คุณหนูหกปั๋วได้ยินแล้วบังเกิดความระแวดระวัง

จวนเซียงหยางโหวมีพฤติกรรมที่ได้ชื่อว่าวิ่งเข้าหาประโยชน์หลีกเลี่ยงเภทภัยอันตราย คุณหนูต่างสกุลตัวเล็กๆ คนหนึ่งของจวนหย่งเฉิงโหวจัดงานเลี้ยงย้ายบ้านเพื่อความสนุกขำขันเท่านั้น แต่จวนเซียงหยางโหวไม่เพียงมาโดยไม่ได้รับเชิญและส่งคุณหนูห้าผู้พึ่งพาได้มาร่วมงานเลี้ยงเท่านั้น ยังถามถึงเรื่องที่ปั๋วหมิงเย่ว์ส่งของขวัญให้หวังซีขึ้นมาอีกด้วย

เป็นเหตุให้คุณหนูหกปั๋วอดคิดมากไม่ได้

จวนเซียงหยางโหวอยากดองกับตระกูลพวกนางเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ตระกูลพวกนางไม่คิดจะดองกับจวนเซียงหยางโหวอีกครั้งหนึ่งแล้ว

ตอนนั้นหากมิใช่เพราะจวนเซียงหยางโหวใช้อุบาย ทำให้พี่ชายใหญ่ถูกใจคุณหนูใหญ่จวนเซียงหยางโหว และคุณหนูใหญ่จวนเซียงหยางโหวเองก็มีหน้าตาและคุณสมบัติที่โดดเด่นจริงๆ ละก็ ต่อให้คุณหนูใหญ่จวนเซียงหยางโหวจะประจบเอาใจพี่ชายใหญ่ของนางอย่างไร ตระกูลพวกนางก็ไม่มีทางยอมรับการแต่งงานครั้งนี้อย่างแน่นอน

ส่วนสมาชิกคนอื่นๆ ของจวนเซียงหยางโหวนั้น พวกเขาสองตระกูลเกี่ยวดองกันครั้งหนึ่งไปแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องดองกันอีกครั้ง

คงมิใช่ว่าคนจวนเซียงหยางโหวกำลังคิดจะหาประโยชน์จากพี่ชายเจ็ดของนางอยู่หรอกกระมัง

ถึงแม้เฉินลั่วจะเป็นสาเหตุที่ทำให้นางปรารถนาให้งานแต่งของหวังซีถูกกำหนดให้แล้วเสร็จโดยเร็วก็ตาม แต่นางก็ไม่คิดจะให้คนเซียงหยางโหวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย หาไม่ด้วยนิสัยของคนจวนเซียงหยางโหวแล้ว ต้องคิดว่าจวนเซียงหยางโหวเข้ามากะเกณฑ์เรื่องเหล่านี้ของตระกูลพวกนางได้เป็นแน่

คุณหนูหกปั๋วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “มีเรื่องเช่นนี้จริงๆ” จากนั้นกล่าวอย่างมีนัยแฝงว่า “จวนพวกเจ้าก็รู้ ฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเจ้าต้องการเป็นแม่สื่อให้พี่ชายเจ็ดของข้า ยังไม่ทันพูดเรื่องทาบทามกันดีๆ พี่ชายเจ็ดของข้ากลับถูกปล่อยข่าวว่าเป็นคนปฏิเสธงานแต่ง คุณหนูหวังจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน พี่ชายเจ็ดของข้าจึงต้องตีฆ้องร้องป่าวไปกล่าวขอโทษคุณหนูหวังสักครั้ง”

กล่าวจบ นางแสร้งทำเป็นมองคุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวอย่างระแวดระวัง กล่าวว่า “คงมิใช่ว่ามีข่าวลืออะไรแพร่ออกไปอีกแล้วกระมัง พี่ชายเจ็ดของข้าอยู่ของเขาดีๆ หลายปีมานี้กลับถูกพวกชอบซุบซิบเอาไปนินทาจนกลายเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้! หากงานแต่งของพี่ชายเจ็ดของข้าไม่ราบรื่น ตระกูลพวกข้าต้องไม่ปล่อยคนสร้างเรื่องซุบซิบเหล่านั้นไปเป็นแน่”

ดวงหน้าของคุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวขาวซีด

ตอนนั้นคนที่เอาคำพูดของปั๋วหมิงเย่ว์ไปป่าวประกาศก็คือคนในจวนพวกนาง

จวนเซียงหยางโหวก็ไม่ได้อยากดองกับจวนชิ่งอวิ๋นโหวอีกครั้ง เพียงแต่เซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่ามักรู้สึกว่าหลังจากที่คุณหนูใหญ่ของพวกนางแต่งเข้าตระกูลปั๋ว ถึงแม้จะให้กำเนิดหลานชายคนโตได้แล้ว แต่ยังคงไร้อำนาจพูดอะไรในตระกูลปั๋วอยู่ดี จึงอยากให้คุณหนูที่มีความสัมพันธ์ค่อนข้างดีกับจวนเซียงหยางโหวแต่งงานกับปั๋วหมิงเย่ว์คนที่ชิ่งอวิ๋นโหวฮูหยินผู้เฒ่าและโหวฮูหยินโปรดปรานที่สุด ไม่ถึงกับพูดว่าส่งผู้ช่วยไปให้พี่สาวใหญ่ของพวกนาง แต่อย่างน้อยก็ไม่มีทางเป็นตัวถ่วงของพี่สาวใหญ่ของพวกนางแน่นอน

“ดูพี่สาวหกกล่าวสิเจ้าคะ คล้ายกับว่าคนจวนพวกข้าเป็นคนชอบซุบซิบนินทามากก็ไม่ปาน” คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวกล่าวแก้ต่างให้ตัวเองยิ้มๆ “นี่มิใช่เพราะข้าได้ยินผู้อื่นพูดถึงเรื่องนี้ จึงกลัวว่าจะลือต่อกันมาแบบผิดๆ ถึงได้มาสอบถามเจ้าหรอกหรือ พี่สาวหกคงไม่อาจอยุติธรรมต่อพวกข้ากระมัง”

แม้นกล่าวว่าเป็นคำพูดตามมารยาทยามเข้าสังคม แต่ถ้าจริงจังมากเกินไปก็ทำให้เสียบรรยากาศได้ง่าย วันนี้หวังซีเป็นเจ้าของงาน แตะถึงจุดหนึ่งก็พอแล้ว

คุณหนูหกปั๋วเม้มปากยิ้ม เข้าไปคล้องแขนคุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหว กล่าวว่า “อะไรที่ทำให้อาหลิงสนใจได้ล้วนเป็นของดีทั้งสิ้น ปลาไนสารพัดสีของคุณหนูหวังจะต้องเลี้ยงไว้อย่างดีเป็นแน่ พวกเราเองก็ไปดูเปิดหูเปิดตาด้วยเถอะ”

คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวไหนเลยจะกล้าพูดอะไรอีก รีบขยับเข้าไปหาลู่หลิงและคนอื่นๆ พร้อมกับคุณหนูหกปั๋วอย่างกระตือรือร้น

***

อาหารเที่ยงดำเนินการโดยหอสายลมวสันต์ของตระกูลหวัง บรรดาพ่อครัวใหญ่ต่างแสดงฝีมือออกมาเต็มที่ หมูสามชั้นตุ๋นน้ำแดงตุ๋นได้นุ่มเด้งมันวาว ปลาแห้งทอดกลิ่นหอมกรุบกรอบ กลิ่นหอมของเป็ดชั้นหนึ่งลอยมาแตะจมูก…รวมกับขนมหวานที่แม่ครัวประจำเรือนของหวังซีทำมาด้วยแล้ว ต่อให้เป็นสตรีชั้นสูงที่เข้าออกวังหลวงประหนึ่งไปเดินตลาดอย่างคุณหนูหกปั๋ว ก็ยังกินแล้วกล่าวชมไม่หยุด โดยเฉพาะขนมหวานที่แม่ครัวประจำเรือนของหวังซีทำมานั้น นางเอ่ยปากขอให้หวังซีห่อให้นางเอากลับไปด้วยหนึ่งห่ออย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่นิดเดียว นางจะเอาไปแสดงความกตัญญูต่อผู้อาวุโสในบ้าน ยังกล่าวด้วยว่า “ถูกปากท่านย่าของข้าเป็นพิเศษ หวานแต่ไม่เลี่ยน วัตถุดิบที่ใช้ก็แตกต่างจากทั่วไป อย่าง ‘ขนมสายลมพัดสิบลี้’ ที่เจ้ากล่าวถึงอันนั้น ใช้ผลไม้กวนทำเป็นไส้ ด้านในยังเติมถั่วลิสงและถั่วมันฮ่อบด โรยงาดำ หน้าตาเหมือนถ้วยดอกไม้ ทั้งประณีตงดงามแล้วก็ยังมีรสชาติอร่อย ข้าเพิ่งจะเคยกินเป็นครั้งแรก”

นี่เป็นขนมหวานที่ย่าทวดของหวังซีชอบกินในช่วงบั้นปลาย นับเป็นขนมหวานสูตรลับเฉพาะของตระกูลหวัง

อาหารที่ทำมาแล้วมีคนชื่นชอบและกล่าวชื่นชมอย่างจริงใจ ย่อมทำให้คนดีใจเป็นธรรมดา

แต่คนฉลาดเจ้าเล่ห์อย่างหวังซีผู้นี้หาประโยชน์จากภาระเล็กน้อยนี้ นางให้บ่าวไพร่ในบ้านนำขนมหวานที่จะมอบให้ตระกูลปั๋วทั้งหมดมาห่อด้วยกล่องกระดาษของหอสายลมวสันต์ ยังย้ำกำชับว่า “หากตระกูลปั๋วถามขึ้นมา พวกเจ้าก็บอกไปว่าก่อนหน้านี้มิได้เตรียมเอาไว้ จำต้องนำกล่องนี้มาบรรจุให้ก่อน ถ้าหากผู้อาวุโสของพวกเขาชื่นชอบ ถึงเวลาพวกเราค่อยส่งไปให้อีก”

นางกล่าว “ถึงตอนนั้นก็ใช้กล่องกระดาษของหอสายลมวสันต์ห่ออีกครั้งเช่นกัน”

หวังซีมั่นใจในความอร่อยของขนมหวานของพวกนาง

ต่อมาขนมหวานของหอสายลมวสันต์ค่อยๆ มีชื่อเสียงในจิงเฉิงขึ้นมา ถึงแม้จะเป็นเรื่องหลังจากนี้ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธว่าผลกำไรส่วนใหญ่ที่ได้มามีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการเล็กๆ แผนนี้ของหวังซี

ทว่าเวลานี้คุณหนูหกปั๋วกลับมิได้ตระหนักถึงมัน นางคิดแค่ว่าขนมหวานรสชาติดีเท่านั้น

หลังมื้ออาหาร เมื่อทุกคนดื่มชาเสร็จ อากาศก็เปลี่ยนเป็นช่วงที่ร้อนที่สุดของวันแล้ว หวังซีจึงจัดสถานที่ให้ทุกคนนอนพักกลางวัน

เรือนปีกสำหรับนอนพักกลางวันทุกหลังล้วนมีน้ำแข็งวางเอาไว้ มีสาวใช้เด็กยืนพัดอยู่หลังน้ำแข็ง

ตกบ่าย หวังซีเชิญนักแสดงสองท่านของคณะหลีฮวามาทำการแสดง รวบรวมการแสดงเพลงสั้นฉากที่โดดเด่นมาเจ็ดถึงแปดตอน ทุกคนปรึกษากันแล้วสุดท้ายเลือกตอน ‘คมดาบอวี่โจ้ว’ ที่คณะหลีฮวาเชี่ยวชาญที่สุด

สตรียามได้ชมการแสดงงิ้วล้วนเหมือนกันทั้งหมด ผลไม้ที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่คิดจะกินแล้ว มือถือจอกชาไว้ครู่ใหญ่ถึงนึกขึ้นได้ว่าต้องจิบสักคำหนึ่ง ทั้งลานบ้านเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึงของเสียงดนตรีและเสียงร้องงิ้ว

เป็นเหตุให้ฮูหยินผู้เฒ่าและโหวฮูหยินหันไปมองสวนร่มหลิวหลายต่อหลายครั้ง ซือหมัวมัวยังกล่าวประจบประแจงฮูหยินผู้เฒ่าว่า “หากท่านชอบ ข้าไปบอกคุณหนูต่างสกุลสักคำ ให้นางกตัญญูต่อท่านสักครั้งดีกว่าเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกขัดเขินเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กล่าวว่า “นางคงเชิญเสี่ยวหลีฮวามากระมัง นางอายุยังน้อย แต่เพิ่งเข้าเมืองหลวงมาก็เชิญเทพผู้ยิ่งใหญ่องค์นี้มาได้ ได้ยินว่าเสี่ยวหลีฮวานั้นนับตั้งแต่ที่เข้าวังไปถวายการแสดงให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงเป็นต้นมา ก็ถูกจองตัวไปจนถึงปลายปี ตระกูลหวังช่างมีความสามารถ”

คราก่อนองค์หญิงฟู่หยางมาเป็นแขกที่บ้าน พวกเขาก็คิดจะเชิญนักแสดงมีชื่อมาทำการแสดงสักคนหนึ่ง แต่คนในวังบอกว่า ภาษาในการแสดงเพลงสั้นเหล่านี้หยาบคาย ไม่อาจให้มาร้องต่อหน้าองค์หญิงฟู่หยางได้ ให้เชิญอาจารย์หญิงสักสองคนมาเล่านิทานก็พอ

ตอนนั้นพวกนางถึงได้รู้ว่าเสี่ยวหลีฮวามีชื่อเสียงด้านนี้

งานเลี้ยงของหวังซีนั้นคนของตระกูลหวังเป็นคนช่วยจัดการให้ทุกอย่าง แน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่าและคนอื่นๆ ย่อมเข้าใจว่าคนตระกูลหวังเป็นคนเชิญเสี่ยวหลีฮวามาด้วยเช่นกัน กลับไม่รู้เลยว่าเรื่องเชิญเสี่ยวหลีฮวามาทำการแสดงนั้นเป็นความคิดของเฉินลั่ว

ตระกูลหวังคิดว่างานเลี้ยงของหวังซีไม่มีผู้อาวุโสอยู่ด้วย เพื่อความเหมาะสมแล้ว ตั้งใจจะเชิญอาจารย์หญิงสองคนมาเล่านิทาน ไม่คิดว่าเมื่อพวกเขาไปเชิญอาจารย์หญิง เฉินอวี้กลับนำป้ายชื่อมาส่งให้ บอกว่าเฉินลั่วจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ให้เสี่ยวหลีฮวาที่กำลังเป็นที่นิยมที่สุดของคณะเหลียนฮวามาทำการแสดง

แน่นอนว่าหลงจู๊ใหญ่ย่อมยินดีรับคำแนะนำ นำป้ายชื่อของเฉินลั่วไปเชิญคนที่คณะเหลียนฮวา

กระทั่งไปถึงคณะเหลียนฮวาถึงรู้ว่า ความจริงแล้วพวกเขาจัดงานตรงกับครอบครัวของสือเหล่ย ผู้บังคับบัญชากองพลทองคำซ้าย

หลงจู๊ใหญ่คิดไม่ถึงว่าเฉินลั่วจะลงแรงช่วยเหลือตระกูลหวังมากขนาดนี้ อย่างไรก็ต้องบอกหวังซีสักคำ ให้หวังซีรับทราบน้ำใจครั้นนี้ไว้ ทว่าหวังซีกลับเป็นห่วงความสัมพันธ์ระหว่างเฉินลั่วกับสือเหล่ย หลังจากทราบเรื่องมิได้ยินดีกลับมีแต่ความประหลาดใจ น่าเสียดายที่วันงานเลี้ยงของนางใกล้เข้ามาแล้ว คล้ายกับว่าเฉินลั่วเองก็ไปทำงานนอกสถานที่ที่ไหนสักแห่ง นางจึงไม่ได้เจอเฉินลั่ว แล้วก็ไม่อาจเข้าใจเหตุผลของเรื่องนี้ด้วย จำต้องเก็บความสงสัยไว้ในใจก่อน คิดว่ารอให้เจอเฉินลั่วแล้วค่อยว่ากันอีกที

นางจึงชมการแสดงด้วยอาการใจลอย

คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวเห็นเสี่ยวหลีฮวา ฉับพลันนั้นดวงตาเบิกโพลงจนดูเหมือนระฆังทองแดง

วันนี้ใต้เท้าสือ ผู้บังคับบัญชากองพลทองคำซ้ายจัดงานอวยพรวันคล้ายวันเกิดให้ฮูหยิน อาสะใภ้รองของนางเป็นตัวแทนจวนเซียงหยางโหวไปร่วมงานที่ตระกูลสือ

ตระกูลหวังถึงกับช่วงชิงตัวเสี่ยวหลีฮวามาจากตระกูลสือได้ ตระกูลหวังเป็นเพียงพ่อค้าผู้หนึ่งเองมิใช่หรือ

นางพลันรู้สึกหัวสมองสับสนวุ่นวายไปหมด

คุณหนูรองอู๋และอีกสองสามคนกล่าวชมเสี่ยวหลีฮวาไม่ขาดปาก ลู่หลิงถึงกับลืมเรื่องชิงช้าไปแล้ว

เมื่อทำการแสดงเสร็จ คุณหนูทั้งหลายยังตริตรองกันว่าอยากเจอเสี่ยวหลีฮวาสักหน่อย

หวังซีเห็นในบ้านไม่มีผู้อาวุโสอยู่ด้วย จึงให้คนไปเชิญเสี่ยวหลีฮวามาดื่มชาด้วย

อย่าถูกลวงด้วยนามแฝงนักแสดงอันอ่อนหวานอย่างเสี่ยวหลีฮวาเชียว เพราะจริงๆ แล้วเขาเป็นบุรุษผู้หนึ่ง ปีนี้อายุไม่เกินสิบสามปี รูปร่างหน้าตายังโตไม่เต็มที่ แต่ดูออกว่าหน้าตางดงาม ยากจะแยกออกว่าเป็นหญิงหรือเป็นชาย หวังซีไม่ค่อยชอบ นางชอบเด็กผู้ชายที่องอาจผ่าเผย เหมือนเฉินลั่วแบบนั้นมากกว่า

นึกถึงเฉินลั่วแล้ว นางก็ขมวดคิ้วมุ่นน้อยๆ

แต่คุณหนูรองอู๋ก็ดี ลู่หลิงก็ดี ต่างชอบหน้าตาแบบเสี่ยวหลีฮวาเป็นอย่างมาก ทั้งสองสามคนล้อมเสี่ยวหลีฮวาไว้เจื้อยแจ้วถามคำถามเขามากมาย ไม่รู้ว่าเสี่ยวหลีฮวาขี้อายโดยธรรมชาติจริงๆ หรือเป็นเพราะเหตุผลอื่นกันแน่ เขาตอบคำถามของทุกคนด้วยดวงหน้าแดงก่ำ ทว่ากลับทำให้คุณหนูรองอู๋และคนอื่นๆ ชอบหยอกเย้าเขามากยิ่งขึ้น

โชคดีที่หลังทำการแสดงเสร็จก็เย็นแล้ว ถึงเวลารับประทานมื้อเย็น ทุกคนจึงปล่อยเสี่ยวหลีฮวากลับ กระทั่งไปนั่งในห้องโถงรับรองแล้วก็ยังคงคุยเรื่องเสียงร้องและหน้าตาของเสี่ยวหลีฮวาอยู่ แม้แต่คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวที่ดูค่อนข้างตรงไปตรงมาและสุขุมนั้น ยังเผยความตื่นเต้นออกมาทางสีหน้า ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายเต็มไปด้วยชีวิตชีวา

มีเพียงคุณหนูหกปั๋วเท่านั้นที่มองด้วยสายตาเย็นชา นางค้นพบว่านอกจากนางแล้วก็มีเพียงหวังซีเท่านั้นที่ดูเฉยเมยไม่สนใจเท่าไร

นางดูแคลนนักแสดงเหล่านี้ แล้วหวังซีเล่า?

จะเหมือนนางหรือไม่

คุณหนูหกปั๋วบีบพัดกลมด้ามไผ่นางสนมที่มีจุดเป็นด่างดวงในมือ รู้สึกว่าตนต้องพินิจพิจารณาคุณหนูต่างสกุลของจวนหย่งเฉิงโหวท่านนี้ให้ละเอียดถึงจะถูก

เมื่อถึงเวลาจุดโคมไฟยามเย็น หวังซีส่งแขกกลับบ้าน

ทุกคนต่างดูมีความสุขเต็มหัวใจ โดยเฉพาะการปรากฏตัวของเสี่ยวหลีฮวา ได้ฟังการแสดงและเจอตัวคนแล้ว ยังได้สอบถามเรื่องราวมากมายตามใจชอบอีก

ลู่หลิงมองฉังเคอและคุณหนูพานที่มาส่งแขกเป็นเพื่อนหวังซีแล้วจับมือของหวังซีไว้ไม่อยากกลับ “บ้านพวกเจ้าครึกครื้นยิ่ง ข้ายังไม่ได้นั่งชิงช้าเลย”

หวังซีและคนอื่นๆ หัวเราะคิกไม่หยุด หวังซียิ่งแล้วใหญ่กล่าวว่า “อยากมาเล่นเมื่อไรแจ้งมาสักคำก็ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องรอจนถึงตอนที่ข้าจัดงานเลี้ยงเท่านั้น เดี๋ยวข้าจัดงานเลี้ยงอีกครั้งย่อมจะมีของเล่นอื่นๆ มาอีก เกรงว่าเจ้าคงไม่ได้เล่นชิงช้าเหมือนเดิม”

ลู่หลิงพยักหน้าหงึกๆ

คุณหนูรองอู๋มองแล้วถือโอกาสชวนหวังซีไปเป็นแขกที่บ้านนาง “เป็นวันคล้ายวันเกิดของอาสะใภ้เจ็ดของข้า เดิมทียังลังเลอยู่ว่าควรชวนเจ้าดีหรือไม่ กลัวเจ้ารู้สึกว่าถูกดูแคลน แต่ตอนนี้ดูแล้ว เจ้าเองก็เป็นคนใจกว้างไม่คิดเล็กคิดน้อยผู้หนึ่ง”

นางบอกเป็นนัยถึงเรื่องที่หวังซีให้เสี่ยวหลีฮวาออกมาคุยกับพวกนาง

“ถ้าเจ้ามีเวลาว่างก็ไปเล่นกัน” นางกล่าวยิ้มๆ “หากคิดจะไป ข้าจะให้พ่อบ้านส่งเทียบเชิญมาให้เจ้า”

จวนชิงผิงโหวเป็นดังวีรบุรุษและเทพสงครามเลื่องชื่อของภาคตะวันตกเฉียงเหนือ หากมีโอกาสหวังซีย่อมอยากไปดูสักครั้งอยู่แล้ว

นางรีบพยักหน้ารัว

คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวมองแล้วกลอกดวงตาไปมาอย่างใช้ความคิด คำนวณอยู่ในใจว่าช่วงนี้ในบ้านมีงานเลี้ยงอะไรบ้างหรือไม่

……………………………………………………………………

ตอนต่อไป