ตอนที่ 105 เคลื่อนย้าย

เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล

หวังซีชอบของขวัญชิ้นนี้มากจริงๆ

นางขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ้มพร้อมกับพาคุณหนูหกปั๋วไปนั่งที่โถงรับรองก่อน สั่งการไป๋กั่วและอีกสองสามคนตั้งน้ำชาให้คุณหนูหกปั๋วเสร็จแล้ว นางถึงได้กลับไปรอต้อนรับแขกคนอื่นๆ ที่ประตูชั้นในต่อ

คุณหนูหกปั๋วดื่มชาพร้อมกับมองสำรวจเครื่องเรือนโดยรอบเงียบๆ

บานประตูห้องโถงรับรองเปิดกว้าง ทุกบานฝังกระจกหลากสีเอาไว้ กระจกหลากสีชนิดนี้นำเข้ามาจากต่างประเทศ มีเพียงร้านที่ขายสินค้านำเข้าเท่านั้นถึงมีของเช่นนี้ขาย นอกจากนี้ยังต้องสั่งจองล่วงหน้าอีกด้วย

ตระกูลปั๋วเองก็มีโถงรับรองที่ฝังกระจกหลากสีเช่นนี้เอาไว้หนึ่งห้องเช่นกัน เพียงแต่ว่าอยู่ที่เรือนท่านย่าของนาง เป็นห้องที่บิดานางสร้างเพื่อแสดงความกตัญญูต่อท่านย่าของนาง

บนชั้นวางของตกแต่งมีงาช้างแกะสลักเป็นภาพดอกบัวสองมัจฉาวางเอาไว้ ฝีมือการแกะสลักวิจิตรงดงาม มีชีวิตชีวาราวกับเป็นของจริง ปลาส่ายหัวสะบัดหาง ประหนึ่งมีชีวิตจริง กำลังจะกระโดดออกมาจากผิวน้ำก็ไม่ปาน เครื่องเรือนเป็นไม้จีชื่อสีดำทั้งหมด แขวนผ้าม่านโปร่งบางสีเขียวนกแก้วไร้ลวดลาย บนโต๊ะดอกไม้วางเอื้องกะเรกะร่อนไว้หลายกระถาง

คุณหนูหกปั๋วอดขมวดคิ้วไม่ได้

ฤดูกาลนี้ยังมีเอื้องกะเรกะร่อนอยู่อีก?

ยังมีสิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจยิ่งกว่านั้นอีก

มุมทั้งสี่ของโถงรับรองล้วนวางน้ำแข็งเอาไว้ มีสาวใช้เด็กยืนประจำที่ ถือพัดใบลานขนาดใหญ่คอยพัดอยู่ตลอด

สายลมพัดเอื่อยๆ แม้นเป็นตอนเช้า ดวงอาทิตย์แผดเผาของฤดูร้อนกลับเย็นสบายราวกับเป็นต้นฤดูใบไม้ร่วง

นี่เป็นเป็นการวางแผนที่ยอดเยี่ยมยิ่ง

คุณหนูหกปั๋วได้ยินมาว่า ตอนที่องค์หญิงฟู่หยางมาเป็นแขกที่จวนหย่งเฉิงโหวนั้น ข้ารับใช้ข้างกายร้อนจนเกือบจะเป็นลมแดด

ในวังล้วนแล้วแต่กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันว่าคนรับใช้ข้างกายซือจูใช้การไม่ได้ งานเลี้ยงเล็กๆ ที่มีแขกแค่สี่ถึงห้าสิบคนก็จัดการไม่ได้

น้ำแข็งเหล่านี้ก็น่าจะเป็นตระกูลหวังที่ส่งมาให้

ขณะที่คุณหนูหกปั๋วกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น คุณหนูรองอู๋ก็มาถึง

นางยังคงแต่งกายเรียบง่ายและสบายๆ เช่นเดิม สวมชุดเพ่ยจื่อตัวยาวไหมหังโจวสีเขียมอมเหลือง กระโปรงจีบเล็กสีขาว บนมวยผมก้นหอยคู่ปักดอกพุดซ้อนไว้สองดอก กลิ่นหอมแตะจมูก ทำให้สดชื่นเจริญใจยิ่งนัก

คุณหนูหกปั๋วกล่าวยิ้มๆ ว่า “ฤดูกาลนี้ยังมีดอกพุดซ้อนอยู่อีกหรือ นี่คงเป็นดอกไม้ที่พวกเจ้าปลูกเองกระมัง”

คุณหนูรองอู๋ยิ้มตอบว่า “เจ้าก็รู้ พี่สะใภ้รองของข้าไม่มีงานอดิเรกอื่นใด ชอบแค่เรื่องปลูกดอกไม้ใบหญ้าเท่านั้น นี่ข้าแอบไปเด็ดจากเรือนดอกไม้ของนางมา ไม่รู้ว่ากลับไปจะจัดการข้าอย่างไรบ้าง!”

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการกล่าวล้อเล่นเท่านั้น

ในจิงเฉิงนี้ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าน้องสาวสามีกับพี่สะใภ้ตระกูลอู๋กลมเกลียวกันเพียงใด เป็นที่อิจฉาของคนมากมาย

คุณหนูหกปั๋วชื่นชอบดอกพุดซ้อนนี้ด้วยใจจริง กล่าวชมอยู่ครึ่งค่อนวัน ยังขอจากคุณหนูรองอู๋หนึ่งกระถางด้วย หวังซีเดินเข้ามาพร้อมกับคุณหนูพาน

นับเป็นครั้งแรกที่คุณหนูพานได้สมาคมกับพวกนาง จึงต้องแนะนำตัวกันสักครั้งหนึ่ง

โชคดีที่คุณหนูพานนั้นแม้นดูเป็นคนเงียบๆ สุภาพเรียบร้อย ทว่าทำอะไรกลับมีระเบียบแบบแผน ในเวลาเพียงไม่กี่ประโยค ก็คุยเรื่องเดียวกันกับคุณหนูสองสามท่านได้แล้ว ทำให้บรรยากาศคึกคักขึ้นมา

ลู่หลิงร้องอยากไปดูภายในลานบ้านของหวังซี นางกล่าว “ข้าเห็นชิงช้าที่ตั้งอยู่ในลานบ้านของเจ้าตั้งแต่มาถึงแล้ว พวกเราไปนั่งคุยที่นั่นกันเถอะ”

คุณหนูหกปั๋วถือพัดกลมด้ามไผ่นางสนมพัดไปมา กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าไม่ไป ด้านนอกร้อนเกินไป”

ลู่หลิงยู่ปาก

มีสาวใช้เข้ามารายงาน บอกว่าคุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวมาหา

คุณหนูรองอู๋ประหลาดใจ ถามหวังซีว่า “เจ้าเชิญคุณหนูของจวนเซียงหยางโหวด้วยหรือ”

หวังซีมึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก ตอบอย่างเหลอหลาว่า “ข้าไม่ได้ส่งเทียบเชิญให้จวนเซียงหยางโหวนี่นา! เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า”

จิงเฉิงนั้นแม้นกล่าวว่ากว้างใหญ่แต่ความจริงเล็กมาก อย่างน้อยคนที่ไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยๆ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนไม่กี่ตระกูลเหล่านั้น เรื่องบาดหมางระหว่างสตรีจวนหย่งเฉิงโหวกับสตรีจวนเซียงหยางโหวนั้นแม้แต่คุณหนูรองอู๋ที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องอะไรเท่าไรยังรู้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นๆ เลย

คุณหนูหกปั๋วกลับไม่ครั่นคร้ามต่อสิ่งใดอยู่เสมอ กล่าวยิ้มๆ ว่า “มาถึงแล้วล้วนถือเป็นแขก นอกจากนี้วันนี้เป็นงานเลี้ยงย้ายบ้านของคุณหนูหวัง นางอยากมาแสดงความยินดี พวกเราจะปฏิเสธคนตรงหน้าประตูอย่างนั้นหรือ นางอยากมาก็ให้มาเถอะ!”

หวังซีเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท ยังให้ไป๋กั่วไปต้อนรับคนด้วย

คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวนั้นหวังซีเองก็รู้จัก พวกนางเจอกันครั้งแรกที่วัดอวิ๋นจวีและครั้งที่สองที่งานวันคล้ายวันเกิดของเป่าชิ่งจ่างกงจู่

หวังซีจำได้ว่านางผิวขาวกระจ่างใบหน้ากลม มีไฝแดงตรงมุมปากหนึ่งเม็ด ยามยิ้มมีลักยิ้มหนึ่งอัน เป็นเด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับนาง ภาพจำของนางยังคงเด่นชัดนัก

นางรอต้อนรับคุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวอยู่ตรงหน้าประตูโถงรับรอง

คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวสวมเพ่ยจื่อผ้าไหมหังโจวสีเขียวน้ำทะเลสาบลายกิ่งไผ่ ปักปิ่นหยกสลักเป็นลายปล้องไผ่ ของขวัญแสดงความยินดีที่นางมอบให้หวังซีเป็นชุดเครื่องเขียนที่บรรจุอยู่ในกล่องลงน้ำมันเคลือบเงาสีดำลายบุปผาพันกิ่งไม้หนึ่งชุด ยิ้มนำเข้ามาก่อน ยอบกายแสดงความเคารพหวังซีไปด้วย กล่าวไปด้วยว่า “คุณหนูหวังอย่าได้ตำหนิข้า ที่ข้ามาโดยมิได้รับเชิญ”

คนยอมรับผิดก็ไม่ควรยื่นมือไปตบ ผู้อื่นสุภาพเช่นนี้ หวังซีเองก็ไม่อาจเสียมารยาท คารวะกลับอย่างยิ้มแย้ม กล่าวว่า “ข้าไม่ค่อยสนิทสนมกับพี่สาวน้องสาวจวนเจ้า ประกอบกับไม่รู้ว่ามีใครอยู่บ้านหรือใครไม่อยู่บ้านบ้าง จึงไม่กล้าผลีผลามส่งเทียบเชิญไปให้ จะว่าไปแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้า คุณหนูห้าอย่าได้เกรงใจข้า”

จวนเซียงหยางโหวปกครองกันอย่างเข้มงวด นางเชื่อว่าหากคุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวไม่ได้รับการเห็นชอบจากฮูหยินผู้เฒ่าของพวกนาง ย่อมไม่มีทางมาแสดงความยินดีเรื่องย้ายบ้านของคุณหนูต่างสกุลจวนหย่งเฉิงโหวอย่างนางแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจวนหย่งเฉิงโหวทราบเรื่องมาก่อนหรือไม่เท่านั้น

แต่ไม่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจวนหย่งเฉิงโหวจะทราบเรื่องมาก่อนหรือไม่ การที่คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวมาเช่นนี้ ตอนนี้พวกนางก็น่าจะทราบเรื่องแล้ว

คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวกลับทำตัวสนิทสนมกับหวังซียิ่งนัก กล่าวยิ้มๆ ว่า “ญาติห่างไกลมิสู้เพื่อนบ้านชิดใกล้ เดิมทีพวกเราก็ควรจะไปมาหาสู่กับบ่อยๆ สนิทสนมดุจพี่สาวน้องสาวถึงจะถูก ข้ามีนามอักษรตัวเดียวว่า ‘ซิ่ว’ ข้าทราบมาว่าเจ้าอายุน้อยกว่าฉังเคอ ข้าแก่กว่าฉังเคอสามเดือน หากเจ้าไม่รังเกียจ เรียกข้าว่า ‘พี่สาวห้า’ ดีกว่า” กล่าวจบ ยังหันไปเม้มปากยิ้มให้หวังซีด้วย

ลักยิ้มนั่นเด่นชัดมากขึ้น

หวังซีถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก แม้นพวกผู้ใหญ่จะเตือนนางบ่อยๆ ว่า ‘หากไม่เกี่ยวกับความเป็นความตายก็ไม่จำเป็นต้องมีเรื่องกับคนอื่น’ ก็ตาม แต่นางเองก็มิใช่คนที่จะเรียกใครว่า ‘พี่สาว’ ตามอำเภอใจพร่ำเพรื่อ ยิ่งไปกว่านั้นจวนเซียงหยางโหวเจ้ายศเจ้าอย่าง ชอบใช้อุบาย นางไม่ชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงยิ่งไม่มีทางเรียกคุณหนูจวนเซียงหยางโหวว่า ‘พี่สาว’

นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “นั่นช่างดียิ่ง ตอนนี้ข้าได้รู้จักพี่สาวน้องสาวหลายท่าน หากพี่สาวไม่รังเกียจ ข้าเรียกท่านว่า ‘คุณหนูห้าเจี่ย’ ดีกว่ากระมัง จะได้ไม่ซ้ำกับพวกพี่สาวน้องสาวคนอื่นๆ เป็นเหตุให้ทุกคนไม่รู้ว่าข้ากำลังเรียกผู้ใดอยู่!”

กล่าวจบ หวังซียังคล้องแขนคุณหนูห้าเจี่ยอย่างสนิทสนม กล่าวว่า “อากาศร้อนมาก รีบเข้าไปพักผ่อนด้านในเถอะ ดื่มน้ำบ๊วยเปรี้ยวดับร้อนสักสองสามจิบ”

คุณหนูห้าเจี่ยรู้ว่านี่คือการปฏิเสธ แต่หวังซีพูดและปฏิบัติต่อนางอย่างกระตือรือร้น ต่อให้ในใจรู้สึกขุ่นเคืองอยู่บ้าง แต่นางก็ไม่อาจแสดงออกมา จำต้องอดกลั้นความโกรธนี้ไว้ ยังเดินเข้าในโถงรับรองพร้อมกับหวังซีอย่างยิ้มแย้มอีกด้วย

ไอเย็นจากโถงรับรองลอยมาปะทะใบหน้า

ฉับพลันนั้นนางตระหนักได้ว่า ภายในห้องมีน้ำแข็งขนาดใหญ่วางเอาไว้ เพียงแต่ว่าพอนางเดินเข้าประตูมาก็เห็นคุณหนูหกปั๋ว ไหนเลยจะทันได้มองรอบๆ รีบตะโกนเรียก “พี่สาวหก” เสียงหนึ่งอย่างสนิทสนม ก้าวออกไปทำความเคารพคุณหนูหกปั๋ว

ญาติผู้พี่คนโตของคุณหนูห้าเจี่ยเป็นพี่สะใภ้ของคุณหนูหกปั๋ว ทั้งสองตระกูลเกี่ยวดองกัน ไม่ว่าจะเป็นงานแต่งหรืองานศพล้วนได้เจอหน้ากันอยู่เสมอ จึงสนิทสนมกันเป็นอย่างดี

คุณหนูหกปั๋วทำความเคารพกลับ กล่าวยิ้มๆ ว่า “เมื่อครู่ข้ายังพูดกับคุณหนูรองอู๋อยู่เลย จวนเซียงหยางโหวก็มีเจ้าที่เข้าสังคมเก่งที่สุดแล้ว ในบรรดาคนรุ่นพวกเรานี้ มีเรื่องอะไรฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเจ้าล้วนชอบส่งเจ้าออกหน้าไปร่วมงานเสมอ เพียงแต่ไม่รู้ว่าวันนี้เจ้ามาส่งของขวัญเสร็จแล้วจะกลับบ้านเลย หรือจะอยู่เที่ยวเล่นที่นี่นานสักหน่อย หากอยู่นาน ประเดี๋ยวถึงเวลาที่พวกเราดื่มสุรากัน จะได้มีเพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีกสักคนหนึ่ง”

เดิมทีคุณหนูห้าเจี่ยแค่จะมาส่งของขวัญเท่านั้น ได้คุยกับหวังซีสักครั้งก็จะกลับเลย แต่ได้ยินเช่นนั้นแล้วย่อมเปลี่ยนความคิด นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าย่อมจะอยู่ดื่มสุราเป็นเพื่อนพี่สาวหกและพี่สาวรองอยู่แล้ว”

ขณะที่กล่าวก็ทำความเคารพคนอื่นๆ ในห้องไปด้วย

คุณหนูห้าเจี่ยกับคุณหนูหกปั๋วเหมือนกัน พูดเก่งมาก ประกอบกับนางและคนอื่นๆ ล้วนรู้จักกันอยู่แล้ว เพียงไม่นาน ทุกคนก็พูดคุยหัวเราะกัน ราวกับว่านางก็ได้รับเชิญมางานด้วยเช่นกัน

ฉังเคอทอดถอนใจ แอบกระซิบกล่าวกับหวังซีว่า “หากข้าเก่งกาจเหมือนนางได้ก็คงดี!”

หวังซีกล่าวปลอบใจนางยิ้มๆ ว่า “ความสำเร็จไม่ขึ้นอยู่กับอายุ ความเชื่อมั่นไม่ขึ้นอยู่กับพูดเก่ง”

ฉังเคอหัวเราะคิก ได้รับการปลอบประโลมในทันใด ไปคุยกับพวกคุณหนูรองอู๋ต่อ

หวังซีเห็นว่าทุกคนต่างก็พักผ่อนกันจนหายเหนื่อยแล้ว จึงเชิญทุกคนไปเดินเล่นในสวน “เนื่องจากย้ายบ้านใหม่ อย่างไรก็ต้องเชิญพวกเจ้าไปดูสักครั้ง จากนั้นพวกเราค่อยรับประทานมื้อเที่ยงกันที่ศาลาริมทะเลสาบ ที่นั่นแวดล้อมด้วยต้นไม้เขียวขจี ตอนเที่ยงมองแล้วทำให้คนรู้สึกสดชื่นเย็นสบาย”

ลู่หลิงอยากกล่าวบางอย่างแต่ก็หยุดไป

นางรู้สึกว่าในโถงรับรองดีกว่า มีน้ำแข็ง เย็นสบาย

แต่ปีนี้น้ำแข็งของจิงเฉิงขาดแคลน อย่างของหวังซีนี้ อย่าคิดว่าเป็นแค่ช่วงเช้าและก็ใช้แค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น เพราะมันกลับได้มายากยิ่งนัก

ต่อให้ที่ศาลาจะเย็นสบายมากเพียงใด ก็คงสู้โถงรับรองไม่ได้

แต่นางไม่อยากให้หวังซีลำบากใจ จึงไม่กล่าวอะไร ลุกขึ้นยืนตามทุกคน

คนอื่นๆ ก็ไม่มีใครทักท้วงอะไรเช่นกัน

บ้านของหวังซีนั้นไม่ต้องพูดถึงเลย ใช้เงินก้อนใหญ่เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดสวนของเจียงหนานมาปรับปรุงสวนให้ นอกจากต้นไม้ดอกไม้อุดมสมบูรณ์แล้ว เดินหนึ่งก้าวก็หนึ่งทิวทัศน์ มีสะพานเล็กๆ ข้ามลำธาร ทางเดินคดเคี้ยวเข้าไปในดงดอกไม้ เดินเข้าไปในสวนแล้ว ทำให้คนรู้สึกราวกับอยู่ที่เจียงหนาน สถานที่ที่มีลำธารขนาดเล็กเช่นนี้พบเห็นได้น้อยยิ่งนักในจิงเฉิง

คุณหนูหกปั๋วกล่าวเย้าว่า “ไม่แปลกใจที่อยากให้พวกข้ามาเดินเล่นในสวน สวนเช่นนี้ไม่ควรเก็บซ่อนเอาไว้จริงๆ” ยังชี้โต๊ะหินข้างภูเขาจำลองหินไท่หู พลางกล่าว “เมื่อถึงฤดูหนาว นั่งอยู่ตรงนั้นน่าจะมองเห็นต้นบ๊วยเก่าแก่สองต้นนั้นได้พอดิบพอดีกระมัง ข้าคิดว่าเมื่อถึงฤดูหนาวเจ้าต้องเชิญพวกข้ามาเป็นแขกที่บ้านอีกครั้งถึงจะใช้ได้”

ก่อนหน้านี้ฉังเคอไม่ได้สังเกต นึกถึงที่บ้านหลักและบ้านรองต่างอยากได้บ้านหลังนี้แล้ว ก็รู้สึกว่าหวังซีไม่จำเป็นต้องปรับปรุงบ้านให้ดีขนาดนี้ก็ได้

หวังซีเป็นคนที่หากไม่ทำก็ไม่ทำ แต่ถ้าลงมือทำแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุด

หากนางอยู่จนถึงฤดูหนาวจริงๆ แม้แต่ดอกบ๊วยก็ต้องดู นางต้องอยู่ไม่สุขทั้งวันทั้งคืนแน่

“ได้เลย!” นางรับปากอย่างมีชีวิตชีวา ยังชี้ต้นหอมหมื่นลี้สองสามต้นที่อยู่ไม่ไกล “เป็นหอมหมื่นลี้ทองและหอมหมื่นลี้เงินที่ข้าย้ายต้นมาจากเจียงหนาน ไม่ต้องรอให้ถึงฤดูหนาว ถึงฤดูใบไม้ร่วงข้าค่อยเชิญทุกคนมาเล่นด้วยกันอีกครั้ง มาดื่มสุราดอกหอมหมื่นลี้ กินขนมดอกหอมหมื่นลี้ และชมดอกหอมหมื่นลี้”

ลู่หลิงตบมือ กล่าวว่า “พี่สาวหวังห้ามลืมเป็นอันขาดนะเจ้าคะ”

คุณหนูรองอู๋กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าวางใจ ต่อให้นางลืม เจ้าก็ไม่ลืม”

ทุกคนหัวเราะฮ่า

กระทั่งถึงศาลาสำหรับรับประทานมื้อเที่ยง ลู่หลิงค้นพบว่าภายในศาลาเองก็มีน้ำแข็งวางเอาไว้ ยังแขวนมู่ลี่ไผ่นางสนมเอาไว้หลายผืนด้วย เมื่อนั่งลงในศาลา มองเห็นบัวสายที่กำลังเบ่งบานอยู่ในสระบัวขนาดเล็กได้พอดี ทิวทัศน์ดีกว่าโถงรับรองจริงๆ

“ในนี้ก็เย็นสบายมากเหมือนกัน!” นางพาดตัวอยู่บนเก้าอี้คนงามเป็นคนแรก มองบัวสายสีแดงบ้างสีขาวบ้างที่กำลังเบ่งบานพร้อมกับเอ่ยถามหวังซีว่า “ในนี้เลี้ยงปลาหรือไม่”

“เลี้ยงปลาไนสารพัดสีไว้” หวังซีตอบ ให้ไป๋ซู่ไปหยิบอาหารปลามาให้ลู่หลิง “เจ้าเล่นครู่หนึ่งก่อน พวกเราใกล้จะเริ่มมื้ออาหารแล้ว”

ลู่หลิงพยักหน้าหงึก หว่านอาหารปลาล่อปลาไนสารพัดสีออกมา

คุณหนูรองอู๋และคนอื่นๆ เองก็อดใจไม่ได้ก้าวออกมาดูด้วย