แต่การจะเข้าวังไปเล่นกับองค์หญิงฟู่หยางมิใช่เรื่องง่าย

อันดับแรกไม่พูดถึงเรื่องป้ายขอเยี่ยมว่าจะส่งเข้าไปได้หรือไม่ ส่งเข้าไปได้แล้วยังต้องรอข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในคัดกรองอีก แน่นอนว่าสตรีชั้นสูงมีเกียรติอย่างซือจูนี้ ปกติข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในย่อมไม่ดูแคลน แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ เงินสินบนก็ยิ่งต้องมาก หาไม่ผู้อื่นจะคิดว่าตระกูลพวกเจ้าตระหนี่ถี่เหนียว ไม่รู้กาลเทศะ แค่เงินเล็กน้อยก็ไม่ยอมจ่าย ต่อให้ยอมให้เจ้าผ่านการคัดกรองเข้าไปได้ ก็ชักสีหน้าให้เจ้าเห็นอยู่ดี

เมื่อป้ายขอเยี่ยมส่งไปถึงมือของสตรีชั้นสูงในวังแล้ว ยังต้องดูว่าสตรีชั้นสูงในวังมีธุระอื่นหรือไม่ และจะยอมพบเจ้าหรือเปล่า รอจนเข้าวังไปอย่างราบรื่นแล้ว ตลอดทางที่ผ่านก็ยังต้องให้รางวัลอีกครั้งหนึ่งด้วย

อย่างเช่นคุณหนูหกปั๋ว เหตุใดทุกคนถึงชอบให้นางเข้าวังน่ะหรือ นั่นก็เพราะทุกครั้งที่นางเข้าวังล้วนให้เงินรางวัลจำนวนไม่น้อย หรืออย่างคุณหนูรองตระกูลอู๋ เหตุใดถึงไม่ยอมเข้าวัง? ก็เพราะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนในวังเหล่านี้นั่นเอง

เพียงแต่ซือจูรู้สึกว่าหมัวมัวของตัวเองกล่าวได้มีเหตุผลยิ่ง นางยอมควักเงินมากสักหน่อย แต่ไม่มีทางยอมให้การสนับสนุนหวังซีอยู่ที่จวนหย่งเฉิงโหวเป็นอันขาด

นางใช้โอกาสตอนไปคารวะเย็นฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา

ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมคาดหวังให้ความสัมพันธ์ระหว่างซือจูกับคนในวังแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ แต่ครั้งนี้ไม่รู้ว่ามีใครไปพูดอะไรข้างหูฮูหยินผู้เฒ่าหรือเปล่า ฮูหยินผู้เฒ่าถามซือจูว่า “พาหลานเหยียนไปด้วยได้หรือไม่ ข้าคิดดูแล้ว งานแต่งของหลานหนิงกำหนดลงมาแล้ว หลานเหยียนเองก็ต้องมองหาดูดีๆ แล้วเช่นกัน หากได้ผูกสัมพันธ์กับองค์หญิงฟู่หยาง ผู้อื่นจะได้มองนางสูงขึ้นอีกสักหน่อย”

ซือจูเป็นทุกข์ไม่ต่างจากกลืนแมลงวันเข้าไป อยากปฏิเสธ แต่เมื่อหางตากวาดผ่านฉังเหยียนโดยไม่ตั้งใจ เห็นนางมองตนด้วยแววตาระยิบระยับ อีกทั้งคิดว่าในบรรดาพี่สาวน้องสาวของตระกูลฉังนั้น ก็เป็นนางคนนี้ที่ดีพอให้พาไปออกงานได้ ถ้าหากนางได้แต่งกับคนดีๆ สักคนหนึ่งจริง ไม่แน่ว่าต่อไปนางอาจช่วยเหลืออะไรตนได้ นางพลันเปลี่ยนความคิด ยิ้มพลางพยักหน้าตอบรับ

ฉังเหยียนโล่งอกไปครั้งหนึ่ง

ระยะนี้คุณชายสี่เจี่ยเฝิงของจวนเซียงหยางโหวเข้าวัง ได้ยินว่ากำลังเรียบเรียงหนังสือเป็นเพื่อนองค์ชายสี่ องค์หญิงฟู่หยางกับซือจูและองค์ชายสี่มีสัมพันธ์อันดีต่อกัน ทุกครั้งที่ซือจูเข้าวังล้วนไปเจอองค์ชายสี่ ถึงเวลานางอาจได้เจอเจี่ยเฝิงด้วยก็เป็นได้

ต้องเตรียมการเรื่องงานแต่งของนางแล้วจริงๆ หากช่วงนี้นางยังไม่อาจสร้างความประทับใจอะไรให้คุณชายเจี่ยจดจำได้ นางกลัวว่าตอนที่มารดาของนางขอให้คนไปพูดเรื่องเกี่ยวดองกับจวนเซียงหยางโหวนั้น จะถูกจวนเซียงหยางโหวปฏิเสธทันควัน

นี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายของนาง

เมื่อออกจากเรือนฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว ฉังเหยียนตั้งใจเอาเงื่อนมงคลที่ทำด้วยตัวเองไปขอบคุณซือจูเป็นการเฉพาะ

ซือจูพอใจกับท่าทีของฉังเหยียนเป็นอย่างยิ่ง

นางนั้นทำเพื่อฉังหนิงมาก็ไม่น้อย ทว่านางไม่เคยได้กินขนมของฉังหนิงมาก่อนเลยแม้แต่ชิ้นเดียว บัดนี้งานแต่งของฉังหนิงถูกกำหนดลงมาแล้ว แม้นโหวฮูหยินบอกว่ากักตัวนางไว้ทำงานเย็บปักอยู่ที่บ้าน แต่นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฉังหนิงก็ไม่เคยมาหานางอีกเลย หรือนางจะไม่มีโอกาสออกมาหาแม้แต่นิดเดียวจริงๆ?

หรือฉังหนิงอาจรู้สึกว่าไม่ได้ประโยชน์อะไรจากตน จึงยอมวางมือไปแล้วก็เป็นได้?!

ซือจูแสยะยิ้มเย็น

จึงเอาใจใส่เรื่องของฉังเหยียนมากขึ้น

ฉังเคอรู้ว่าหลังจากที่งานแต่งของฉังเหยียนถูกกำหนดเรียบร้อย ก็ถึงคราวของนางแล้ว แต่นางไม่เหมือนฉันเหยียนที่มีเป้าหมาย ถ้าหากถามว่านางเคยแอบชอบใครมาก่อนหรือไม่ นั่นก็มีแค่เฉินอิงผู้เดียว แต่นางรู้ดี ต่อให้กาลเวลาผันผ่านไปนานเพียงใด นางก็ไม่มีทางได้แต่งกับเฉินอิง

นางรู้สึกกังวลเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตอนไปตรวจความเรียบร้อยต่างๆ ของงานเลี้ยงเป็นเพื่อนหวังซี จึงใจลอยบ่อยๆ อย่างยากจะห้ามได้

หวังซีเป็นคนประเภทที่หากเป็นคนที่นางเห็นว่าเป็นสหายแล้ว นางจะเป็นคนเข้าไปทำความเข้าใจสถานการณ์ของผู้อื่นด้วยตัวเอง แต่ถ้าเป็นคนที่ถูกนางตัดออกจากวงโคจรของการเป็นสหายของนางแล้ว หากผู้อื่นไม่ร้องขอ นางไม่มีทางไปสอบถามก่อนแม้แต่ประโยคเดียว

เป็นที่แน่ชัดว่าฉังเคอคือสหายของนาง

นางดึงฉังเคอไปคุยกันใต้ต้นการบูรที่อยู่ข้างๆ ลานบ้าน

ฉังเคอจิตใจหดหู่ อยากหาใครสักคนมาพูดคุยด้วยเหมือนกัน และนางรู้สึกว่าภายในจวนหลังนี้นอกจากหวังซีแล้ว ผู้อื่นล้วนไม่ค่อยเหมาะสมนัก ด้วยเหตุนี้จึงไม่ปิดบัง เล่าความในใจทั้งหมดของตัวเองให้หวังซีฟัง

หวังซีลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง กล่าวว่า “เรื่องของตัวเองข้ายังไม่มีแผนการเลย เรื่องของเจ้าข้ายิ่งช่วยอะไรไม่ได้แล้ว อย่างไรก็ตาม ถ้าหากมีใครมาทาบทามที่จวน ข้าไปสืบข้อมูลมาให้เจ้าอย่างละเอียดได้ อย่างไรย่อมดีกว่าแต่งไปอย่างคนหูหนวกตาบอด ดีกว่าเชื่อถือสิ่งที่แม่สื่อพูดมาทั้งหมดเพียงฝ่ายเดียว”

จากที่ได้ปฏิสัมพันธ์กับหวังซีมา ฉังเคอรู้ว่าตระกูลหวังมีความสามารถมาก รู้สึกว่าคำพูดของหวังซีมีเหตุผล ทั้งสองคนยืนคุยเรื่องส่วนตัวอยู่ตรงนั้นอีกกว่าครึ่งค่อนวัน ช่างตัดชุดของห้องเสื้อเมฆาคำนึงมาวัดตัวให้หวังซีกับฉังเคอ

หวังซีดึงฉังเคอไปที่โถงรับรองอย่างดีอกดีใจ

อากาศร้อนมากเกินไป พวกนางจึงพบแขกที่โถงรับรอง

ครั้งนี้พวกนางอยากตัดชุดฤดูร้อนตามแบบฉบับของซูโจว

ห้องเสื้อเมฆาคำนึงนำผ้าแบบใหม่มาด้วยอีกแล้ว ผ้าที่แนะนำมากเป็นพิเศษในจำนวนนั้นคือผ้าป่านทำจากป่านผสมกับเส้นไหมของร้านเฝิงจี้ที่หูโจว มีทั้งความนุ่มลื่นของเส้นไหมและความบางเบาระบายอากาศได้ดีของผ้าป่าน

ทันใดนั้นหวังซีรู้สึกอยากเจอนายคนปัจจุบันของร้านเฝิงจี้ที่หูโจวท่านนี้สักครั้ง

ในวงการผ้าดูเหมือนตระกูลพวกเขาจะมีนวัตกรรมใหม่อันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองออกมาตลอด คนเช่นนี้ ต้องมีอนาคตรุ่งโรจน์แน่นอน

หวังซีตัดชุดเสร็จแล้วให้หวังสี่นำความไปแจ้งหลงจู๊ใหญ่ครั้งหนึ่ง หลงจู๊ใหญ่ย่อมจะไปตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วนำไปรายงานพี่ชายใหญ่ของนาง

ส่วนตัวนางเมื่อจัดการเสร็จก็ไม่ได้สนใจอีก รอจนร้านเครื่องประดับส่งเครื่องประดับมาให้ วันงานเลี้ยงก็ใกล้เข้ามาแล้ว

หวังซีไปหาฮูหยินผู้เฒ่าก่อน เชิญนางมาเป็นแขกตามมารยาท

ฮูหยินผู้เฒ่ามอบตุ๊กตาดินเผาให้นางเป็นของขวัญย้ายบ้าน กล่าวเสียงอบอุ่นอีกสองสามประโยคแล้วปฏิเสธอ้อมๆ อย่างสุภาพไป จากนั้นหวังซีไปหาโหวฮูหยิน นายหญิงรองและนายหญิงสาม แน่นอนว่าพวกนางก็ปฏิเสธอ้อมๆ อย่างสุภาพไปเช่นกัน บ้างมอบชุดน้ำชา บ้างมอบต้นไม้ดอกไม้ บ้างมอบผลงานเย็บปักเป็นของขวัญให้นาง

เพียงแต่ว่าเมื่อไปถึงเรือนของฉังหนิง ไม่รู้ว่าฉังหนิงถูกโหวฮูหยินกักตัวเคร่งครัดมากเกินไปหรือเพราะไม่พึงใจงานแต่งของตัวเองเป็นพิเศษกันแน่ เด็กสาวที่เพิ่งถึงวัยแรกแย้ม สีหน้ากลับดูเหลืองซีด บนหน้าผากมีสิวหลายจุด กล่าวถากถางหวังซีด้วยดวงตาเจือความเป็นปรปักษ์ว่า “พวกเจ้าล้วนเป็นเด็กสาวที่ยังไม่ได้หมั้นหมาย อีกทั้งมีคนมอบของให้เป็นคันรถใหญ่บ้างเล็กบ้างแล้ว ข้าไม่ไปให้ระคายเคืองดีกว่า พวกเจ้าก็เล่นกันดีๆ อย่าเลินเล่อจนทำให้น้องสามีในอนาคตขุ่นเคืองใจ เมื่อแต่งไปแล้วถูกรังแกก็พอ”

หวังซีอัดแน่นไปด้วยความโกรธ นางตั้งใจมาเชิญดีๆ ยังกลายเป็นเรื่องแย่ไปได้?

“เช่นนั้นคุณหนูรองก็ตั้งใจปักชุดมงคลอยู่ในบ้านก็แล้วกัน” นางตอกกลับอย่างไม่เกรงใจแม้แต่นิดเดียว “ตอนถึงเวลาทำความรู้จักญาติอย่าให้กลายเป็นว่าของที่เอาออกมาล้วนเป็นฝีมือเย็บปักของช่างเย็บปักทั้งสิ้น เช่นนั้นโหวฮูหยินคงต้องมอบสาวใช้ที่เย็บปักได้เป็นสินเจ้าสาวให้เจ้านำไปด้วย ว่ากันว่าปัจจุบันสาวใช้ที่เย็บปักเป็นนั้นไม่ถูกเลย ราคาสามสิบเหลี่ยง เบี้ยรายเดือนยิ่งไม่ต้องพูดถึง”

ถากถางนางว่าซื้อมาได้ก็ใช่ว่าจะใช้ได้

แต่นี่กลับทิ่มแทงกลางใจฉังหนิงพอดี นางกระโดดตัวโหยงขึ้นมา “เจ้าคนต่ำต้อยผู้นี้…”

หวังซีไม่รอให้นางพูดจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไปแล้ว

เพียงแต่ว่าตัวนางเดินยังไม่พ้นเรือนหลักที่โหวฮูหยินอาศัยอยู่ ข่าวคราวนี้ก็เหมือนสยายปีกโบยบินไปทั่วจวนหย่งเฉิงโหวแล้วก็ไม่ปาน

ทุกคนต่างรู้สึกว่าหวังซีน่ารักไร้เดียงสาว และก็รู้ว่านางเป็นคนทนอะไรไม่ค่อยได้นัก แต่คิดไม่ถึงว่าฝีปากของนางจะยอดเยี่ยมได้ถึงเพียงนี้

ฉังเหยียนคิดว่าการที่นางตามซือจูไปเข้าวังในวันที่หวังซีจัดงานเลี้ยง จะด้วยหลักหรือเหตุผลนางก็ผิดอยู่เล็กน้อย กลัวหวังซีโกรธขึ้นมาแล้วจะตำหนินางไปด้วย นางไม่ตอบโต้ตัวเองก็เสียเปรียบ ตอบโต้ก็กลัวข่าวจะแพร่ไปถึงจวนเซียงหยางโหว จึงซ่อนตัวอยู่ที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่า บอกเพียงว่ากลัวตัวเองเข้าวังไปแล้วทำเสียมารยาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะ จึงขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าช่วยอธิบายให้ฟังว่าเมื่อเข้าวังไปแล้วต้องระวังเรื่องอะไรบ้าง

ฮูหยินผู้เฒ่าคิดๆ ดูแล้วฉังเหยียนเคยตามนางเข้าวังตอนเป็นเด็กเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่เหมือนฉังหนิงสองพี่น้อง ที่ได้ตามโหวฮูหยินเข้าวังไปเปิดหูเปิดตาทุกๆ สองถึงสามปี พลันรู้สึกเห็นใจสงสาร จึงดึงฉังเหยียนมาพูดคุยด้วย

หวังซีไม่เจอฉังเหยียน จึงฝากข้อความไว้ แล้วไปหาคุณหนูพาน

คุณหนูพานให้เกียรตินางเป็นอย่างมาก ไม่เพียงรับปากว่าจะไปร่วมงานเลี้ยงด้วยรอยยิ้มเต็มดวงหน้าเท่านั้น ยังหยิบชุดที่ตนเตรียมสำหรับไปร่วมงานเลี้ยงออกมาให้หวังซีช่วยดูด้วย “ไม่รู้ว่าจะไปซ้ำกับชุดของพี่สาวน้องสาวท่านใดหรือไม่ ถึงเวลาเปลี่ยนเครื่องประดับสักชิ้นแต่ไม่รู้ว่าจะกู้ภาพลักษณ์คืนได้หรือไม่”

หวังซียิ้มร่า กล่าวว่า “ชุดซ้ำกัน มิใช่จะได้ดูว่าผู้ใดงดงามกว่ากันหรอกหรือ ข้าคิดว่าพี่สาวพานไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องพวกนี้!”

คุณหนูพานรู้ดีว่าคำพูดนี้เป็นเพียงคำพูดตามมารยาทก็จริง แต่ยังคงรู้สึกดีใจมากอยู่ดี รั้งหวังซีให้อยู่ดื่มชาและกินขนมเสร็จแล้วถึงได้ปล่อยนางไป

เสร็จเรื่องแล้วฉังเหยียนไปอธิบายที่สวนร่มหลิวหนึ่งคำรบ แต่หวังซีไม่มีความรู้สึกดีๆ ให้นางแล้ว

กระทั่งถึงวันงานเลี้ยง ฟ้ายังไม่สางก็มีฝนตกลงมาปรอยๆ พอฟ้าสว่างฝนก็หยุด ต้นไม้เขียวชอุ่มที่ผ่านการชะล้างจากน้ำฝนดูสดชื่นมีชีวิตชีวามากเป็นพิเศษ อากาศก็เหมือนจะเย็นลงหลายส่วน

ไป๋กั่วกล่าวอย่างดีใจว่า “ช่างเลือกวันได้ดีจริงๆ แม้แต่สวรรค์ก็ยังช่วยเหลือคุณหนูของพวกข้า”

นี่เป็นงานเลี้ยงแรกที่หวังซีจัดนับตั้งแต่เดินทางมาจิงเฉิง คนตระกูลหวังล้วนคาดหวังให้ทุกอย่างราบรื่น

หวังซีสวมชุดเพ่ยจื่อตัวยาวสีชมพูไร้ลายตัดจากผ้าชนิดใหม่ของร้านเฝิงจี้ กระโปรงจีบเล็กสีขาว ประดับผมด้วยปิ่นมุก เสียบดอกมะลิหนึ่งช่อ ดูสดชื่นเหมือนดอกไม้ต้องน้ำค้างในคิมหันตฤดู ดูเหลือล้นแต่ก็ไม่ขาดเสน่ห์ ทำให้คนรู้สึกเป็นกันเองได้ง่าย

ฉังเคอมาถึงเร็วกว่าคนอื่นๆ นางสวมอาภรณ์ที่ตัดจากผ้าชนิดใหม่ของร้านเฝิงจี้เช่นกัน เพียงแต่ว่าชุดที่นางสวมคือชุดกระโปรงคาดอกสีเหลืองห่าน ปักลายดอกว่านน้ำสีชมพู ประดับตุ้มหูรัตนชาติสีน้ำเงิน ปักปิ่นดอกไม้เกสรไหมเงิน ดูสวยสง่า เด็ดเดี่ยวมั่นคง มีลักษณะของคนเป็นพี่สาว

ทั้งสองคนดูเวลาแล้ว เดินไปต้อนรับแขกที่ประตูชั้นในด้วยกัน

ส่วนหวังสี่พาหญิงรับใช้ร่างกายแข็งแรงหลายสิบคนนำน้ำแข็งไปวางตามจุดต่างๆ ทั่วลานบ้าน จัดสาวใช้เด็กคอยพัดประจำจุดเอาไว้

แขกที่มาถึงเป็นคนแรกคือลู่หลิง

นางสวมชุดกระโปรงคาดอกผ้าไหมหังโจวสีเขียว ประดับปิ่นหยกและดอกติงเซียง เป็นฉากหลังให้ดวงหน้าเล็กของนาง คิ้วตาประณีตงดงาม สีหน้ามีชีวิตชีวา เหมือนเซียนบุปผาผู้หนึ่ง

หวังซีกับฉังเคอมองแล้วชื่นชอบเหลือเกิน

ส่วนนางนั้นพอลงจากรถม้าก็ยกกระโปรงวิ่งเข้ามาหาทั้งสองคน กล่าวว่า “ข้ามิได้มาช้าไปใช่หรือไม่ ข้าบอกแล้วว่าให้มาเร็วสักหน่อย แต่เจียงหมัวมัวกลับบอกว่าเช้าเกินไปไม่ค่อยดี”

ทั้งร่าเริงสดใสและจริงใจ เด็กสาวเช่นนี้ใครจะไม่หลงรัก?

หวังซีกับฉังเคอรีบจับมือนางเอาไว้ ถามนางว่ารับมื้อเช้ามาหรือยัง ร้อนหรือเปล่า อยากไปนั่งพักและดื่มน้ำบ๊วยเปรี้ยวที่โถงรับรองหรือไม่

ลู่หลิงกลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าอยู่ต้อนรับแขกเป็นเพื่อนพี่สาวทั้งสองดีกว่ากระมัง พี่สาวรองอู๋เป็นคนตรงต่อเวลามาก ข้าคิดว่านางคงจะใกล้จะถึงแล้ว”

คิดไม่ถึงว่าคนที่มาถึงเป็นลำดับที่สองคือคุณหนูหกปั๋ว

นางถือบันทึกการเดินทางที่ปรากฏเพียงเล่มเดียวของราชวงศ์ก่อนซึ่งคัดลอกด้วยลายมือหนึ่งชุดมาให้หวังซีเป็นของขวัญ กล่าวยิ้มๆ อย่างจริงใจว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าเคยติดตามคนในบ้านของเจ้าเดินทางไปที่ต่างๆ มาแล้วมากมาย โดยมากก็น่าจะเป็นคนชอบออกจากบ้านผู้หนึ่ง หนังสือเล่มนี้เป็นของรักของหวงของท่านปู่ข้า ทำใจฝังไปด้วยไม่ได้ด้วยซ้ำ บอกว่าต้องการเก็บไว้ให้บุตรหลานและคนรุ่นหลังได้อ่าน ข้าคิดว่าเจ้าเองก็ต้องชื่นชอบหนังสือประเภทนี้ หลายวันก่อนให้สาวใช้ในบ้านแบ่งกันคัดมาหนึ่งเล่ม ได้แต่หวังว่าข้าคงคาดการณ์ไม่ผิด เจ้าอ่านแล้วจะชอบ!”

……………………………………………………………….

ตอนต่อไป