบข้าถึงจะแต่งด้วย หากท่านย่าไม่ชอบข้าก็ไม่มีทางชอบเหมือนกัน”

ฮูหยินผู้เฒ่าถูกเขาเย้าเอาใจจนหัวเราะหน้าบาน มีใจอยากเป็นแม่สื่อให้หวังซีกับปั๋วหมิงเย่ว์ใหม่อีกครั้งจริงๆ แต่คราวก่อนปั๋วหมิงเย่ว์เองก็พูดแล้ว คนที่คุณหนูหวังผู้นี้ชอบคือเฉินลั่ว นางไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของคนหนุ่มสาวนัก แต่ถ้าคุณหนูหวังผู้นี้ชอบเฉินลั่วจริงๆ เช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้แล้ว

นางไม่ยอมให้หลานชายและหลานสาวของตัวเองต้องทนทุกข์เป็นอันขาด

หลานสาวของนางผู้นี้มาพูดอะไรต่อมิอะไรมากมายต่อหน้านาง เกรงว่าคงกำลังคิดแผนอะไรเกี่ยวกับเฉินลั่วอยู่

ถ้าหากเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นหวังซีหรือเฉินลั่ว เกรงว่าคงไม่มีใครมีวาสนากับตระกูลงของพวกเขาแล้ว

จะให้ตระกูลพวกเขามีเรื่องอื้อฉาวว่าสะใภ้กับเขยเคยมีความสัมพันธ์ต่อกันมาก่อนไม่ได้เด็ดขาด

ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มตาหยีมองคนรุ่นหลานที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจทั้งสองคนของตัวเอง ทว่าในใจกลับสงบเต็มไปด้วยเหตุผล

ปั๋วหมิงเย่ว์ก็ดี คุณหนูหกปั๋วก็ดี ล้วนไม่รู้ว่าย่าของพวกเขาคิดอย่างไร ปั๋วหมิงเย่ว์กัดฟันกรอดกลับไปถึงเรือนพักของตัวเอง สั่งการบ่าวชายคนสนิทว่า “ไปสืบมาให้ข้า จงสืบให้แน่ชัด! ดูว่าใครเป็นคนเอาไปโพนทะนาต่อหน้าพี่ชายรองและท่านย่า”

ส่วนคุณหนูหกปั๋วบีบผ้าเช็ดหน้าแน่นไปตลอดทางที่เดินกลับเรือนเย็บปัก

นางต้องตัดอาภรณ์ดีๆ ให้ตัวเองสักสองสามชุด ถึงเวลาไปร่วมงานเลี้ยงย้ายบ้านของหวังซี

ส่วนหวังซีนั้น นางนอนหลับอย่างเป็นสุขไปหนึ่งตื่น จากนั้นก็ได้รับข่าวดีติดๆ กัน

ข่าวดีที่หนึ่งมาจากท่านหมอเฝิง

ท่านหมอเฝิงตามหาหมอที่ต้องการแสวงหาความก้าวหน้าในอนาคตและยินดีเข้าวังไปถวายการรักษาฮ่องเต้ได้แล้วผู้หนึ่ง ให้หวังซีกับเฉินลั่วหาเวลาและไปพบหมอท่านนั้นสักครั้งหนึ่งให้เร็วที่สุด

ส่วนข่าวดีอีกเรื่องหนึ่งมาจากหลงจู๊ใหญ่

เขาแนะนำจวี่เหรินสอบตกหนึ่งคนและซิ่วไฉที่ไม่คิดจะเดินบนเส้นทางขุนนางแล้วอีกผู้หนึ่งให้เฉินลั่ว บอกว่าถึงแม้ทั้งสองคนจะมิใช่ผู้มีพรสวรรค์โดดเด่น ทว่าทั้งคู่ล้วนเป็นคนซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ หนักแน่นมั่นคงและขยันทำงานหนัก อาจไม่โดดเด่นเรื่องให้คำปรึกษา แต่ถ้าให้ช่วยดูแลกิจการต่างๆ กลับเหมาะสมยิ่งนัก

ให้เฉินลั่วไปดูด้วยตัวเองและเลือกคนที่เหมาะสมไว้สักคน หรือจะรับไว้ทั้งสองคนเลยก็ได้

หวังซีอดทอดถอนใจไม่ได้ ตอนไร้ข่าวคราวก็เงียบกริบทั้งคู่ แต่พอมีความคืบหน้าก็มาพร้อมกันทั้งสองเรื่อง

นี่คงต้องยุ่งจนอยู่ไม่ติดที่เป็นแน่

นางรีบให้หวังสี่นำความไปแจ้งเฉินลั่ว

เฉินลั่วกำลังขอให้ซูถง ผู้บังคับบัญชากองพลอาชาหาญซ้ายช่วยหาหน่อไม้น้ำมาให้สักเล็กน้อยอยู่ ได้ยินว่าเฉินอวี้มาหาเขา เขายังรั้งอยู่ต่อ คุยเรื่องหน่อไม้น้ำกับซูถงต่ออีกครู่หนึ่งแล้วถึงได้ออกจากที่ทำการของกองพลอาชาหาญซ้ายไป ส่วนซูถงยังกระซิบกระซาบคุยกับผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทอีกครู่หนึ่ง กล่าวว่า “คงมิใช่ว่าทางด้านฮ่องเต้มีความเคลื่อนไหวอะไรหรอกกระมัง ข้ารู้มาว่ามีร้านอาหารเล็กๆ ร้านหนึ่ง เจ้าของเป็นคนจินหวาของพวกข้า พวกเขาขายอาหารซูเจ้อ คนที่ไปกินข้าวที่นั่นก็ล้วนแล้วแต่เป็นขุนนางจากซูเจ้อของพวกข้าทั้งสิ้น ข้าเคยกินหน่อไม้น้ำที่ร้านของพวกเขามาก่อน ที่อื่นอาจไม่มี แต่ร้านพวกเขาต้องมีแน่นอน ต้องไปแจ้งล่วงหน้าเอาไว้คำหนึ่ง ให้พวกเขาช่วยเก็บเอาไว้สักเล็กน้อย”

ของที่ได้มาง่ายดายมากเกินไปคนไม่เห็นค่า ซูถงอยากให้เฉินลั่วยอมรับการติดหนี้บุญคุณเขาสักครั้ง จึงคิดจะประวิงเวลาออกไปสักสองสามวันแล้วค่อยจัดการเรื่องนี้ให้เฉินลั่ว

เฉินลั่วได้รับจดหมายแล้วกลับรู้สึกเป็นทุกข์ยิ่งนัก

คราก่อนหลังจากที่เขาไปพบสือเหล่ยมาแล้วก็อยากไปคุยเรื่องนั้นกับหวังซีเหลือเกิน แต่เรื่องที่เขารับปากว่าจะเชิญหวังซีมากินข้าวยังไม่มีความคืบหน้า เขาคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายได้แต่ส่งขนมไปให้นางเล็กน้อยเท่านั้น

บัดนี้เรื่องเชิญนางมากินข้าวยังคงไม่มีความคืบหน้าเช่นเดิม แต่ผู้ใดจะรู้ว่าจะมีข่าวคราวส่งกลับมาจากท่านหมอเฝิงและหลงจู๊ใหญ่สกุลหวัง ทำให้เขาอยากเลี่ยงก็เลี่ยงไม่ได้แล้ว…

เฉินลั่วดึงทึ้งผมตัวเอง

เขายังไม่เคยเป็นคนผิดคำพูดเช่นนี้มาก่อน!

เฉินลั่วตัดสินใจไปพบหมอผู้นั้นก่อน จำต้องทำใจดีเข้าสู้นัดแนะเวลากับหวังซี

ทางด้านหวังซีถึงแม้กล่าวว่าต้องจัดงานเลี้ยงรับรองคุณหนูหกปั๋วและคนอื่นๆ ก็ตาม แต่คนที่กำลังยุ่งอยู่จริงๆ คือหวังหมัวมัว นางกำหนดใบรายชื่อและค่าใช้จ่ายสำหรับงานเลี้ยงเสร็จ ก็ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว นางลูบแมวเล่นกับฉังเคอทุกวัน ทำเอาฉังเคออยากเลี้ยงแมวไปด้วย

คนเช่นไรที่ถึงกับยอมเข้าวังไปถวายการรักษาฮ่องเต้?

หวังซีอยากรู้เหลือเกิน จึงตั้งตารอออกจากบ้านพร้อมเฉินลั่วอย่างตื่นเต้น

กระทั่งวันนั้นมาถึงนางไม่เพียงแต่งกายอย่างงดงามเท่านั้น ยังเอารากเหอโส่วอูอายุร้อยปีสองต้นที่ปั๋วหมิงเย่ว์ส่งมาให้นางไปด้วย ตั้งใจมอบให้ท่านหมอเฝิง

ดาบสมควรมอบเป็นของขวัญแด่วีรบุรุษ

ท่านหมอเฝิงน่าจะชอบของขวัญเช่นนี้

คิดไม่ถึงว่าเมื่อไปเจอเฉินลั่วที่ร้านขายยาเพื่อมวลชนแล้ว เฉินลั่วกลับเอาขนมเกลียวและขนมแป้งนึ่งของค่ายเทียนจินมาให้นาง

ขนมเกลียวนั่นไม่เท่าไร เอามาไม่ยากนัก แต่ขนมแป้งนึ่งนั่นกลับยังร้อนควันฉุยอยู่เลย ยังโรยหน้าด้วยดอกหอมหมื่นลี้เชื่อมน้ำตาล เนื้อแป้งขาวดุจหิมะ ดอกหอมหมื่นลี้เชื่อมน้ำตาลสีเหลืองอร่าม ยังมีกลิ่นดอกหอมหมื่นลี้ลอยมาแตะจมูกอีก ทำให้หวังซีอดเบิกดวงตาโพลงไม่ได้

เฉินลั่วกล่าวอย่างไม่เป็นตัวเองเล็กน้อยว่า “เห็นเจ้าชอบกินของแปลกหายากเหล่านั้น หลายวันก่อนข้าเดินทางไปค่ายเทียนจินพอดี ขนมเกลียวของพวกเขานับว่าเป็นของพิเศษของที่นั่น ประจวบเหมาะกับที่ข้างๆ เป็นร้านขายขนมแป้งนึ่งเก่าแก่ร้านหนึ่งพอดี ข้าจึงเรียกอาจารย์ของร้านพวกเขามาจิงเฉิง ทำขนมแป้งนึ่งสดๆ สักถาดหนึ่ง…

…เจ้ารีบชิมดูว่าถูกปากหรือไม่…

…ดอกหอมหมื่นลี้เชื่อมน้ำตาลนี้เป็นของขึ้นชื่อของร้านของพวกเขา ที่ร้านพวกเขายังมีถั่วแดง งาดำ ถั่วเขียว…และของโรยหน้าอื่นๆ อีกมากมาย หากถูกปากเจ้า ข้าจะให้อาจารย์ผู้นั้นไปสอนแม่ครัวที่บ้านของเจ้า ทีนี้เจ้าอยากกินเมื่อไรก็ได้กินทุกเมื่อแล้ว!”

สวรรค์ เหตุใดเฉินลั่วถึงเป็นเช่นนี้

แค่หน้าตาก็ประทับอยู่ในใจของนางแล้ว เหตุใดการกระทำยังเหมือนตอนที่เซียงเย่ ลูกแมวที่นางเลี้ยงไว้นวดให้นางอีก ทุกๆ ฝ่าเท้าล้วนย่ำอยู่บนหัวใจของนาง

ทำให้คนตื้นตันใจเกินไปแล้ว

“หากผู้อื่นเป็นร้านเก่าแก่กว่าร้อยปี เช่นนั้นก็คงเป็นสูตรที่สืบทอดต่อกันมากระมัง” เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หวังซีปากไม่ตรงกับใจนัก “ให้ผู้อื่นไปสอนแม่ครัวของพวกข้าคงไม่เหมาะกระมัง หากข้าอยากกิน…”

จริงๆ แล้วนางอยากบอกว่า หากอยากกินก็ไปซื้อเอาก็ได้แล้ว

แต่เมื่อนางเห็นเฉินลั่วขมวดคิ้วน้อยๆ จนแทบมองไม่เห็นหลังจากที่ได้ยินคำพูดของนาง นางพลันรู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างไร้เหตุผล

ผู้อื่นเชิญอาจารย์มาแล้ว หากนางยังไม่ซาบซึ้งอีก นี่ก็เหมือนกับการที่นางมอบของขวัญแล้วคนรับไม่ชอบ นางก็คงผิดหวังมากเหมือนกัน

สิ่งที่เจ้าไม่ปรารถนา ก็อย่าทำกับผู้อื่น!

นางรีบเปลี่ยนคำพูด กล่าวว่า “มิสู้เชิญอาจารย์อยู่ต่ออีกสักระยะหนึ่ง ข้าจะได้ชิมขนมทุกรสชาติของร้านพวกเขา?”

เช่นนี้ก็ได้

ดีร้ายก็นับว่าเขาได้จัดหาของขวัญถูกใจมอบให้หวังซีแล้ว

เฉินลั่วพยักหน้าน้อยๆ ถือเป็นการตอบตกลง

ไม่รู้เพราะเหตุใด หวังซีรู้สึกโล่งอกไปครั้งหนึ่ง

…………………………………………………………………………………..

ตอนต่อไป