ขนมแป้งนึ่งที่เฉินลั่วเอามาให้รสชาติดีมากจริงๆ ตัวแป้งเนียนนุ่ม มีความเหนียวเล็กน้อย ดอกหอมหมื่นลี้เชื่อมน้ำตาลหวานแต่ไม่เลี่ยน กลิ่นหอมละมุนพอดิบพอดี

หวังซีกับเฉินลั่วกินขนมแป้งนึ่งและดื่มชาก้งเหมยที่ทิ้งไว้จนเย็นอยู่ในห้องหนังสือของท่านหมอเฝิง

ขนมหอมหวานกับชาเข้มข้นอยู่ด้วยกัน อย่างหนึ่งนุ่มละมุนอีกอย่างหนึ่งกระพือปีกมีชีวิตชีวา ราวกับว่าแม้แต่หัวใจก็ถูกปลอบประโลมจนสงบ

เฉินลั่วมองน้ำชาสีเหลืองใสในถ้วยชา แล้วก็ยกขึ้นจ่อปลายจมูกดอมดมอีกครั้งหนึ่ง

มีกลิ่นของพุทรา

เขาเอ่ยถามอย่างสนใจว่า “นี่คือชาอะไร รสชาติดี!”

หวังซีเม้มปากอมยิ้ม กล่าวว่า “เจ้าจำแนกรสได้แล้วหรือ ชานี้มีชื่อว่าชาก้งเหมย เป็นชาขาวชนิดหนึ่ง ใบชาหยาบกว่า รสชาติก็เข้มข้นกว่า ปกติคนที่ชอบก็จะชอบมาก คนที่ไม่ชอบก็จะไม่ชอบเป็นอย่างยิ่ง ข้าคาดไม่ถึงว่าเจ้าจะสนใจใบชาชนิดนี้”

เฉินลั่วละเมียดจิบชาไปอีกสองสามจิบ รู้สึกว่าชานี้ถูกปากเขายิ่งนัก กล่าวว่า “ข้ารู้สึกว่าชานี้รสชาติดีกว่าชาหลงจิ่งและชาปี้หลัวชุนเสียอีก”

หวังซีได้ยินแล้วรินชาให้เขาอีกถ้วยหนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “หากเจ้าชอบ ประเดี๋ยวเอากลับไปด้วยสักเล็กน้อย ท่านหมอเฝิงชอบดื่มชาขาว ดังนั้นจึงหวงมากเป็นพิเศษ ยามแขกมาที่บ้านส่วนมากล้วนเอาชาก้งเหมยมารับรองแขก ความจริงแล้วชาโบตั๋นขาวของพวกเขาก็มีรสชาติไม่ต่างจากชานี้นัก แต่รสนุ่มละมุนกว่าอันนี้เล็กน้อย อร่อยมากเหมือนกัน”

กล่าวถึงตรงนี้ นางโน้มกายเข้ามาใกล้ ลดเสียงลงหลายส่วน กล่าวว่า “ข้าจะให้พี่ชายเสี่ยวเกาไปหาดู เจ้าลองดูว่าเจ้าชอบรสชาติของชาโบตั๋นขาวหรือไม่ หากชอบ พวกเราก็เอากลับไปด้วยสักหน่อย มีคำกล่าวว่าชาขาวนั้นเก็บ ‘สามปีเป็นยาเจ็ดปีเป็นสมบัติ’ ในเมื่อเจ้าชอบรสชาติชาชนิดนี้ เช่นนั้นต่อไปก็ดื่มชาขาวให้มาก”

พวกชาหลงจิ่งอะไรนั้น ก็เอาไว้สำหรับรับรองแขกก็แล้วกัน

ตอนหวังซีขยับเข้ามาใกล้นั้น เฉินลั่วพลันได้กลิ่นหอมสายหนึ่ง ดมแรกๆ เป็นกลิ่นละมุนของดอกมะลิ ดมดีๆ อีกทีเหมือนกลิ่นหอมฉุนของดอกกุหลาบ กลิ่นสองกลิ่นที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงหลอมรวมอยู่ด้วยกัน ราวกับหลงเข้าไปในสวนดอกไม้นานาพรรณ ขณะที่ดวงตาพร่ามัวนั้นก็รู้สึกว่ามันงดงามจนเหลือจะจินตนาการ

ทันใดนั้นหัวใจของเขาคล้ายกับหยุดเต้น หายใจไม่ออกไปชั่วขณะ

เฉินลั่วหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย เลือดลมเดือดพล่าน สูบฉีดจากแขนขาขึ้นไปจนถึงศีรษะ คุกรุ่นจนเขาตาลาย ภาพตรงหน้าละลานตาจนมองเห็นไม่ชัด

ลมหายใจยามนางพูดยังเหมือนกล้วยไม้ ลมร้อนปะทะใส่เขา ทั้งร่างของเขาประหนึ่งแช่อยู่ในบ่อน้ำร้อน ร้อนจนหายใจไม่ออก

เฉินลั่วขยับหลบไปด้านหลังตามสัญชาตญาณ

นัยน์ตาของหวังซีมีแววประหลาดใจสายหนึ่งวาบผ่าน

พริบตานั้นเฉินลั่วรู้สึกอับอายยิ่งนัก

นางไม่ได้ทำอะไรเลยแล้วเขาหลบทำไม

เขาอดไม่ได้กระแอมไอเบาๆ สองครั้ง

นั่นเป็นการกระทำที่เขาแสดงออกมายามประหม่าจนควบคุมตัวเองไม่อยู่

แต่เขาอยู่ในสถานการณ์ที่คุมหัวแต่คุมหางไม่ได้แล้ว ไหนเลยจะมีแก่ใจไปตริตรองเรื่องพวกนี้ได้

เขาเพียงขอให้ตัวเองไม่เสียกิริยา อย่าคิดว่าตัวเองถูกที่สุด และไม่คิดว่าที่ผู้อื่นเข้าใกล้เขาเป็นเพราะมีแผนการอะไรซ่อนอยู่

“เช่นนั้นต่อไปข้าต้องเก็บสะสมชาขาวเอาไว้บ้าง” เฉินลั่วพยายามปรับอารมณ์ให้เย็นลง ให้ตัวเองดูสงบเหมือนปกติให้มากที่สุด สีหน้าเรียบเฉย ทว่าในใจกลับประหม่าเล็กน้อยพยายามหาเรื่องชวนหวังซีคุย “ชาขาวยังมีประเภทอะไรอีกบ้าง เจ้าเคยดื่มมาหมดแล้วหรือ เจ้ารู้สึกว่าชาประเภทไหนรสชาติดีที่สุด”

ก่อนหน้านี้หวังซีรู้สึกว่าเฉินลั่วพยายามหลบเลี่ยงนางเล็กน้อย แต่ดูจากตอนนี้เขากลับมามีสีหน้าสงบเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว จึงคาดเดาว่าตนคงคิดมากเกินไป

นางพึมพำกับตัวเองอยู่ในใจ พลางกล่าวไปด้วยว่า “ชาขาวยังมีชาเข็มเงิน รสของมันอ่อนกว่าชาโบตั๋นขาวเล็กน้อย ค่อนข้างใกล้เคียงกับชาเขียว เนื่องจากเจ้าไม่ชอบดื่มชาหลงจิ่งกับชาปี้หลัวชุน โดยมากก็น่าจะไม่ชอบชาเข็มเงินเช่นกัน อย่างไรก็ตาม จะลองชิมดูก็ได้ ตอนนี้เจ้ารู้สึกว่าชาก้งเหมยรสชาติดีมากมิใช่หรือ”

เฉินลั่วพยักหน้า เห็นหวังซียังคงมีสีหน้าสบายๆ เป็นธรรมชาติเหมือนก่อนหน้านี้ ยังคงพูดคุยด้วยความมั่นใจอยู่ ไอน้ำในดวงตาจึงค่อยๆ มลายหายไป กลับมากระจ่างชัดอีกครั้ง

มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา “เช่นนั้นก็รบกวนเจ้าแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะลองชิมชาโบตั๋นขาวล้ำค่าของท่านหมอเฝิงดู”

หวังซีหันไปขยิบตาให้เขา กล่าวว่า “เจ้ารอสักครู่”

จากนั้นวิ่งไปหาเฝิงเกา

เฉินลั่วพรูลมหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง

รู้สึกว่าเหมือนตรงปลายจมูกยังมีกลิ่นหอมเฉพาะนั่นลอยอ้อยอิ่งอยู่

เขาอดไม่ได้สูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง

ดูเหมือนว่ากลิ่นหอมนั่นจะยิ่งเข้มข้นขึ้น ชอนไชเข้ามาในกายเขา

เฉินลั่วลุกขึ้นมาอย่างอยู่ไม่สุข เดินออกจากห้องหนังสือไปยืนอยู่บนบันได

ภายในลานบ้านอุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้า บดบังท้องฟ้าและดวงตะวันทำให้คนสัมผัสถึงความเย็นสบาย

เฉินลั่วถึงได้รู้สึกจิตใจสงบลงมา

หวังซีเดินเข้ามาจากหลังแผ่นศิลาที่สลักตัวอักษรความสุขกลับหัวเอาไว้ด้วยฝีเท้าบางเบา ยังหันมายื่นห่อกระดาษสีน้ำตาลในมือให้เฉินลั่วอีกด้วย

เฉินลั่วอดอมยิ้มไม่ได้

“ปู่เฝิงใกล้จะมาแล้ว” หวังซีกับเฉินลั่วนั่งลงในห้องรับรองแขกอีกครั้ง หยิบมีดชามาตัดก้อนใบชา “พี่ชายเสี่ยวเกากำลังยุ่งอยู่ด้านนอก พวกเราจำต้องลงมือด้วยตัวเองแล้ว”

เฉินลั่วมองนางใช้มีดตัดลงไปในก้อนใบชาอย่างชำนาญ ออกแรงเพียงเล็กน้อย ก้อนใบชาก็แยกออกเป็นชิ้นๆ

เสมือนกับว่านางเคยทำมาเป็นร้อยครั้งแล้วก็ไม่ปาน

ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด เฉินลั่วนึกภาพหวังซีอายุสามขวบวิ่งเข้าไปในห้องของปู่เส้นผมขาวโพลนอย่างคล่องแคล่วเพื่อหาลูกกวาดกินขึ้นมา

ความจริงเขาทั้งไม่เคยเห็นหวังซีตอนเป็นเด็กว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ทั้งไม่รู้ว่าปู่ของหวังซีหน้าตาเช่นไรด้วย แต่เขาก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นเช่นนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

และเวลานี้ เขาดูเหมือนผู้สมรู้ร่วมคิดที่ร่วมกันกระทำความผิดกับนาง

รอยยิ้มของเฉินลั่วเด่นชัดมากขึ้น

เขาช่วยเติมถ่านหนึ่งก้อนลงไปในเตาดินเผาสีแดงที่อยู่ข้างๆ เพิ่งจะยกกาต้มน้ำวางลงไป ก็มีเสียงฝีเท้าดังอึงคะนึงเข้ามาจากด้านนอก

ท่านหมอเฝิงกลับมาแล้ว

เฉินลั่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ลุกขึ้นทำความเคารพท่านหมอเฝิง

ท่านหมอเฝิงตกใจไปครั้งใหญ่

เขายังจำความดุดันน่าเกรงขามของเฉินลั่วตอนที่พบเฉินลั่วเป็นครั้งแรกได้

แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้คิดอะไรมาก

มนุษย์ล้วนต้องใช้เวลาในการอยู่ร่วมกันเพื่อกระชับความสัมพันธ์ เขาเองก็นับว่ากำลังช่วยเหลือเฉินลั่วอยู่ เฉินลั่วปฏิบัติต่อเขาด้วยท่าทีที่อบอุ่นขึ้นก็ถือเป็นเรื่องปกติ

“หมอท่านนั้นแซ่หวัง” ท่านหมอเฝิงนั่งลง ขณะที่หวังซีเริ่มต้มชาให้เขาอยู่นั้นเขาก็กล่าวแนะนำหมอท่านนั้นอย่างอดทนรอไม่ได้ “ครอบครัวหลายต่อหลายรุ่นทำการรักษาอยู่ใกล้ๆ บริเวณซั่งเหราของเจียงซี ต่อมาเพราะบุตรชายมีคดีความอยู่ที่นั่น ถึงได้ทิ้งบ้านเกิดมาหากินประทังชีวิตที่จิงเฉิง ทักษะด้านการแพทย์ของเขาดีมาก ตัวคนก็เฉลียวฉลาดมีไหวพริบ สิ่งที่ต้องกังวลข้าก็คุยกับเขากระจ่างแล้ว ตัวเขายินดีเข้าวังไปแสวงหายศถาบรรดาศักดิ์ ข้าถึงได้แนะนำให้เจ้า”

เฉินลั่วพยักหน้า ถามว่า “แล้วคนพักอยู่ที่ใด มีป้ายชื่อของเขาหรือไม่”

ท่านหมอเฝิงประหลาดใจ

เขาคิดว่าอย่างไรเฉินลั่วก็ต้องถามถึงบุตรชายของหมอหวังว่ามีคดีความอะไรก่อน แล้วค่อยพิจารณาว่าจะใช้งานหมอหวังหรือไม่ ด้วยเหตุนี้เขาถึงกับไปตรวจสอบคนผู้นี้เป็นการเฉพาะ คิดไม่ถึงว่าเมื่อเจอหน้า เฉินลั่วกลับไม่ถามอะไรเลยสักอย่างก็ตัดสินใจจะใช้งานหมอหวังแล้ว

“เจ้าอยากเอาไปคิดพิจารณาดูอีกครั้งหรือไม่” ท่านหมอเฝิงกล่าวอย่างลังเล “เนื่องจากเป็นคนที่เจ้าแนะนำเข้าวัง หากมีอะไรเกิดขึ้นคงไม่ค่อยดี อย่างมากข้าก็รับประกันได้แค่ว่าทักษะทางการแพทย์ของเขาดีหรือไม่ดีเท่านั้น”

เฉินลั่วไม่ค่อยเห็นด้วย กล่าวว่า “ทักษะทางการแพทย์สำคัญที่สุด ฝีมือดีก็พอแล้ว”

ท่านหมอเฝิงโน้มน้าวเขาอีกสองสามประโยค แต่เฉินลั่วตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าท่านหมอเฝิงพูดอะไรเขาก็มีท่าที ‘ไม่มีทางเปลี่ยนใจ’ เท่านั้น ท่านหมอเฝิงจำต้องตามใจเขา รับปากพาเขาไปพบหมอหวัง

“ไม่รีบ!” เฉินลั่วกล่าวยิ้มๆ “ท่านบอกที่อยู่ของเขาให้ข้า แล้วก็ให้ป้ายชื่อของเขาแก่ข้าสักใบก็พอ”

นี่หมายความว่าต้องการไปตรวจสอบด้วยตัวเองอีกครั้งหนึ่งแล้ว

ท่านหมอเฝิงได้ยินแล้วรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง ไปเขียนที่อยู่และป้ายชื่อของหมอหวังส่งมอบให้เฉินลั่วพร้อมกัน

เฉินลั่วยื่นส่งให้เฉินอวี้ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกาย เอ่ยถามถึงกิจการของร้านขายยาเพื่อมวลชนขึ้นมา

ท่านหมอเฝิงเห็นเขาถึงกับชวนตนคุยอย่างสุภาพขึ้นมาก็แปลกใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า สนทนากับเฉินลั่วยิ้มๆ ว่า “กิจการพอไปได้ หลายปีมานี้ยาเม็ดปรับเลือดลมของร้านพวกข้าค่อนข้างได้รับความนิยม ลำพังตัวนี้ ก็ช่วยให้กิจการไปได้ไม่แย่นัก”

หวังซีรู้เรื่องนี้ดี

นี่เป็นความคิดของพี่ชายใหญ่นาง

พี่ชายใหญ่นางรู้สึกว่าหมอดีๆ นั้นหายาก อยากทำยาบางส่วนให้เป็นยาเม็ดขาย ทั้งรับประกันผลการรักษาได้ และลดค่าใช้จ่ายได้ด้วย ให้ประชาชนคนธรรมดาเข้าถึงการรักษาได้

ช่วงนี้ท่านหมอเฝิงกำลังยุ่งอยู่กับเรื่องนี้

เขากับหวังเฉินปรึกษากัน ใช้สูตรยาที่ไม่เป็นอันตรายร้ายแรงอย่างยาเม็ดปรับเลือดลมพวกนี้เป็นตัวทดลองก่อน จากนั้นค่อยๆ วางขายยาจำพวกยานวดเท้าและยาช่วยย่อยอาหารเพิ่มเข้ามา

ท่านหมอเฝิงกับเฉินลั่วคุยไปคุยมา บทสนทนาก็วกเข้าหาเรื่องพวกนี้เองอย่างห้ามไม่อยู่

เฉินลั่วตะลึงงัน มองหวังซีครั้งหนึ่ง

เขาคาดไม่ถึงว่าตระกูลหวังจะมีจิตใจดีเช่นนี้

เขาคิดว่าทำการค้านั้นขอเพียงตัวเองทำเงินได้ก็พอ คงไม่สนใจเรื่องความเป็นความตายของประชาชนคนธรรมดาทั่วไป

เมื่อเขาเอ่ยปากอีกครั้ง จึงให้ความเคารพนับถือท่านหมอเฝิงเพิ่มมากขึ้น

เฉินลั่วนั่งอยู่ที่ร้านขายยาเพื่อมวลชนอีกครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นกล่าวขอตัว

ที่หวังซีตามมาด้วยก็เพราะอยากมาดูความครึกครื้น แน่นอนว่าย่อมจะตามเฉินลั่วกลับไปด้วย

ท่านหมอเฝิงได้คนครัวมาใหม่ เดิมทีอยากรั้งหวังซีอยู่กินข้าวด้วย ปรากฏว่ารั้งคนเอาไว้ไม่ได้ จำต้องไปส่งพวกเขาที่ประตู

ผู้ใดจะรู้ว่าพอเฉินลั่วออกจากร้านขายยาเพื่อมวลชนแล้วก็จะเดินทางกลับจวนเลย

กว่าครู่ใหญ่หวังซีก็ยังไม่ได้สติคืนกลับมา ยืนขวางเกี้ยวของเฉินลั่วอยู่หน้าซอยเอ้อเถียว ถามเขาว่า “เหตุใดถึงไม่ไปพบท่านหมอหวัง”

เฉินลั่วเห็นว่าท้ายซอยเอ้อเถียวทะลุผ่านประตูหลังตรงสวนร่มหลิวของจวนหย่งเฉิงโหวได้ จึงไปคุยกับนางที่นั่น