เฉินลั่วได้ยินแล้วในใจพลันรู้สึกไม่ค่อยยินดีนัก

ยศถาบรรดาศักดิ์ต้องเสี่ยงถึงได้มา วังหลวงใช่จะเข้าได้อย่างง่ายดาย ในเมื่อท่านหมอหวังผู้นั้นกล้าเข้ามาเป็นตัวเลือก ก็ต้องมีการเตรียมตัวเตรียมใจว่าอาจติดร่างแหไปด้วยอยู่แล้ว

หวังซีมิใช่คนไม่เข้าใจหลักการและเหตุผล กลับเห็นใจท่านหมอหวังขึ้นมา

หรือว่าเรื่องของเขามิได้สลักสำคัญกว่า?

เวลาเฉินลั่วขาดการระแวดระวังตัว อีกทั้งมิใช่คนยอมปกปิดความรู้สึกของตัวเอง เวลาที่คิดเช่นนี้ จึงแสดงออกมาทางสีหน้าหลายส่วนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หวังซีรีบกล่าว “แน่นอนว่าข้าเชื่อใจเจ้า มอบคนให้เจ้าใช้งานนั้นข้าวางใจ”

แต่หากเป็นผู้อื่น นางไม่กล้าพูดเลยจริงๆ ว่าอาจเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องลับเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ประเภทนี้เลย แค่ตระกูลหวังของพวกนาง พี่ชายใหญ่กับพี่ชายรองของนางยามกระทำสิ่งใดนั้นฝีมือห่างชั้นกันมาก คนที่ติดตามอยู่ข้างกายก็ใช่ว่าจะลงไปจัดการให้ได้ทุกคน

เฉินลั่วรู้สึกว่าหัวใจราวกับถูกนาบด้วยเตารีด เป็นสุขยิ่งนัก นอกจากสีหน้าจะสงบขึ้นมากแล้ว น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นอบอุ่นกว่าเมื่อครู่หลายส่วน กล่าวว่า “เจ้าวางใจ ข้ารู้จักความเหมาะสม”

เขากล่าวเช่นนี้ หวังซีรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย ครุ่นคิดแล้วกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “ท่านปู่ข้าบอกว่า มนุษย์ทำเรื่องดี มีสิ่งดีๆ หลงเหลือ หากมนุษย์ทำเรื่องชั่ว ก็หลงเหลือสิ่งแย่ๆ ไว้ บางครั้งมองไม่ออกว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องชั่ว แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็จะปรากฏออกมาให้เห็นเอง หาไม่จะมีคำกล่าวที่ว่าคนรุ่นก่อนปลูกต้นไม้ให้คนรุ่นหลังได้ใช้ร่มเงาพักผ่อนนั่นได้อย่างไร ดังนั้นมนุษย์ไม่ควรทำสิ่งชั่วร้าย ตัวเองอาจไม่ได้รับผลกรรม แต่ผลกรรมนั้นอาจตกไปอยู่ที่คนรุ่นหลัง จิตใจมุ่งร้ายต่อผู้อื่นไม่ควรมี จิตใจระแวดระวังผู้อื่นก็ห้ามขาด”

เจื้อยแจ้วไม่หยุดราวกับเป็นคนแก่

เฉินลั่วยิ้ม รู้สึกว่าหวังซีช่างน่าสนใจยิ่ง หน้าตางดงามดุจดอกไม้ที่ได้รับการทะนุถนอมเอาไว้อย่างดี กลับมีฝีปากเหมือนสตรีออกเรือนแล้ว อย่างไรก็ตาม น้ำเสียงของนางไพเราะน่าฟัง แม้นพูดมากไปบ้าง แต่ก็เพราะหวังดีต่อเขา เขาไม่รู้สึกรังเกียจก็พอ

รอยยิ้มของเขาเด่นชัดขึ้น กล่าวว่า “พอแล้ว! ข้ารู้แล้ว ต่อให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่านหมอหวัง มั่นใจได้ว่ามิใช่เป็นเพราะข้าอย่างแน่นอน เช่นนี้นับว่ายอมรับได้แล้วกระมัง”

น้ำเสียงนั่น ไม่รู้ว่าแข็งกระด้างมากเพียงใด

ช่างเป็นหมาแว้งกัดไม่รู้จักสำนึกบุญคุณจริงๆ

หวังซีหันไปยู่ปากใส่เขา สุดท้ายไม่พูดมากอีก

เฉินลั่วรู้สึกว่าตัวเองเบาใจลง โบกมือให้หวังซี เตรียมตัวแยกย้ายกันกลับบ้าน

หวังซีกลับไล่ถามต่อ “เจ้าจะไปเจอบัณฑิตสองคนนั้นเมื่อไร”

เฉินลั่วหันกลับมา เห็นนางมองตนด้วยแววตาสุกใส สว่างไสวกว่าแสงขอบฟ้ายามอาทิตย์อัสดงเสียอีก เต็มไปด้วยความคาดหวัง

เขาตกใจมาก ฉับพลันนั้นเข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านหมอเฝิงถึงให้เขาพาหวังซีไปด้วยตอนที่แนะนำหมอหวังให้เขา แต่หลงจู๊ใหญ่กลับไม่เอ่ยถึงหวังซีเลยแม้แต่ประโยคเดียว

ท่านหมอเฝิงและหลงจู๊ใหญ่ต้องรู้นิสัยชอบดูเรื่องสนุกของหวังซีอย่างแน่นอน ท่านหมอเฝิงรักใคร่นาง จึงตามใจนางทุกอย่าง หลงจู๊ใหญ่เองก็รักใคร่นางเช่นกัน แต่เพราะคนที่เขาจะไปเจอคือบัณฑิตสองคน กลัวว่าสองคนนั้นจะมีอคติกับสตรี คำพูดคำจาอาจดูหมิ่นดูแคลนนาง ทำให้นางต้องทุกข์ใจ

เขาไม่เคยเห็นบ้านไหนตามใจเด็กสาวเช่นนี้มาก่อน

เฉินลั่วอดกล่าวไม่ได้ว่า “ไม่อย่างนั้นตอนไปเจอสองคนนั้นข้าพาเจ้าไปด้วย? แต่ว่าเจ้าไม่อาจตามข้าไปเช่นนี้ได้ ต้องเปลี่ยนการแต่งกายก่อนถึงจะใช้การได้”

แค่ได้ยินหวังซีก็เข้าใจแล้ว

ให้เปลี่ยนการแต่งกาย นั่นก็ทำได้แค่แต่งตัวเป็นบ่าวชายหรือไม่ก็ผู้ติดตามเท่านั้นแล้ว แต่ไม่ว่าจะแต่งกายเป็นบ่าวชายหรือผู้ติดตามก็ตาม นางตามไปด้วยก็ทำได้แค่ปรนนิบัติอยู่ข้างๆ เท่านั้น ไม่แน่ว่าอาจไม่ได้เข้าประตูบ้านของผู้อื่นด้วยซ้ำ

หากไม่ได้ฟังว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกันบ้าง ตามไปด้วยจะมีความหมายอะไร

นางอดยู่ปากไม่ได้ กล่าวว่า “ข้าไม่เปลี่ยนเครื่องกายไปเป็นเด็กรับใช้อยู่หลังม้าให้เจ้าหรอก ข้าจะกลับบ้านแล้ว รอเสร็จจากเรื่องงานเลี้ยงย้ายบ้านแล้ว ค่อยคุยกับเจ้าอีกที”

ถึงเวลาเรื่องที่เฉินลั่วฝากฝังนางไว้ นางมั่นใจว่าก็คงเริ่มเป็นรูปเป็นร่างไม่มากก็น้อยแล้ว

หวังซีมั่นใจเรื่องความสามารถในการสานสัมพันธ์สร้างมิตรสหายของตัวเองเป็นอย่างมาก

เฉินลั่วได้ยินที่นางพูดแล้วกลับประหลาดใจ

หวังซีเฉลียวฉลาด เรื่องนี้เขารู้ดี แต่เขาไม่คาดว่านางยังทำให้เขาคาดไม่ถึงและประหลาดใจได้อีกเรื่อยๆ

ขอแล้วไม่ได้ตามที่ขอแต่กลับระงับความปรารถนาเอาไว้ได้ การรู้จักยังยั้งจิตใจเช่นนี้ บุรุษสวมกวนแล้วจำนวนมากยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ นางที่เป็นเพียงเด็กสาวผู้หนึ่งกลับทำได้

เฉินลั่วมองหวังซี

นางยังมีความลับอีกกี่ด้านที่ยังไม่เปิดเผยอีกนะ

คุณหนูหวังคล้ายกับเป็นหนังสือหนึ่งเล่ม ขอเพียงเจ้าอ่านต่อไปเรื่อยๆ ย่อมจะอ่านเจอเนื้อหาและฉากเหตุการณ์ที่ไม่เหมือนกันอยู่เสมอ

น้ำเสียงของเฉินลั่วเปลี่ยนเป็นบางเบาและอบอุ่นที่แม้แต่ตัวเขาเองก็นึกไม่ถึง กล่าวปลอบโยนหวังซีว่า “ไม่ว่าข้าจะขอผู้ใดมาเป็นผู้ช่วย เจ้าย่อมได้รู้จัก ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนในเวลานี้”

แน่นอนว่าหวังซีรู้ แต่สิ่งที่นางอยากรู้คือเมื่อเฉินลั่วเจอบัณฑิตสองคนนั้นแล้วจะพูดอะไรบ้าง

ผู้อื่นกล่าวว่า ‘เยือนกระท่อมสามครั้ง[1]’ ไปกล่าวอะไรบ้างคือเรื่องที่น่าสนใจที่สุดนี่นา!

สุดท้ายหวังซีก็ไม่ได้ดูความครึกครื้น แต่เมื่อนางกลับถึงจวนหย่งเฉิงโหว ยังไม่ทันได้เปลี่ยนอาภรณ์ ฉังเคอก็มาหาที่สวนร่มหลิว ดึงนางไปกระซิบกระซาบด้วย “ท่านย่าให้เจ้าช่วยพูดกับจวนชิ่งอวิ๋นโหวใช่หรือไม่”

หวังซีไม่ได้ปิดบังเรื่องนี้จากผู้อื่นมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ได้ยินแล้วก็พยักหน้ารับ

ฉังเคอรีบถามต่อ “แล้วเจ้ารับปาก?”

“เปล่า!” หวังซีเล่าเรื่องของวันนั้นให้ฉังเคอฟัง

ฉังเคอได้ยินพรูลมหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง ตบหน้าอกอย่างโล่งอก กล่าวว่า “โชคดีที่เจ้าไม่ได้รับปาก เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้ข้าได้ยินอะไรมา”

นางไม่ได้ต้องการให้หวังซีตอบ กล่าวต่อว่า “ความจริงแล้ว…ความจริงแล้วญาติห่างๆ ของเซียงหยางโหวที่ชิ่งอวิ๋นโหวช่วยแนะนำให้ผู้นั้น บอกว่าเป็นญาติห่างๆ ของจวนเซียงหยางโหวก็จริง แต่ยังมีความสัมพันธ์กับตระกูลเจียงชวนป๋อด้วย คนที่ไปขอจวนชิ่งอวิ๋นโหวช่วยออกหน้าให้นั้น ความจริงแล้วมิใช่คนจวนเซียงหยางโหว แต่เป็นฮูหยินผู้เฒ่าของจวนเจียงชวนป๋อ จวนเซียงหยางโหวอยากได้หน้า จึงบอกผู้อื่นว่าพวกเขาเป็นคนช่วย”

หวังซีประหลาดใจอย่างยิ่ง รู้สึกว่าจวนเจียงชวนป๋อนั้นดูคนน้อยไร้อำนาจ ทว่ากลับเหมือนจระเข้ตัวใหญ่ยักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ทะเลสาบ ทรงอิทธิพลมาก ลงมือเมื่อไรไม่เคยกลับมามือเปล่า

นางถามอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “เหตุใดฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจียงชวนป๋อต้องให้ความช่วยเหลือในครั้งนี้ด้วย”

ฉังเคอกล่าว “ว่ากันว่าปู่ของคนผู้นั้นเคยช่วยชีวิตของเจียงชวนป๋อผู้เฒ่ามาก่อน ผู้อื่นนำของที่ระลึกของเจียงชวนป๋อผู้เฒ่าในปีนั้นมาหาถึงที่ เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าก็ไปจัดการให้เลย ไม่เกี่ยวอะไรกับจวนเซียงหยางโหวแม้แต่นิดเดียว”

จากนั้นนางถามหวังซีว่า “เจ้าลองเดาดูว่าข้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”

หวังซีเห็นดวงตาทั้งสองข้างของนางเป็นประกาย แสดงท่าทางที่บอกว่า ‘เจ้ารีบตอบข้ามา’ นั่นแล้วอดยิ้มไม่ได้ ส่ายศีรษะไปมาร่วมเล่นละครไปกับฉังเคอ ยังถามนางว่า “เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไรหรือ”

บางทีนี่ต่างหากคือสิ่งที่ฉังเคอให้ความสนใจ นางกล่าวอย่างเบิกบานว่า “ตอนที่น้องสาวสกุลพานกับท่านป้าสะใภ้ใหญ่คุยเรื่องนี้กันแล้วข้าบังเอิญไปได้ยินเข้า”

ฉังเคอกับคุณหนูพานอาศัยอยู่ในลานบ้านหลังเดียวกัน มีสายลมพัดยอดหญ้าไหวเกิดขึ้นนางจะรู้มาบ้างก็มิใช่เรื่องแปลก แต่คุณหนูพานถึงกับรู้เรื่องวงในขนาดนี้ได้ ทำให้คนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยจริงๆ

หวังซีเร่งให้ฉังเคอรีบเล่า

ฉังเคอเองก็ไม่ปล่อยให้คนฟังต้องอดใจรอ กล่าวว่า “ฟังจากความหมายของคุณหนูพานแล้ว การที่ท่านป้าสะใภ้ใหญ่และฮูหยินผู้เฒ่าไปสืบเรื่องนี้ทั่วทุกที่นั้น นางรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมนัก จึงไปจวนหลิวมาครั้งหนึ่ง หาทางให้คนตระกูลหลิวช่วยไปถามมาให้”

กล่าวถึงตรงนี้ นางอดทอดถอนใจไม่ได้ “พวกเจ้าล้วนเก่งกาจ เจ้านั้นไม่ต้องพูดถึง แต่ข้าคิดไม่ถึงว่าคุณหนูพานเองก็มีความสามารถขนาดนี้ เรื่องที่ท่านป้าสะใภ้ใหญ่และฮูหยินผู้เฒ่าสืบมาไม่ได้ นางกลับทำสำเร็จ”

หวังซีเองก็รู้สึกคาดไม่ถึงเช่นกัน

แต่คุณหนูพานช่วยโหวฮูหยินได้ ก็นับเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง พวกนางล้วนเป็นญาติของจวนหย่งเฉิงโหว หากจวนหย่งเฉิงโหวมีเรื่องน่าขบขันเกิดขึ้น พวกนางก็เสียเกียรติไปด้วย

อย่างไรก็ตาม เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นตอนที่หวังซีไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่านั้น ฮูหยินผู้เฒ่าและโหวฮูหยินต่างปฏิบัติต่อนางอย่างกระตือรือร้นกว่าปกติสองสามส่วน

หรือเป็นเพราะรู้แล้วว่ากระทำผิดต่อนาง?

หวังซียิ้มน้อยๆ เพลิดเพลินกับความเอาใจใส่ของฮูหยินผู้เฒ่าและโหวฮูหยินอย่างมีสติ

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้รับอิทธิพลมาจากฮูหยินผู้เฒ่าหรือเปล่า ด้านซือหมัวมัวก็ปฏิบัติต่อหวังหมัวมัวอย่างเอาใจใส่เช่นกัน เพียงไม่กี่วัน นอกจากจะส่งเทียบเชิญจนเสร็จเรียบร้อย และหวังหมัวมัวได้เข้าใจเรื่องพื้นฐานของตระกูลใหญ่ตระกูลโตในจิงเฉิงแล้ว ยังได้พูดคุยกับหมัวมัวที่พอจะมีหน้ามีตาของหลายๆ ตระกูลอีกด้วย

จวนหย่งเฉิงโหวก็เริ่มวุ่นวายกับการจัดเตรียมงานเลี้ยงอีกครั้ง

แต่แตกต่างจากงานเลี้ยงของซือจูเมื่อคราวที่แล้วเป็นอย่างมาก ตอนซือจูจัดงานเลี้ยงเชิญแขกนั้น คนจวนหย่งเฉิงโหวยุ่งกันมากจริงๆ แค่เรื่องกวาดบ้านทำความสะอาดก็มิใช่เรื่องง่ายแล้ว พวกน้ำชาขนมหวานและของคาวเหล่านั้นยิ่งไม่ง่าย แต่งานเลี้ยงของหวังซี พวกเขาต้องรับผิดชอบเพียงเรื่องกวาดบ้านทำความสะอาดเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ มีคนของหวังซีมาจัดการเอง พวกเขาได้ผ่อนคลาย ระหว่างทำงานจึงมีอารมณ์มาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเตรียมการงานเลี้ยง

“ฮูหยินผู้เฒ่าให้ซือหมัวมัวหยิบจานชามชุดกระเบื้องหยกขาวชุดนั้นมารอบรองบรรดาคุณหนูของแต่ละจวน แต่ข้าได้ยินป้าในเรือนครัวพูดว่า ตระกูลหวังตั้งใจจะใช้จานชามชุดนั้นตอนรับน้ำชาและของว่าง ส่วนตอนกินข้าวจะใช้ชุดกระเบื้องหลากสีที่คุณหนูใหญ่ของพวกเขานำมาด้วย”

“ล้วนบันทึกกับป้ารับใช้ที่เรือนครัวทั้งสิ้น เกรงว่าเครื่องกระเบื้องหลากสีหลายชุดนั้นราคาไม่น้อยเลย”

“แค่ใบชาก็เตรียมเอาไว้สิบกว่าชนิด ยังมีชาหลงจิ่นเก็บเกี่ยวก่อนวันเช็งเม้งและชากวาเพี่ยนจากลิ่วอานอีกด้วย”

“สุราล้วนส่งมาจากจินหวาทั้งสิ้น ‘สุราซีชุน’ ที่คราก่อนคุณหนูซือย้ำกำชับพวกเราครั้งแล้วครั้งเล่าก็มีด้วยเช่นกัน แต่คนสกุลหวังกลับไม่เห็นเน้นย้ำอะไรเลย ตรงกันข้ามกลับให้คนที่ห้องน้ำชาเอาใจใส่สุราชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘ตงหยาง’ แทน เห็นบอกว่าขนส่งมาไม่ง่ายเลย สุราที่มีชื่อว่า ‘ตงหยาง’ นั่นต้องราคาแพงกว่า ‘สุราซีชุน’ อย่างแน่นอน”

บ่าวไพร่ของจวนหย่งเฉิงโหวจึงอดเอาตระกูลทั้งสองมาเปรียบเทียบกันไม่ได้

“จริงด้วย จริงด้วย! ข้ายังได้ยินมาอีกว่าแม่ครัวที่เรือนครัวของคุณหนูหวังรับผิดชอบแค่เรื่องขนมหวานเท่านั้น ส่วนอาหารเชิญอาจารย์ใหญ่ของหอสายลมวสันต์มาทำให้ รสชาติต้องดีมากแน่ๆ”

แม่ครัวที่เรือนของหวังซีทำขนมหวานได้อร่อยมากเพียงใดนั้น ไม่มากก็น้อยพวกนางล้วนเคยกินมาหมดแล้ว จึงยิ่งคาดหวังกับฝีมือของอาจารย์ใหญ่จากหอสายลมวสันต์มากขึ้น

พวกเขาไม่รู้ว่าฝีมือทำอาหารของแม่ครัวเรือนของหวังซีดีมากเช่นกัน แต่หอสายลมวสันต์เป็นกิจการของตระกูลพวกนาง โอกาสที่จะได้เป็นที่จับตามองเช่นนี้ นางย่อมต้องใส่ใจกิจการของตระกูลพวกนาง สร้างชื่อให้กิจการของตระกูลตัวเองสักหน่อย

จวนหย่งเฉิงโหวใหญ่โต บ่าวไพร่ในจวนก็มาก ในหนึ่งวันสิบสองชั่วยามทุกคนล้วนอยู่แต่ในบ้านหนึ่งหมู่สามเฟินนี้ พอมีสายลมพัดยอดหญ้าไหวอะไรพวกเขาก็กระซิบกระซิบวิพากษ์วิจารณ์ไปได้ถึงสองสามเดือน

จึงมีคนหันไปยักคิ้วหลิ่วตาใส่สวนหิมะงามที่ซือจูอาศัยอยู่ในตอนนี้ กล่าวว่า “มิใช่หาว่าผู้อื่นมาจากบ้านนอก มาเกาะกินความมั่งคั่งหรอกหรือ หากข้าเป็นฮูหยินผู้เฒ่า ญาติเช่นนี้ยิ่งมีมากยิ่งดี อาศัยอยู่ในจวนยิ่งนานก็ยิ่งดี โหวฮูหยินกับนายหญิงรองเองต่างก็คิดจะใช้ประโยชน์จากลานบ้านที่ผู้อื่นอาศัยอยู่มิใช่หรือ ซ่อมแซมอย่างดี ต่อไปคุณชายน้อยหกกับคุณชายน้อยเจ็ดแต่งงาน หากได้ใช้ล่ะก็ ดีกว่าตอนที่ซื่อจื่อแต่งงานเสียอีก”

ทุกคนต่างหัวเราะอย่างสนุกสนานแล้วก็ผ่านไป

แต่เมื่อคำพูดเหล่านี้ไปถึงหูซือจู กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป

ซือจูโกรธจนตัวสั่น อดกลั้นแล้วอดกลั้นอีก แต่ยังคงเขวี้ยงถ้วยชาสีแดงเงางามที่นางโปรดปรานมาก ซึ่งองค์หญิงฟู่หยางเป็นคนมอบให้นางจนแตกเป็นชิ้นๆ

ตานหมัวมัวที่ติดตามนางมาจวนหย่งเฉิงโหวด้วยสงสารนางจับใจ เสนอความคิดให้นางว่า “วันที่คุณหนูหวังจัดงานเลี้ยงเชิญแขกมาในวันนั้น ท่านอยากเข้าวังไปเล่นกับองค์หญิงฟู่หยางหรือไม่เจ้าคะ”

……………………………………………………………………….