ตอนที่ 43

The simple life of the emperor

เช้าวันต่อมาเทียนหลางตื่นขึ้นท่ามกลางกองเครื่องประดับมากมายนับพันชิ้น เมื่อคืนเทียนหลางนั่งหลอมประดับตลอดทั้งคืนจนเผลอหลับ แม้เทียนหลางจะสามารถไม่หลับไม่นอนได้หลายวันติดต่อกัน แต่เพราะความเคยชินกับการนอนในช่วงกลางคืนของชีวิตคนธรรมดา ทำให้เขานั้นชื่นชอบการนอนขึ้นมานิดหน่อยแล้ว

เมื่อเทียนหลางหันไปหานาฬิกาที่แขวนอยู่ก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแล้ว เขาเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาเล็กน้อยในขณะนั้นประตูของห้องหนังสือก็ได้เปิดออกและหลินเสวี่ยก็เดินเข้ามาพร้อมกับจานข้าวในมือ เมื่อเธอเข้ามา เธอก็สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นเครื่องประดับมากมายกองอยู่ที่พื้นห้อง

”นะ… นี่มันอะไรกันเนี่ย ทำไมถึงมีเครื่องประดับเกลื่อนเต็มห้องไปหมดเลย”

เทียนหลางสะลึมสะลือพร้อมกับขยี้ตาเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้น

”ดูเหมือนว่าฉันเอาพวกมันออกมาเพื่อตรวจดูแล้วลืมเก็บนะ”

หลินเสวี่ยส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะวางอาหารไว้บนโต๊ะอ่านหนังสือและนั่งลงเก็บเครื่องประดับแต่ละชิ้นใส่กระเป๋าอย่างระวัง ไม่นานนักหลินเสวี่ยก็เก็บเครื่องประดับทั้งหมดลงกระเป๋าเป็นเวลาเดียวกับที่เทียนหลางทานอาหารเสร็จเช่นกัน

”พวกนี้คือเครื่องประดับที่จะเอาไปวางขายงั้นเหรอ ?”

เทียนหลางพยักหน้าหงึก ๆ

”ใช่แล้วทั้งหมดน่าจะมีประมาณสองถึงสามพันชิ้นได้ละมั้ง”

หลินเสวี่ยที่ได้ยินก็ถึงกับตาโตทันทีสองถึงสามพันชิ้น ? และเครื่องประดับทุกชิ้นนั้นสวยงามและดูดีเป็นอย่างมากหากหลินเสวี่ยไม่โง่จนเกินไปเธอคาดเดาได้เลยว่าเครื่องประดับพวกนี้ขายได้ไม่ต่ำกว่าชิ้นละสี่พันเหรียญแน่นอน และจากที่หลินเสวี่ยคำนวนคร่าว ๆ แล้วเธอคาดว่าเครื่องประดับพวกนี้มีมูลค่าไม่น้อยกว่ายี่สิบล้านเหรียญเลย

ในขณะที่หลินเสวี่ยกำลังตกตะลึงอยู่นั้นเธอเหลือบไปเห็นรูปสลักเต่าตัวหนึ่งตั้งอยู่ที่มุมห้อง หลินเสวี่ยเกิดความสงสัยเล็กน้อยจึงเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ เมื่อหลินเสวี่ยดูมันใกล้ ๆ แล้วก็พบว่าเจ้ารูปสลักเต่านี้ทำมาจากก้อนมรกตทั้งก้อน

”นี่นายแกะสลักมรกตด้วยงั้นเหรอ ?”

”เปล่าหรอก พอดีฉันจ้างช่างแกะฝีมือดีให้ทำนะ”

หลินเสวี่ยพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะจ้องรูปสลักหยกอยู่สักพักและยิ่งหลินเสวี่ยจ้องมันมากเท่าไหร่ก็เริ่มรู้สึกว่ามันเหมือนกับมีชีวิตมากเท่านั้น จึงทำให้หลินเสวี่ยรู้สึกสงสัยเล็กน้อย

”นี่นายกะจะขายมันงั้นเหรอ ?”

เทียนหลางส่ายหน้าก่อนจะพูดขึ้น

”ไม่หรอก อันที่จริงกะจะเอาไว้ตั้งโชว์เท่านั้นแต่ถ้าหากมีคนเสนอราคาสูงก็คงต้องขายนั่นแหละนะ”

หลินเสวี่ยเข้าใจความต้องการของเทียนหลาง และก็ไม่ได้ขัดข้องความคิดของเขาด้วยเพราะยังไงตอนนี้เธอก็เป็นเพียงลูกจ้างของเขาเท่านั้น

”แล้วนายมีแผนจะทำยังไงต่อ ?”

หลินเสวี่ยเอ่ยถาม ทางด้านเทียนหลางก็ลูบคางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น

”ก็ตอนแรกกะจะเปิดร้านอัญมณีเพื่อทำเงินเล่นค่าเวลา แต่ดูเหมือนว่าจำนวนเงินที่ได้อาจจะไม่พอใช้ในอนาคตอะนะ อาจจะต้องหาลู่ทางอื่นเพิ่ม”

”ไม่พอใช้ในอนาคต ? นายจะใช้เงินอะไรนักหนาแค่ยี่สิบล้านก็สามารถทำให้คนหนึ่งสบายไปทั้งชีวิตแล้วนะ”

หลินเสวี่ยพูดขึ้นอย่างจริงจังกับเทียนหลางซึ่งเขาก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ เพราะหลินเสวี่ยนั้นไม่ใช่ผู้บ่มเพาะอาจจะยังไม่รู้ถึงความมั่งคั้งที่แท้จริง สำหรับเทียนหลางนั้นเพียงแค่ยี่สิบล้านไม่พอให้เขาใช้ตลอดทั้งเดือนด้วยซ้ำไปเพราะยิ่งตัวเขาแข็งแกร่งขึ้นตัวของเทียนหลางก็ยิ่งต้องใช้ทรัพยากรที่เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน

แม้เขาจะมีน้ำตามังกรแต่นั่นไม่เพียงพอสำหรับเขาอย่างแน่นอน เพราะเทียนหลางรู้ว่าตัวเองนั้นเป็นคนโลภคนหนึ่งและการที่เทียนหลางจะสามารถหาซื้อสมุนไพรที่เหมาะสมได้เขาอาจจะต้องเดินทางรอบโลกหรือไม่ก็ปล้นสำนักสักสองสามแห่งและบางทีมันอาจจะไม่เพียงพอสำหรับเขาด้วยซ้ำ

เทียนหลางมีแผนที่จะซื้อเกาะสักแห่งหนึ่งเพื่อใช้เป็นที่ปลูกสมุนไพรและจากที่เขาศึกษาดูเรียกน้อยนั้นเทียนหลางก็รู้ว่าเขาจำเป็นจะต้องใช้เงินจำนวนมากและที่เขามีอยู่อาจไม่เพียงพอ

เทียนหลางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้น

”นั่นสินะ”

หลินเสวี่ยยิ้มก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้ง

”พวกเราจะเรียนจบม.ปลายกันแล้ว นายวางแผนจะเรียนต่อมหาลัยที่ไหน ?”

”ในตอนแรกฉันกะว่าจะย้ายไปเรียนมหาลัยที่เมืองหลวงตามความตั้งใจของแม่ แต่หลังจากตอนนี้แล้วฉันอาจจะเข้าเรียนที่มหาลัยจิงไห่เพื่อความสะดวกของตัวเองอะนะ”

”งั้นเหรอ”

หลินเสวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า ทำให้เทียนหลางหันมามองเธอเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น

”หรือว่าฉันอาจจะเข้าเรียนที่มหาลัยจักรพรรดิในเมืองหลวงดีไหมน๊า ~”

เมื่อได้ยินแบบนั้นสีหน้าของหลินเสวี่ยก็เปลี่ยนไปทันที มีรอยยิ้มน้อย ๆ โผล่ออกมาให้เห็นทำให้เทียนหลางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเทพธิดาคนนึงที่คอยอยู่ข้างเขาด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลานั่นทำให้เทียนหลางอดคิดถึงนางไม่ได้เพราะเธอนั้นช่างคล้ายคลึงกับหลินเสวี่ยเหลือเกิน

แต่ยิ่งเทียนหลางคิดถึงนางในใจของเทียนหลางก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดเพราะสิ่งที่เทียนหลางเคยทำเอาไว้หาใช่ใช้เพียงเวลาก็สามารถอภัยให้กันได้ เมื่อหลินเสวี่ยเห็นใบหน้าอันเจ็บปวดของเทียนหลางเธอก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น

”นายเป็นอะไรรึเปล่า ?”

เทียนหลางส่ายหน้าก่อนจะลุกขึ้น และเดินไปหยิบผ้าขนหนูออกมาและเดินเข้าห้องน้ำ

”หลังจากอาบน้ำเสร็จฉันจะไปตรวจสอบร้านสักหน่อยเธอจะมาด้วยกันไหม ?”

”ได้สิ งั้นฉันจะไปรอที่ห้องนั่งเล่นนะ”

”โอเค”

……………………………………………………………

หลังจากเทียนหลางอาบน้ำเสร็จเขาก็สวมเพียงชุดสบาย ๆ เดินมาที่ห้องนั่งเล่นก่อนจะพาหลินเสวี่ยนั่งรถไปที่ร้านอาหารบัวหยกซึ่งในตอนนี้พวกของถังหยานกำลังดูแลอยู่ซึ่งธุระกิจก็เป็นไปได้ด้วยดีเรียกได้ว่าขายดีมากด้วยซ้ำ

หลังจากพูดคุยกับพวกถังหยานอยู่สักพักเทียนหลางก็ขับรถมาที่ศาลาอัญมณี เทียนหลางอยากจะให้ทุกอย่างเรียบร้อยในวันเปิดทำการเขาเช็คทุกอย่างภายในร้านรวมไปถึงค่ายกลที่ตู้เซฟอีกด้วย

เมื่อเทียนหลางตรวจสอบทุกอย่างจนเรียบร้อยเขาก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ จนทำให้หลินเสวี่ยถึงกับหันมาถาม

”นายถอนหายใจอะไร ?”

”ตอนนี้ฉันตรวจสอบทุกอย่างเสร็จหมดแล้วใช่ไหม ก็เท่ากับว่าตอนนี้ฉันว่างมากเลยนะสิ”

เทียนหลางนั้นไม่ค่อยจะชินกับความว่างสักเท่าไหร่แม้ตอนอยู่บนแดนสวรรค์เขาก็ยังมีอะไรให้ทำมากมาย ไม่ว่าจะปรุงยา หลอมอุปกรณ์หรือแม้แต่เดินเที่ยวเล่นในแดนรกร้างก็ตาม

แต่ตอนนี้เขากับว่างเหลือเกินจะให้เขาไปนั่งปรุงยาสมุนไพรก็ไม่มี จะให้ไปหลอมอุปกรณ์ก็ไม่มีวัตถุดิบที่น่าสนใจแม้เขาจะมีสะเก็ตดวงดาวแต่เขาก็ไม่มีไอเดียที่จะทำอะไรเลย

หลินเสวี่ยที่ได้ยินก็คิดเล็กน้อยก่อนจะแนะนำให้เทียนหลางกลับไปอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบ แต่เทียนหลางก็ปฏิเสธไปด้วยข้ออ้างที่ว่าเขาอ่านหมดแล้ว ซึ่งอันที่จริงเทียนหลางสามารถจำเนื้อหาได้ทั้งหมดจากการอ่านเพียงครั้งเดียว

เทียนหลางและหลินเสวี่ยไม่รู้จะทำอะไรต่อจึงได้เดินทางกลับบ้านเพื่อทานอาหารเย็น หลังจากมื้อเย็นเทียนหลางก็ส่งหลินเสวี่ยกลับเมื่อกลับมาถึงบ้านเทียนหลางก็เห็นพ่อและแม่ของเขากำลังนั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่น

เมื่อเทียนหลางเดินเข้ามาพ่อของเขาก็พูดขึ้นทันที

”มานั่งนี่ก่อนเทียน”

”ว่าไงครับพ่อ”

เทียนหลางตอบพร้อมกับนั่งลงจากนั้นพ่อของเทียนหลางก็พูดขึ้น

”อีกไม่กี่วันแกก็จะจบ ม. ปลายแล้วตัดสินใจได้รึยังว่าจะต่อมหาลัยที่ไหน ?”

เทียนหลางที่ได้ยินก็สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะตอบ

”ตอนแรกกะจะเข้ามหาลัยจักรพรรดิตามที่แม่ต้องการ แต่พอคิดไปคิดมาแล้วเรื่องที่เมืองนี้ยังจัดการไม่เสร็จดีอาจจะเข้าเรียนที่มหาลัยจิงไห่ก็ได้”

พ่อของเทียนหลางที่ได้ยินก็พยักหน้าเบา ๆ ส่วนแม่ก็พูดขึ้นมาทันที

”แล้วสาวน้อยหลินเสวี่ยละ ?”

”ผมก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะเธอยังไม่ได้บอกนะครับ”

”งั้นเหรอ… แม่คิดว่าลูกควรเข้ามหาลัยเดียวกับหนูหลินเสวี่ยนะ”

เมื่อได้ยินเทียนหลางก็ได้แต่เอียงคอสงสัย

”ทำไมละครับ ?”

เมื่อเทียนหลางถาม แม่ของเทียนหลางก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น

”เพราะแม่ถูกใจสาวน้อยคนนั้นไงละ ทั้งหน้าตาดี ใจดีงาม แถมยังเอาใจใส่คนอื่นอีกด้วยแม่หนูนั่นดูแลแม่กับพ่อมากกว่าแกเสียอีก”

อึก !

เทียนหลางถึงกับชะงักเมื่อได้ยินคำพูดแบบนั้นออกมา แต่ก็เถียงอะไรไม่ได้เพราะช่วงนี้เขาไม่ค่อยได้อยู่บ้านเสียเท่าไหร่ ถึงอยู่ก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากมายนักจนทำให้ต้องพึ่งหลินเสวี่ยมาดูแลพวกท่านอยู่บ่อย ๆ หลังจากนั้นแม่ของเทียนหลางก็พูดขึ้นอีกครั้ง

”คนดี ๆ อย่างงี้หายากนักในสมัยนี้ ฉะนั้นนี่เป็นคำสั่ง ! แกต้องนำหนูหลินเสวี่ยมาเป็นสะใภ้ของแม่ให้ได้ !”