ตอนที่ 42

The simple life of the emperor

เทียนหลางนั่งกลั่นเตาหลอมตลอดทั้งวันเริ่มตั้งแต่ขึ้นรูป ลวดลายต่าง ๆ ทุกอย่างเสร็จอย่างรวดเร็วแม้สะเก็ตดวงดาวจะแข็งไปหน่อยแต่ก็ไม่อยากที่จะหลอมและขึ้นรูปมันให้กลายเป็นเตาหลอม และขั้นสุดท้ายก็คือการลงอาคม และอักขระต่าง ๆ เพื่อเสริมความสามารถให้กับเตาหลอม

สิบสองชั่วโมงต่อมาเทียนหลางก็สามารถสร้างเตาหลอมส่วนตัวของเขาได้สำเร็จ เทียนหลางถอนหายใจออกมาเบา ๆ เทียนหลางใช้เวลาทำเตาหลอมนี้กว่าครึ่งวันเวลากว่าแปดสิบเปอร์เซ็นใช้ไปกับการลงอักขระและอาคมต่าง ๆ ลงบนตัวของเตาหลอม

จนในที่สุดเตาหลอมสีฟ้าครามก็เสร็จสมบูรณ์และตั้งอยู่ตรงหน้าของเทียนหลาง เทียนหลางจับคางตัวเองเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้น

”ตั้งชื่อว่าเตาหลอมสะเก็ตดาวก็แล้วกัน”

เทียนหลางพยักหน้าให้กับการตั้งชื่อของเขา โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าชื่อที่เขาตั้งนั้นห่วยขนาดไหนแต่เทียนหลางมีรึจะสนใจ เพียงขอให้มันใช้งานได้ดีก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา

หลังจากที่เทียนหลางกำลังจด ๆ จ้อง ๆ อยู่กับเตาหลอมสะเก็ตดาวอยู่นั้นโทรศัพของเขาก็ได้ดังขึ้น เมื่อเทียนหลางหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นหลินจินทงโทรมา

”ฮัลโหลครับ”

”อา… ว่าไง พอดีฉันจะโทรมาบอกเรื่องของทำเลทองในย่านการค้าที่เธอช่วยให้ฉันดูให้เมื่อก่อนหน้านี้อะนะ”

”อ้อ ได้เรื่องอะไรแล้วงั้นเหรอครับ ?”

”ใช่ ฉันได้ให้ทนายของฉันไปซื้อทำเลทองในย่านการค้าเอาไว้ให้แล้ว และก็พร้อมที่จะโอนกรรมสิทธิ์ให้กับนายแล้วด้วย”

”งั้นเหรอครับ งั้นเดียวผมจะออกไปเจอเขาวันนี้เลยก็แล้วกัน”

”ได้สิ เดียวฉันโทรบอกเขาให้”

”ครับผม ต้องขอบคุณปู่หลินจริง ๆ ที่ช่วยเดินเรื่องให้ผม”

”ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เล็กน้อยถ้าเทียบกับสิ่งที่เธอจะมอบให้กับฉัน”

”เข้าใจแล้วครับ”

หลังจากพูดคุยกันอยู่สักพักเทียนหลางก็วางโทรศัพลงและอาบน้ำแต่งตัวเพื่อออกไปพบกับทนายของหลินจินทง เทียนหลางขับรถไปที่ร้านกาแฟเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในย่านการค้า

เมื่อเข้ามาเขาก็พบกับคนที่ตามหาเพราะก่อนหน้านี้หลินจินทงได้ส่งรูปของทนายคนนี้มาให้กับเทียนหลางดูแล้ว เทียนหลางนั่งลงตรงข้ามเขาพร้อมกับแนะนำตัว

”ผมเทียนหลางครับ”

เมื่อเขาได้ยินก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะแนะนำตัวเช่นกัน

”ผมอ้านฟาน เป็นทนายของคุณหลินจินทง ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

”เช่นกันครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเราเข้าเรื่องของพวกเราเลยดีกว่าครับคุณฟาน”

”ได้เลยครับ”

จากนั้นทนายอ้านฟานก็นำหนังสือโอนกรรมสิทธิ์ออกมา เทียนหลางอ่านเงื่อนไขเล็กน้อยและแปลกใจมากที่หลินจินทงไม่ได้กำหนดอะไรเลยเพียงแค่ยกให้เขาเฉย ๆ เท่านั้นซึ่งเทียนหลางอ่านทั้งหมดแล้วก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรจึงได้เซ็นชื่อลงไป

ทนายอ้านฟานยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกล่าวขึ้น

”ถ้างั้นให้ผมพาไปดูตึกทั้งสองที่ดีไหมครับ”

”ผมขอไปเองดีกว่าครับ คุณเขียนแผนที่ให้ผมก็พอ”

หลังจากที่พูดคุยกันอีกเล็กน้อยทนายอ้านฟานก็เขียนแผนที่ให้กับเทียนหลางจากนั้นก็ลุกออกจากร้านไป เทียนหลางจ่ายเงินก่อนจะขับรถเพื่อไปดูสถานที่ เมื่อมาถึงเทียนหลางตกใจเล็กน้อยกับความใหญ่โตของมัน

แม้เทียนหลางจะรู้ว่าหลินจินทงได้ซื้อที่ในทำเลทองไว้ให้เขาแล้วถึงสองบล็อคแต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นสองบล็อคของใจกลางย่านการค้าของเมืองแบบนี้ทำเอาเทียนหลางสงสัยไม่น้อยเลยว่าหลินจินทงนั้นมีอำนาจขนาดไหนถึงได้ซื้อสถานที่แบบนี้ไว้ได้

ทั้งสองบล็อคนี้เมื่อก่อนนั้นเคยเป็นห้างร้านขนาดใหญ่สูงกว่าสี่ชั้น แต่บัดนี้ได้กลายเป็นตึกร้างไปเสียแล้วเทียนหลางเดินสำรวจรอบ ๆ ก่อนจะตัดสินใจว่าจะทุบมันและสร้างขึ้นมาใหม่ และตัวตึกจะสร้างออกมาดูทันสมัยเข้ากับยุคศสวรรษที่ยี่สิบเอ็ดก็ตาม แต่เทียนหลางนั้นชอบความหรูหราแบบโบราณเสียมากกว่า แต่การที่จะให้อยู่ ๆ ก็มีตึกโบราณมาโผล่กลางย่านการค้าก็ยังไงอยู่เทียนหลางจึงคิดจะสร้างให้มันดูร่วมสมัยเสียหน่อยแต่ก็ยังคงความเป็นโบราณเก่าแก่และหรูหราเอาไว้

และช่างก่อสร้างที่เทียนหลางไว้ใจให้สร้างตึกในความคิดของเขาก็คงมีเพียงเจ้าเดียวเท่านั้น เทียนหลางจึงโทรหาลุงฮูทันที

ไม่นานนักลุงฮูก็มาพร้อมกับกระดาษแผ่นใหญ่ในมือ เขารู้ได้ทันทีว่าเทียนหลางต้องการดังนั้นเขาจึงนำติดตัวมาด้วยหลายแผ่นเพื่อให้เทียนหลางได้เขียนมันอย่างสบายใจ

เทียนหลางพาลุงฮูไปดูสถานที่พร้อมกับอธิบายถึงสิ่งที่เขาต้องการให้กับลุงฮู ซึ่งลุงฮูก็เข้าใจมันได้อย่างรวดเร็วเพราะเคยผ่านการทำงานแบบนี้มาอยู่บ้างพร้อมกับประสบการณ์ในการสร้างสวนให้กับเทียนหลางแล้ว จึงทำให้ลุงฮูเข้าใจรสนิยมของเทียนหลาง

ไม่นานนักการพูดคุยกันก็จบลง ลุงฮูจากไปพร้อมแบบแปลนตึกและบอกว่าภายในสองเดือนคงเสร็จส่วนเรื่องสวนเขาจะส่งลูกน้องไปลงกำแพงในวันพรุ่งนี้ ส่วนร้านอาหารคาดว่าจะเสร็จภายในสองสามวันข้างหน้า ซึ่งเทียนหลางกล่าวขอบคุณก่อนจะเดินไปส่งลุงฮูที่รถ

……………………………………………

สองเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ขณะพักเที่ยงอยู่นั้นเทียนหลางก็ได้รับโทรศัพจากลุงฮูว่าร้านของเขานั้นสร้างเสร็จแล้ว เทียนหลางได้ยินก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะวางโทรศัพและหันมาหาหลินเสวี่ยที่นั่งกินข้าวอยู่ข้าง ๆ

”วันนี้ร้านสร้างเสร็จแล้วไปดูไหม ?”

”ร้านของฉันงั้นเหรอ ?”

”หืม ? ร้านของเธอ ?”

”แน่นอนก็นายให้ฉันดูแลก็ถือว่าเป็นของฉันด้วยสิ”

เทียนหลางถึงกับใบ้กินเมื่อได้ยินคำพูดของหลินเสวี่ย เขาส่ายหัวเล็กน้อยก่อนจะหันไปกินข้าวต่อ หลังเลิกเรียนเทียนหลางพาหลินเสวี่ยไปที่ย่านการค้า เทียนหลางขับรถมาถึงใจกลางของย่านการค้าก็พบกับตึกสูงสามชั้นที่ดูทันสมัยและหรูหราเหมาะกับที่จะเป็นร้านอัญมณีจริง ๆ เมื่อหลินเสวี่ยเห็นมันเธอก็สงสัยเล็กน้อยก่อนจะหันไปถาม

”ไม่ใช่ว่าเธอชอบสไตล์โบราณมากกว่างั้นเหรอ ? แต่ทำไมภายนอกตึกมันดูหรูหราสมัยใหม่แบบนี้ละ ?”

เทียนหลางที่ได้ยินก็ยิ้มก่อนจะอธิบาย

”ในตอนแรกฉันก็คิดแบบนั้น แต่ลุงฮูบอกว่ามันจะดูไม่เข้ากับยุคสมัยแม้จะสร้างให้มันเป็นแบบร่วมสมัยก็ตาม แต่มันไม่เหมาะกับที่จะเป็นร้านขายอัญมณีสักเท่าไหร่ฉันจึงเปลี่ยนแบบในช่วงสุดท้าย”

หลินเสวี่ยได้ยินก็พยักหน้าเธอพอจะเข้าใจอยู่บ้างเพราะรูปลักษณ์ภายนอกนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งในการดึกดูดลูกค้าและการสร้างให้มันดูทันสมัยก็มีส่วนในการดึงดูดเช่นเดียวกัน หลินเสวี่ยมองขึ้นไปด้านบนก็เห็นป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนไว้ว่า ‘ศาลาอัญมณี’ อยู่เธอคาดว่านี่คงเป็นชื่อร้าน

เทียนหลางพาหลินเสวี่ยเข้าไปชมด้านในซึ่งถูกตกแต่งอย่างหรูหราแต่ก็คงไว้ด้วยความโบราณเก่าแก่ เทียนหลางอธิบายในแต่ละชั้นให้กับหลินเสวี่ยอย่างละเอียด

ชั้นแรกไว้ขายอัญมณีและหยกต่าง ๆ ให้แก่ลูกค้า ส่วนชั้นที่สองนั้นไว้รับรองแขก VIP หรือลูกค้ารายใหญ่ซึ่งตอนนี้ก็ยังคงไม่มีอยู่ ส่วนชั้นบนเป็นที่ไว้สำหรับเป็นสำนักงานและเป็นที่อยู่ของเซฟที่ไว้ใช้สำหรับเก็บอัญมณีและเครื่องประดับต่าง ๆ

หลินเสวี่ยกังวลเรื่องความปลอดภัยของตู้เซฟที่แม้มันจะเป็นรุ่นที่ทันสมัยที่สุด แต่ดูจากการป้องกันแล้วดูไม่แน่หนาเอาเสียเลย เทียนหลางนั้นจึงบอกเธอว่าไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของตู้เซฟเลยแม้แต่น้อยเพราะเขาได้กางค่ายอาคมและลงอักขระเอาไว้เรียบร้อยแล้วต่อให้เป็นพระเจ้าก็ยากที่จะเปิดเซฟใบนี้ได้ดังนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องขโมยเลยแม้แต่น้อย

จากนั้นเทียนหลางก็ให้กุญแจตู้เซฟกับหลินเสวี่ยเอาไว้สำหรับเปิดมัน ตัวกุญแจเซฟก็ได้ถูกลงอักขระไว้เช่นกันมันเป็นเหมือนบัตรผ่านสำหรับเข้าสู่ค่ายอาคมดังนั้นผู้ที่ครอบครองมันจึงสามารถเข้าออกตู้เซฟนี้ได้อย่างปลอดภัย นอกจากกุญแจแล้วเทียนหลางยังมีบัตรผ่านไว้สำหรับเข้าออกบริเวณนี้ไว้อีกด้วย เพราะการที่จะให้หลินเสวี่ยเดินเข้าออกทนเครื่องประดับนั้นก็กะไรอยู่ บัตรนี้จึงมีไว้สำหรับลูกน้องที่จะเข้ามาขนเครื่อประดับเอาออกไปขาย

หลังจากเดินสำรวจร้านอย่างละเอียดแล้ว เทียนหลางก็แนะนำผู้ช่วยของเธอให้กับหลินเสวี่ยนั่นคือ อ้านหลิน นี่คือหนึ่งในลูกน้องคนสนิทของซ่านฉินและยังเป็นน้องสาวบุญธรรมของซ่านฉินอีกด้วย เมื่อซ่านฉินได้ยินว่าเทียนหลางต้องการคนที่ไว้ใจได้เขาจึงส่งน้องสาวของเขามาช่วยงานเทียนหลาง

เทียนหลางบอกกับหลินเสวี่ยและอ้านหลินว่าอีกหนึ่งสัปดาห์ร้านจะเปิดทำการและมีการจัดพิธีเปิดเล็กน้อย ซึ่งหนึ่งสัปดาห์ต่อจากนี้ก็ตรงกับวันจบการศึกษาของเทียนหลางและหลินเสวี่ยด้วยเช่นกัน

……………………………………………

เมื่อกลับมาถึงบ้านเทียนหลางก็กลับเข้ามาที่ตำหนักมังกรและหยิบกล่องใบใหญ่ใบหนึ่งออกมาจากแหวนมังกรดำ เมื่อเปิดออกมาก็จะพบกับแร่ดิบและหยกที่ยังไม่ได้ผ่านการตัดแต่งอยู่นับร้อยก้อน

เทียนหลางนำกระเป๋าแบบเดียวกันออกมาอีกสามสิบใบด้านในนั้นเป็นเหมือนกันทั้งหมดก็คือแร่ดิบ กับหยกอีกเป็นจำนวนมาก คืนนี้เทียนหลางตั้งใจจะหลอมแร่ดิบ กับหยกพวกนี้ให้เป็นเครื่องประดับทั้งหมดเพื่อที่จะนำพวกมันไปวางขายในร้านของเขาในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า

แต่เมื่อเทียนหลางมองจำนวนแร่ดิบและหยกพวกนี้แล้วเขาก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา

”ดูเหมือนคืนนี้จะได้นอนดึกอีกแล้วสิ”

———————————————————————————