ตอนที่ 44

The simple life of the emperor

เทียนหลางที่ได้ยินก็ตกใจก่อนจะพูดแย้งออกมา

”จะบ้าไปแล้วเหรอแม่ ผมกับหลินเสวี่ยก็แค่เพื่อนกันเท่านั้นเอง”

เมื่อแม่ของเทียนหลางได้ยินแบบนั้นก็ส่งสายตาขวางมาที่เทียนหลางทันที

”เพื่อนงั้นเหรอ ? แกนี่ไม่รู้อะไรสะเลยนะ”

”รู้ ? รู้อะไรแม่”

เทียนหลางถามออกไปด้วยความสงสัย แม่ของเทียนหลางได้แต่กุมขมับก่อนจะพูดขึ้น

”ก็แม่หนูหลินเสวี่ยชอบแกนะสิ”

”ชอบผม ? ผมเนี่ยนะ ? หึหึเป็นไปไม่ได้”

เทียนหลางส่ายหัวแย้งออกมาทันที เมื่อแม่ของเขาเห็นท่าทีของตนเองก็พูดออกมาอย่างชัดเจน

”ไม่รู้ละ แม่อยากได้แม่หนูหลินเสวี่ยแกต้องเอามาให้แม่ให้ได้”

เทียนหลางถอนหายใจออกมาพร้อมกับส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากพ่อของตน ซึ่งพ่อของเทียนหลางได้แต่นั่งหลับตาแสดงให้เห็นว่าแกนั้นไม่สามารถช่วยเหลือเทียนหลางได้เป็นการบอกนัย ๆ ว่าทำตามที่แม่ของแกพูดเถอะ

เมื่อเทียนหลางรู้ว่าตนเองนั้นหมดหนทางหนีแล้วเขาก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับความจริง แต่ในใจของเทียนหลางนั้นก็ไม่อยากจะบีบบังคับซูหลินเพราะเขารู้ว่าอนาคตนั้นไม่แน่นอนดังนั้นเขาจึงไม่เร่งร้อนอะไรมากนัก

……………………………………………………….

วันต่อมาขณะที่เทียนหลางกำลังนั่งเช็คเครื่องประดับชิ้นใหม่ที่เขาพึ่งหลอมเสร็จเมื่อคืนอยู่นั้น ประตูของห้องหนังสือก็ได้เปิดออกพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา เมื่อเทียนหลางหันหน้าไปมองก็พบว่าเป็นซูหลิน

เมื่อเห็นว่าเป็นคนคุ้นเคยเทียนหลางจึงเอ่ยทักทาย

”ว่าไงไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

ซูหลินที่จ้องมองเทียนหลางอยู่ก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะนั่งลง

”ใช่ ไม่ได้เจอกันนานเลย นายเปลี่ยนไปมากเลยนะ”

เมื่อเทียนหลางได้ยินก็มองแขนขาพร้อมกับจับใบหน้าของตัวเอง

”เป็นงั้นเหรอ ?”

”ใช่”

”แล้ววันนี้เธอมีธุระอะไรงั้นเหรอ ? ถึงมาหาแต่เช้าเชียว”

เมื่อได้ยินแบบนั้นซูหลินก็แสดงท่าทีไม่พอใจออกมาทันที

”ถ้าฉันไม่มีธุระ ฉันมาไม่ได้งั้นเหรอ ?”

”เปล่าสะหน่อย แค่สงสัยนะเพราะไม่ค่อยเห็นเธอจะมาหาฉันสักเท่าไหร่ฉันก็เลยสงสัย”

”ช่วงนี้ฉันยุ่งกับงานกิจกรรมที่มหาลัยอะนะก็เลยไม่ค่อยว่าง แล้วพอดีวันนี้เป็นวันหยุดฉันก็เลยมาหา”

”อ้อ”

เทียนหลางพยักหน้าเบา ๆ จากนั้นซูหลินก็พูดขึ้นอีกว่า

”แล้วอีกอย่างตอนนี้นายอยู่ในช่วงสอบฉันก็เลยไม่อยากรบกวน”

เทียนหลางที่ได้ยินก็พูดขึ้นทันที

”โอ้ ~ นี่เธอคอยตามสอดส่องฉันงั้นเหรอ ?”

ซูหลินที่ได้ยินคำพูดของเทียนหลางก็สะดุ้งเล็กน้อยพร้อมกับหันหน้าหนีก่อนจะพูดขึ้น

”ปะ… เปล่าสักหน่อย พอดีน้องของเพื่อนฉันก็อยู่โรงเรียนเดียวกับนาย ฉันเลยรู้เรื่องนี้ต่างหากละ”

”งั้นเหรอ ~”

เทียนหลางพูดพร้อมกับแหล่ตามองซูหลิน ทางด้านซูหลินก็ได้แต่หลบสายตาของเขาอย่างช่วยไม่ได้ ซูหลินจึงหาทางบ่ายเบี่ยงด้วยการพูดถึงเรื่องร้านขายอัญมณีของเขาพร้อมกับจ้องมองไปที่สร้อยคอทับทิมบนโต๊ะ

”ได้ยินว่านายจะเปิดร้านขายอัญมณีงั้นเหรอ ?”

”ถูกต้อง พอดีฉันว่างนิดหน่อยก็เลยอยากหาเงินเพิ่มนะ”

ซูหลินพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะหยิบสร้อยคอขึ้นมาดูพร้อมกับเอ่ยชม

”ออกแบบมาอย่างดีเลยนะ งดงามมากเลยคงขายได้มากกว่าหมื่นเหรียญแน่ ๆ”

”คงอย่างงั้น”

กว่าเทียนหลางจะตรวจสอบเครื่องประดับทั้งหมดเสร็จเวลาก็ร่วงเลยไปถึงเที่ยงแล้ว เทียนหลางจึงเอ่ยชวนซูหลินทานข้าวกลางวันด้วยกันซึ่งซูหลินก็ไม่ปฏิเสธ

เนื่องด้วยที่นานครั้งซูหลินจะมาหาเทียนหลางจึงอาสาเป็นคนทำอาหารเอง ซึ่งซูหลินก็ตาเป็นประกายทันทีเทียนหลางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น

”ดูเหมือนเธอจะติดใจฝีมือฉันนะ”

เมื่อซูหลินได้ยินก็สบัดหน้าหนีพร้อมกับพูดขึ้น

”ใครติดใจฝีมือนายกัน !”

เมื่อเทียนหลางเห็นท่าทีของซูหลินเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาก่อนจะเริ่มทำอาหาร ในระหว่างนั้นซูหลินก็เอ่ยถามขึ้นมา

”แล้วพ่อแม่ของนายละ ?”

เทียนหลางที่ได้ยินก็คิดเล็กน้อยก่อนจะตอบ

”คงออกไปซื้อของละมั้ง”

ซูหลินพยักหน้าพร้อมกับจ้องมองเทียนหลางทำอาหาร ในขณะที่เทียนหลางกำลังทำอาหารอยู่นั้นประตูบ้านก็ได้เปิดออกพร้อมกับที่หลินเสวี่ยเดินเข้ามา เมื่อเทียนหลางเห็นก็กล่าวทักทายเธอทันที

”หืม วันนี้มาสายจังนะ”

หลินเสวี่ยถอนหายใจพร้อมกับพูดขึ้นอย่างเหน็ดเหนื่อย

”ก็นะ พอดีช่วงนี้ยุ่ง ๆ ไหนจะมหาลัยที่คิดจะไปต่อ ไหนจะเรื่องร้านของเราอะ…อีก”

ในขณะที่หลินเสวี่ยกำลังพูดอยู่นั้นสายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นสาวสวยคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่ตรงโต๊ะกินข้าว และดูเหมือนว่าฝ่ายตรงข้ามก็จะเห็นเธอเช่นเดียวกันและทันทีที่สายตาของทั้งคู่ประสานกันความเป็นศัตรูก็ฉายออกมาทันที

บรรยากาศภายในบ้านที่เคยสงบก็เปลี่ยนเป็นหนาวเย็นจนทำให้เทียนหลางรู้สึกได้เลยทีเดียว เมื่อเทียนหลางหันกลับไปก็พบว่าสองสาวกำลังจ้องตากันเขม็งหากว่าพวกเธอทั้งคู่เป็นผู้บ่มเพาะแล้วละก็แรงกดดันจากทั้งคู่คงทำให้บ้านต้องถล่มลงมาอย่างแน่นอน

เทียนหลางที่เห็นท่าไม่ดีก็ได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ ออกมา

”ทั้งสองคนใจเย็น ๆ นะ”

” ”นายอธิบายมาเดียวนี้เลยนะว่าเธอเป็นใคร !” ”

ทั้งคู่ตะโกนออกมาพร้อมกับจนทำให้เทียนหลางสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะละออกจากหม้อและเข้าไปหาหลินเสวี่ยเพื่อปลอบให้เธอเย็นลง

”ใจเย็นก่อน ๆ นั่งลงก่อนนะมามะ”

เทียนหลางพาหลินเสวี่ยมานั่งที่โต๊ะก่อนจะกระแอมไอสองสามครั้งและแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกัน

”หลินเสวี่ย นี่คือซูหลิน ซูหลิน นี่คือหลินเสวี่ย เอ่อ… ซูหลินเนี่ยคือหลานของหลี่ไห่ ที่ฉันเคยช่วยชีวิตเอาไว้และซูหลินก็เคยช่วยอะไรฉันหลาย ๆ อย่างก็เลยรู้จักกัน”

”เอ่อ ซูหลิน… หลินเสวี่ยเนี่ยคือเพื่อนร่วมห้องที่โรงเรียนของฉันและก็ยังเป็นหลานของหลินจินทงด้วย”

เมื่อได้ยินแบบนั้นหลินเสวี่ยก็หันขวับมาทางเทียนหลางทันที เทียนหลางได้แต่ทำหน้าเหลอหลาพร้อมกับถามออกไปด้วยความสับสน

”ฉันทำอะไรผิดงั้นเหรอ ?”

”เปล่า แต่ว่านายนะไม่แนะนำตัวพวกเราสั้นไปหน่อยเหรอ ?”

เมื่อหลินเสวี่ยพูดออกมาเทียนหลางก็ได้แต่กุมขมับ แล้วจะให้ฉันแนะนำอะไรพวกเธอ ? เทียนหลางได้แต่ถอนหายใจ

”ก็ฉันไม่รู้จะแนะนำอะไรนี่หน่า”

”นายนี่ใช้ไม่ได้เลยจริง ๆ นะ”

”ใช่”

ทั้งคู่รุมตำหนิเทียนหลางซึ่งทำให้เขานั้นได้แต่ถอนหายใจและคอตกกลับไปทำอาหารต่อ แม้เขาอยากจะแนะนำพวกเธอเพิ่มอีกนิดก็เถอะแต่เทียนหลางก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เพราะตัวเขานั้นก็ไม่ได้สนิทกับพวกเธอมากนัก

หลังจากที่เทียนหลางทำอาหารไปได้สักพักเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากด้านหลัง เมื่อเทียนหลางหันไปเขาก็พบว่าซูหลินกับหลินเสวี่ยกำลังพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนานทำเอาเทียนหลางถึงกับหัวหมุนไปเล็กน้อย

เทียนหลางรู้สึกสับสนเล็กน้อยเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้แม้เทียนหลางจะมีอายุมากกว่าหมื่นปีแล้วแต่เทียนหลางนั้นก็มักจะเดาความคิดของเหล่าสตรีไม่ออกสักเท่าไหร่โดยเฉพาะเทพธิดาเฟิงหยวนที่ใกล้ชิดกับเขาที่สุดนางเพียงคนเดียวที่เขานั้นไม่สามารถคาดเดาอะไรได้แม้พวกเขาจะรู้จักกันมานานหลายพันปีก็ตาม

หากจะให้เทียบละก็สู้ให้เทียนหลางเดาใจเทพเซียนคนอื่นเสียดีกว่ามานั่งคาดเดาความคิดของเฟิงหยวน

ตอนนี้เสียงหัวเราะของสองสาวกำลังดังไปทั่วห้องกินข้าวทำให้เทียนหลางรู้สึกวางใจได้แล้วว่าทั้งคู่นั้นคงจะไม่ตีกันอย่างแน่นอน แต่ดูเหมือนเทียนหลางจะดูแคลนผู้หญิงเกินไปเมื่อได้ยินคำถามจากซูหลิน

”นี่เทียนหลาง หลินเสวี่ยเป็นอะไรกับนายงั้นเหรอ ?”

เทียนหลางสะดุ้งกับคำถามนี้ของเธอก่อนจะตอบไปแบบปัด ๆ

”อืม… ตอนนี้ฉันยุ่งเรื่องหาเงินอยู่อะนะ เรื่องอื่นฉันยังไม่คิดหรอก”

เมื่อได้ยินแบบนั้นหลินเสวี่ยก็แสดงท่าทีห่อเหี่ยวออกมาทันที แต่ซูหลินกลับมีรอยยิ้มเล็ก ๆ ออกมาเมื่อเทียนหลางเห็นใบหน้าห่อเหี่ยวของหลินเสวี่ยแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าเล็กน้อย หลังจากเงียบไปพักนึงเทียนหลางก็พูดขึ้นมาอีกว่า

”แต่อันที่จริงตอนนี้ก็มีคิด ๆ บ้างอะนะเพราะเมื่อคืนแม่ของฉันบอกให้เริ่มหาแฟนได้แล้ว ฉันละหนักใจจริง ๆ”

เทียนหลางแสร้งทำท่าเหนื่อยใจพร้อมกับถอนหายใจออกมาทำให้หลินเสวี่ยและซูหลินยิ้มออกมาโดยไม่ตั้งใจ เมื่อเทียนหลางเห็นท่าทีสบายใจของทั้งสองคนก็ทำให้เขาโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย

………………………………………………………….

หลังจากมื้อเที่ยงเทียนหลางก็กลับเข้ามาที่ห้องหนังสือเพื่อตรวจเช็คเครื่องประดับกับหยกอีกไม่กี่ชิ้น ซึ่งซูหลินและหลินเสวี่ยก็ตามมาด้วยเช่นกัน เทียนหลางจ้องมองทั้งสองคนอยู่สักพักก่อนจะถามขึ้น

”พวกเธอไม่ไปไหนกันเหรอ ?”

เมื่อเทียนหลางถามออกไปหลินเสวี่ยก็ยกชาขึ้นมาจิบก่อนจะตอบคำถาม

”พอดีฉันพักจากการอ่านหนังสือเตรียมสอบอะนะก็เลยว่าง เลยกะว่าจะมาช่วยนายตรวจเช็คเครื่องเพชรเสียหน่อย”

หลังจากหลินเสวี่ยอธิบายเสร็จซูหลินก็พูดต่อทันที

”ของฉันมหาลัยปิดภาคเรียนแล้วดังนั้นจึงว่าง แล้วฉันก็อยากช่วยนายด้วย”

เทียนหลางที่ได้ยินก็ยิ้มออกมาก่อนจะปล่อยให้ทั้งคู่ช่วยเขาตรวจสอบเครื่องประดับและเครื่องเพชร ในขณะที่ทั้งคู่ช่วยเทียนหลางดูเครื่องเพชรไปนั้นก็ยังคงมีการข่มกันไม่ก็ส่งรังสีความเป็นศัตรูกันอยู่เป็นช่วง ๆ ไปตลอดทั้งวันจนทำให้เทียนหลางนั้นต้องห้ามอยู่หลายครั้ง

ในตอนนี้เทียนหลางรู้สึกปวดหัวและเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยเลยกับการห้ามไม่ให้สองสาวนั้นตีกัน