“นากา—!? นากา!!!”
 

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ทางด้านอลิซที่กำลังต่อสู้อยู่กับซัมเมอร์เองก็ได้แต่ต้องร้องตะโกนเรียกชื่อของนากาขึ้นมาเมื่อเธอสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มผมดำได้ซุกหน้าลงไปกอดน้องสาวของเขาที่เพิ่งจะถูกเด็กสาวในชุดผ้าคลุมใช้ดาบคาตานะเสียบจนทะลุก่อนจะแน่นิ่งไปตามโมโกะที่ยังคงนั่งเหม่อมองดูซากบ้านอันแสนอบอุ่นของตัวเองอยู่

 

ซึ่งนั่นก็ทำให้ซัมเมอร์ที่เห็นว่าเหล่าคู่ต่อสู้ของเธอไม่ว่าจะเป็นเด็กหนุ่มผมดำคนนั้นหรือว่าเด็กสาวผมขาวคนนี้ต่างก็ทำเป็นเหมือนว่าไม่ได้สนใจที่จะต่อสู้กับเธออย่างจริงจังเลยแม้แต่น้อยและคอยหันไปให้ความสนใจทางด้านอื่นแทบจะตลอดเวลารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว

 

“ตัวเองก็ยังจะเอาตัวไม่รอดแล้วยังคิดจะไปเป็นห่วงคนอื่นอีกหรอพี่สาว!?”

 

“ยัยเด็กเวรนี่!!”

 

ปังปังปังปัง!!

 

อลิซที่เพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองเผลอปล่อยให้ความเป็นห่วงเข้าครอบงำจนเผลอละความสนใจไปจากคู่ต่อสู้อีกครั้งหนึ่งได้รีบหันกลับไปหาคู่ต่อสู้ของเธอและสาดกระสุนจำนวนหนึ่งไปทางนั้นในทันที

 

ฟุ๊บ—

 

แต่ทว่าซัมเมอร์ที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาหาอลิซนั้นก็กลับสามารถก้มตัวลงต่ำเพื่อหลบหลีกฝนกระสุนของเธอได้อย่างไม่ยากลำบากอะไรนักอีกทั้งยังเร่งฝีเท้าเพื่อพุ่งตัวเข้ามาฟาดกระบองเหล็กติดไฟในมือเข้าใส่อลิซเต็มแรงจนทำให้เธอต้องรีบสะบัดดาบสีขาวในมือขึ้นมาป้องกันตัวเองอย่างรีบร้อน

 

เคร๊ง—

 

ถึงแม้ว่าอลิซจะสามารถยกดาบของเธอขึ้นมาป้องกันตัวเองเอาไว้ได้ทัน แต่ว่าด้วยสภาพร่างกายของเธอที่มีแผลอยู่เต็มตัวโดยเฉพาะตรงส่วนแขนของเธอที่แผลเพิ่งจะเปิดออกมาอีกครั้งหนึ่งในตอนที่เธอลากโมโกะออกมาจากตัวบ้านมันก็ทำให้เธอไม่สามารถรั้งอาวุธในมือเอาไว้ได้จนมันปลิวกระเด็นขึ้นฟ้าหายไป

 

และสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ทำให้ซัมเมอร์แสยะยิ้มออกมาก่อนที่เธอจะหมุนตัวและเหวี่ยงไม้กระบองเหล็กติดไฟของเธอเข้าใส่ที่หัวของอลิซอีกครั้งอย่างรุนแรง

 

ปึ๊ก!!

 

“อัํก—!!?”

 

อลิซที่ถูกไม้กระบองเหล็กฟาดเข้าที่หัวจนเลือดสาดกระเด็นได้เซถอยไปสองสามก้าวและหลุดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะกัดฟันแน่นเพื่อตั้งสติและกระแทกเท้าลงพื้นเพื่อตั้งหลักอย่างมั่นคงก่อนที่เธอจะสาดกระสุนเข้าใส่เด็กสาวผมทองอีกครั้งหนึ่ง

 

“ย—ยังหรอก—”

 

ปังปังปัง!

 

“หืมมม~~”

 

กระสุนที่อลิซยิงเข้าใส่ซัมเมอร์นั้นไม่ได้เฉียดเข้าใกล้ร่างของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อยจนทำให้ซัมเมอร์ที่ตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีส่งเสียงออกมาเบาๆ ด้วยความแปลกใจก่อนที่เด็กสาวผมสีทองจะหลุดรอยยิ้มเยาะเย้ยออก

 

เพราะว่าทุกครั้งที่พาร์ทส่วนบนของอลิซที่ติดปืนกลเบาเอาไว้ได้ลั่นกระสุนออกมา ร่างกายของอีกฝ่ายที่ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักมาอยู่ก่อนแล้วก็แทบจะสะบัดไปมาตามแรงถีบปืนจนทำให้กระสุนที่ถูกยิงออกมาเบื้องหน้าพุ่งกระจายออกไปอย่างสะเปะสะปะแทน

 

“หยุดฝืนเถอะหน่าพี่สาว~ พี่สาวเล่นมาสู้ด้วยสภาพแบบนี้แล้วคิดว่าจะชนะหนูได้จริงๆ หรือไง~”

 

ซัมเมอร์เอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งก่อนที่เธอจะค่อยๆ เดินเข้าไปหาอลิซด้วยความย่ามใจพร้อมกับแกว่งไม้กระบองเหล็กติดไฟของเธอไปมาราวกับกำลังคิดว่าจะจัดการหวดมันเข้าใส่ร่างของอลิซที่เรียกได้ว่ายังคงยืนหยัดอยู่ได้เพราะว่ามีพาร์ทส่วนล่างที่เป็นโครงเหล็กคอยช่วยค้ำยันเอาไว้จากมุมไหนดี

 

และเมื่อซัมเมอร์เดินเข้าไปใกล้ตัวอลิซจนถึงระยะที่เธอจะสามารถใช้ไม้กระบองเหล็กโจมตีได้แล้วเธอก็ได้ยกไม้กระบองเหล็กติดไฟของเธอขึ้นสูงเหนือหัวก่อนจะเหวี่ยงมันลงเข้าใส่เด็กสาวผมสีขาวเต็มแรง

 

ฟุ๊บ—หมับ!!

 

“—!?”

 

แต่ว่าในขณะที่ซัมเมอร์กำลังจะเหวี่ยงไม้กระบองเหล็กติดไฟลงมานั้นเองข้อมือทั้งสองข้างของเธอก็ถูกอะไรบางอย่างรั้งเอาไว้จนหยุดอยู่กับที่จนทำให้เธอต้องรีบหันกลับไปดูในทันที

 

และนั่นก็ทำให้เธอได้พบเข้ากับนางพยาบาลผมบลอนด์ยาวในชุดพยาบาลสีชมพูอ่อนที่กำลังใช้ฝ่ามือเรียวยาวภายใต้ถุงมือสีขาวสะอาดคว้าจับข้อมือทั้งสองข้างของเธอเอาไว้และกำลังจ้องมองตรงมายังเธอด้วยรอยยิ้มนิ่งๆ บนใบหน้า

 

“ใคร—”

 

“เป็นเด็กเป็นเล็กถือของแบบนี้มันอันตรายนะจ๊ะ~”

 

ในทันทีที่สิ้นเสียงของนางพยาบาลผมบลอนด์เธอก็ได้หยิบเอาหลอดยาอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อก่อนที่เธอจะสาดน้ำยาสีส้มที่ถูกบรรจุเอาไว้ภายในเข้าใส่ใบหน้าของซัมเมอร์เข้าเต็มๆ

 

แผล๊ะ–

 

“เอ๋ะ–อะไร—”

 

“ของที่เมื่อวันก่อนพวกเธอลืมเอาไว้ที่รีมินัสจนทำให้พวกพี่ๆ ทหารยามต้องเข้าโรงพยาบาลกันเป็นสิบคนนั่นไงล่ะจ๊ะ”

 

“ก—กรี๊ดดดดดด—ตาฉัน—ตาฉันนนนน!!”

 

คำตอบของนางพยาบาลผมบลอนด์ที่ดังขึ้นมาพร้อมๆ กับความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนอย่างรุนแรงที่ดวงตาของซัมเมอร์นั้นได้ทำให้เด็กสาวกรีดร้องออกมาเสียงดังก่อนที่เธอจะก้มลงไปกุมใบหน้าของตัวเองเอาไว้และขยี้ตาของตัวเองอย่างแรงราวกับว่าลูกตาของเธอกำลังจะหลุดออกมา

 

และเมื่อนางพยาบาลสาวผมบลอนด์เห็นว่าซัมเมอร์ได้หมดสภาพจนไม่สามารถต่อสู้ต่อไปได้แล้วเธอก็รีบเดินเข้าไปตรวจดูอาการโมโกะที่นั่งนิ่งอยู่กับที่อย่างรวดเร็วพร้อมกับร้องสั่งอลิซไปด้วย

 

“คุณอลิซรีบไปรวมกลุ่มกับชาวบ้านที่กำลังรออพยพอยู่ที่หน้าหมู่บ้านเดี๋ยวนี้เลยค่ะ แล้วเดี๋ยวฉันจะพาโมโกะจังตามไปเอง”

 

“ล…แล้วพวกนากากับนิลิมเขาล่ะ?”

 

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ เดี๋ยวพวกคุณอารอนเขาจะจัดการให้เอง ตอนนี้พวกเรารีบไปกันเถอะค่ะ!”

 

“อ่า—เข้าใจแล้ว!”

 

อลิซพูดตอบนางพยาบาลผมบลอนด์ของอารอนกลับไปสั้นๆ พร้อมกับเหลือบมองไปทางด้านซัมเมอร์ที่กำลังดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้นและนิลิมที่กำลังเข้าปะทะกับเด็กสาวในชุดผ้าคลุมในระยะประชิดอยู่เล็กน้อยแล้วจึงกัดฟันแน่นก่อนจะใช้ไอพ่นจากพาร์ทส่วนล่างพุ่งตัวหนีออกไปจากหมู่บ้านในทันทีโดยมีนางพยาบาลผมบลอนด์ที่กำลังอุ้มโมโกะอยู่รีบวิ่งตามไปไม่ห่าง

 

เคร๊ง—!!

 

และในขณะเดียวกันทางด้านนิลิมที่กำลังต่อสู้อยู่กับเด็กสาวในชุดผ้าคลุมเองก็ได้ถูกเด็กสาวในชุดผ้าคลุมเหวี่ยงดาบคาตานะกระแทกเข้าใส่แท่งน้ำแข็งบนท่อนแขนของเธอจนกระเด็นออกมาจนทำให้นิลิมได้ตัดสินใจที่จะพุ่งตัวกลับเข้าไปเพื่อที่จะได้ใช้ปีกน้ำแข็งขนาดใหญ่บนแผ่นหลังของเธอเหวี่ยงเข้าโจมตีใส่อีกฝ่ายอีกครั้ง

 

ฟู่วววว—

 

“….!”

 

แต่ว่าก่อนที่นิลิมจะได้พุ่งตัวเข้าไปโจมตีอย่างที่เธอคาดคิดเอาไว้ก็ได้มีมวลอากาศทรงกลมพุ่งเข้ามาขวางอยู่ตรงกลางระหว่างตัวเธอและคู่ต่อสู้ก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงของชายหนุ่มที่ฟังดูมีอายุที่ร้องตะโกนขึ้นมาเสียงดัง

 

“แอร์เบิร์ส!!”

 

เป๊าะ—ซู่มมมมมมม!!

 

ทันทีที่สิ้นเสียงของชายสูงวัยคนนั้นลูกบอลอากาศที่ลอยพุ่งเข้ามาขวางอยู่ตรงกลางก็ได้ระเบิดออกกลายเป็นสายลมที่รุนแรงดุจพายุขนาดย่อมๆ จนให้นิลิมและเด็กสาวในชุดผ้าคลุมถูกเป่าจนปลิวกระเด็นกันไปคนละทาง

 

ซึ่งนิลิมที่ถูกสายลมเป่าจนปลิวกระเด็นนั้นก็ได้ใช้แขนขาทั้งสี่ข้างรวมถึงปลายปีกน้ำแข็งของเธอยันไว้กับพื้นเพื่อสร้างแรงต้านด้วยท่าทางราวกับสัตว์ป่ากระหายเลือดก่อนจะออกแรงพุ่งตัวเข้าไปเริ่มต้นการโจมตีอีกครั้งหนึ่ง

 

หมับ

 

“นิลิม…”

 

แต่ทันใดนั้นเองไหล่ของเธอก็ได้ถูกจับเอาไว้โดยฝ่ามือของชายหนุ่มคนหนึ่งจนให้นิลิมที่กำลังโกรธแค้นสะบัดหน้าไปทางต้นเสียงพร้อมกับเหวี่ยงแท่งน้ำแข็งบนท่อนแขนของเธอเข้าใส่อีกฝ่ายอย่างรุนแรง

 

“—-!?”

 

แต่ว่าในทันทีที่นิลิมได้สังเกตเห็นใบหน้าของคนที่อยู่ข้างกายเธอนั้นใบหน้าโกรธแค้นของเธอก็สลายหายไปและกลายเป็นความตกใจแทน เพราะว่าชายคนที่มาหยุดเธอเอาไว้นั้นก็คือนายแพทย์หนุ่มผมสีขาวที่ชื่อว่าอารอนที่ไม่ควรจะมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ได้ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่างนั่นเอง

 

“ค—คุณอารอน—!?”

 

“อื้อ… ฉันเอง…”

 

อารอนพูดตอบนิลิมกลับไปเบาๆ พร้อมกับหันไปมองดูสถานการณ์รอบๆ และเมื่อเขาได้เห็นนากาที่นั่งนิ่งกอดพรีมูล่าเอาไว้กับพื้นและร่างกายของนิลิมที่แทบจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดผู้มีปีกนกที่ก่อร่างขึ้นมาจากน้ำแข็งรวมถึงบ้านของโมโกะที่พังถล่มลงมาและมีเปลวไฟลุกท่วมแล้วเขาก็สามารถเข้าใจได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นมาในสถานที่แห่งนี้บ้าง

 

“ฉันขอโทษที่มาช้าไป… เธอรีบกินยานี่แล้วพานากาหนีไปก่อนเถอะ… เดี๋ยวที่เหลือพวกฉันจะจัดการเอง…”

 

“เรื่องนั้นฉันไม่—!!”

 

หมับ

 

เสียงตวาดของนิลิมและท่าทางดุร้ายของเธอนั้นได้ทำให้อารอนตัดสินใจที่จะคว้าร่างของนิลิมมากอดเอาไว้แน่นโดยไม่สนใจว่ามันจะทำให้น้ำแข็งบนร่างของนิลิมลามมาเกาะกุมร่างของเขาเอาไว้เลยแม้แต่น้อย

 

“นากาเขายังต้องการเธออยู่นะ…”

 

“…..”

 

“ถึงนากาเขาจะไม่—…คิดซะว่าเธอทำมันเพื่อพรีมูล่าได้หรือเปล่า… เด็กคนนั้นรักนากาเหมือนกับพี่ชายแท้ๆ เลยนะ… เธอคงจะไม่อยากให้พรีมูล่าเขาต้องมาเสียใจหรอกใช่มั้ย…”

 

“ข…เข้าใจแล้วค่ะ…”

 

นิลิมที่โดนอารอนยกชื่อลูกสาวของเธอที่เพิ่งจะถูกสังหารไปได้ก้มหน้าลงต่ำพร้อมกับพูดตอบอารอนกลับไปเบาๆ ก่อนจะหยิบเม็ดยาที่อารอนยื่นมาให้เข้าไปในปากของเธอแต่โดยดี

 

“คุณอารอนเองก็ต้องสัญญาว่าจะกลับมาให้ได้เหมือนกันนะคะ…”

 

นิลิมเอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ ในขณะที่ปีกน้ำแข็งขนาดใหญ่บนแผ่นหลังของเธอได้แตกสลายหายไปในชั่วพริบตาพร้อมๆ กับที่แท่งน้ำแข็งที่ลามไปตามท่อนแขนของเธอได้ค่อยๆ ละลายหายไปจนทำให้อุณหภูมิเยือกแข็งรอบๆ ตัวของเธออบอุ่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งนั่นก็ทำให้อารอนที่เห็นว่านิลิมหลุดพ้นจากความบ้าคลั่งแล้วได้ผละตัวออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดตอบเธอกลับไป

 

“อาจจะไม่ใช่ภายในวันนี้… แต่ว่าฉันจะกลับไปให้ได้แน่นอน… ฉันสัญญา…”

 

“ค่ะ…”

 

นิลิมพูดตอบอารอนกลับไปเบาๆ ก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปโอบกอดนากาเอาไว้และพูดอะไรบางอย่างออกมาจนทำให้นากายอมอุ้มร่างไร้วิญญาณของพรีมูล่าขึ้นมาและเดินตามหลังเธอออกไปจากหมู่บ้านอย่างรวดเร็วก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงของชายวัยกลางคนดังขึ้นมา

 

“แหม่… คุณอารอนเองนี่ก็รู้วิธีรับมือกับพวกผู้หญิงเหมือนกันนะครับเนี่ย”

 

“ไม่เท่านายหรอกมั้งแม็กซิส…”

 

อารอนพูดตอบปู่แม็กซ์กลับไปพร้อมกับเหลือบมองไปยังทางด้านเด็กสาวผมสีทองที่ในขณะนี้ได้มีลูกน้องของเธอส่วนหนึ่งเดินเข้ามาหาพร้อมกับขวดสีใสที่บรรจุน้ำสะอาดจำนวนมากเอาไว้เพื่อที่จะได้ให้เธอได้ใช้มันล้างตาจากสารพิษที่เธอถูกนางพยาบาลสาดเข้าใส่ที่ใบหน้าก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นมาพร้อมๆ กับที่มีหยาดฝนโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า

 

ครืนนนนนนน!

 

“ฝนตกอย่างนี้อย่างน้อยก็หมดห่วงเรื่องไฟไปได้ล่ะ… ถ้าเกิดว่ายังจะมีใครเหลือรอดอยู่ในบ้านพวกนั้นล่ะก็นะ…”

 

“แหม่ ถึงจะหมดห่วงเรื่องไฟไปได้แล้วแต่ว่าปัญหาคงจะไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นหรอกมั้งครับคุณอารอน”

 

“เฮ้อ…ก็นั่นสินะ…”

 

อารอนที่โดนปู่แม็กซ์พูดหยอกล้อขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีนั้นได้แต่ต้องถอนหายใจพูดตอบเขากลับไปเพราะดูท่าทางว่าชายวัยกลางคนจะไม่เห็นเด็กสาวอย่างซัมเมอร์ที่สามารถต่อสู้กับนากาได้อย่างสูสีอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย

 

ซึ่งมันก็คงจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะว่าในขณะนี้ตัวตนที่อันตรายกว่าจนซัมเมอร์เทียบไม่ติดได้ก้าวเท้าออกมายืนประจันหน้ากับพวกเขาอยู่ห่างออกไปไม่ไกลด้วยความสงสัยกับการที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้นมาที่นี่แล้ว

 

“แม็กซิส อารอน… พวกนายมาทำอะไรที่นี่…?”

 

ร่างเล็กๆ ในชุดผ้าคลุมได้เอ่ยปากพูดถามชายทั้งสองคนที่ไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่ตามสัญญาที่พวกเขาเคยตกลงเอาไว้กับเธอเมื่อนานมาแล้วขึ้นมาเบาๆ จนทำให้อารอนที่เห็นว่าเด็กสาวในชุดผ้าคลุมยอมปล่อยให้พวกนิลิม นากาและอลิซหนีไปแต่โดยดีอดไม่ได้ที่ต้องจะพูดขึ้นมา

 

“เธอนี่ก็ยังอุตส่าห์รอให้พวกฉันคุยกันจนเสร็จได้อีกนะอ— ไม่สิ… ตอนนี้เธอคงจะชอบให้คนอื่นเรียกว่าคุณหัวหน้ามากกว่าแล้วสินะ…”

 

“นั่นสินะ… ส่วนสาเหตุที่ทำให้พวกฉันมาที่นี่มันก็เป็นเพราะคำตอบที่คราวก่อนฉันมอบให้กับเธอไปนั่นไงล่ะ เพราะยังไงฉันก็เคยบอกไปแล้วนี่นะว่าฉันคงจะปล่อยให้เธอทำลายโลกใบนี้ที่ลูกๆ หลานๆ ฉันจะต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไปอีกนานไม่ได้น่ะ”

 

ปู่แม็กซ์พูดตอบเด็กสาวในชุดผ้าคลุมกลับไปพร้อมกับปักไม้เท้าที่มีตราประจำตระกูลของเขาสลักเอาไว้ลงกับพื้นและควักเอามีดสั้นที่มีโซ่สีเขียวที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยพลังวิซธาตุลมออกมาจนทำให้เด็กสาวในชุดผ้าคลุมที่เห็นแบบนั้นนิ่งเงียบไปสักพักใหญ่ๆ แล้วจึงพูดถามคำถามเดียวกันกับที่เธอเคยถามเขาเอาไว้เมื่อครั้งที่แล้วขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ

 

“ต่อให้นั่นมันจะทำให้พวกเราต้องกลายเป็นศัตรูกันงั้นหรอ…”

 

“ใช่ ต่อให้มันจะทำให้พวกเราต้องมาฆ่าฟันกันเองก็ตาม…”

 

“……..”

 

ร่างในชุดผ้าคลุมที่ได้รับคำตอบอันหนักแน่นกลับไปจากปู่แม็กซ์ได้ก้มหน้าลงเล็กน้อยและนิ่งเงียบไปอีกคั้งหนึ่งจนทำให้อารอนที่สามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่แผ่ออกมาจากความมืดมิดภายใต้ผ้าคลุมของอีกฝ่ายตัดสินใจที่จะเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกคน

 

“เธอรู้อะไรหรือเปล่า… ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้หลังจากเกิดเรื่องนั้นขึ้นมาน่ะมันก็มีอะไรหลายอย่างผ่านเข้ามาในชีวิตของฉันด้วยเหมือนกัน… มีทั้งเรื่องที่ทำให้ฉันทั้งโกรธแค้นทั้งโมโหจนสามารถเข้าใจความรู้สึกของเธอ… มีทั้งเรื่องที่ทำให้ฉันมีความสุขและสนุกสนานไปกับเหล่ามนุษย์ของที่นี่ได้… แต่ว่าสิ่งที่ฉันไม่เคยลืมเลือนมันเลยแม้แต่น้อยตลอดหลายปีที่ผ่านมามันก็คือทางเลือกที่เธอคนนั้นเป็นคนเลือกให้ฉัน… ทางเลือกที่ทำให้ฉันต้องมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเหล่ามนุษย์ที่มีแต่ข้อบกพร่องจนถึงทุกวันนี้…

 

แกร๊ก—ครืดดดดด—

 

ในขณะที่อารอนกำลังเอ่ยปากพูดออกมาอยู่นั้นเขาก็ได้หยิบร่มสีดำของเขาขึ้นมาก่อนจะหมุนที่ตัวด้ามจับของมันเล็กน้อยและดึงมันออกมาจนเผยให้เห็นใบดาบที่เรียวเล็กกว่าดาบที่พวกอัศวินใช้กันที่ถูกซ่อนเอาไว้ด้านใน

 

“ถึงในตอนแรกในใจของฉันจะเต็มไปด้วยความแค้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นและใช้ชีวิตไปวันๆ เพื่อรอให้ถึงเวลาที่เธอจะมอบคำตัดสินให้กับพวกเขา… แต่เมื่อไม่นานมานี้ฉันก็ได้พบกับแสงสว่างอีกครั้ง… แสงสว่างที่ฉันคิดว่ามันมอดดับไปแล้วตั้งแต่เมื่อตอนนั้น… แสงสว่างที่ฉันตั้งใจว่าจะปกป้องมันเอาไว้…”

 

ซึ่งอารอนก็ได้จับจ้องไปที่ใบดาบของเขาที่ไม่ได้ออกมาสัมผัสกับอากาศเบื้องนอกมาเป็นเวลานานหลายปีอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เขาจะชักมันออกมาจากฝักและโยนฝักดาบที่เป็นโครงร่มทิ้งไปพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ

 

“การที่ฉันมาที่นี่ในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะมอบคำตอบให้กับเธอ… ว่าพวกฉันต้องการที่จะปกป้องโลกใบนี้เอาไว้ต่อให้มันจะทำให้พวกเราต้องกลายมาเป็นศัตรูกันก็ตาม…”

 

“……..”

 

คำตอบของอารอนได้ทำให้เด็กสาวในชุดผ้าคลุมนิ่งเงียบไปสักพักใหญ่ๆ ภายใต้สายฝนที่กำลังโปรยปรายลงมาก่อนที่เธอจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเพื่อใช้สายตาที่ถูกบดบังเอาไว้ภายใต้ความมืดมิดภายใต้ผ้าคลุมของเธอจ้องมองไปยังสหายเก่าทั้งสองคนและเอ่ยปากถามพวกเขากลับไป

 

“ต่อให้สิ่งที่พวกนายเลือกมันจะทำให้พวกนายต้องกลายไปเป็นหุ่นเชิดที่คอยรับใช้เหล่ามนุษย์ที่มีแต่ของบกพร่องของที่นี่ตลอดไปงั้นหรอ…?”

 

“ถ้าเรื่องแค่นั้นล่ะก็มันคงจะไม่ได้ต่างไปจากชีวิตที่ผ่านมาของฉันหลังจากที่พวกเราแยกทางกันไปเมื่อตอนนั้นสักเท่าไหร่หรอกล่ะมั้ง…”

 

“หึ… ก็เป็นคำตอบที่สมกับที่เป็นนายดีล่ะนะอารอน…”

 

เด็กสาวในชุดผ้าคลุมได้เอ่ยปากพูดตอบอารอนกลับไปด้วยน้ำเสียงที่แฝงความยินดีเอาไว้อย่างปิดไม่มิดที่เหล่าคนรู้จักในกาลก่อนของเธอสามารถเลือกหนทางของตนเองได้อย่างแน่วแน่แบบนี้ ถึงแม้ว่าทางเลือกของพวกเขาจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพวกเธอก็ตามที

 

และสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปหลังจากนี้ก็คือการที่พวกเขาจะต้องพิสูจน์ตนเองว่าพวกเขาจะมีความสามารถและความมุ่งมั่นมากพอที่จะฝ่าฟันอุปสรรคเบื้องหน้าเพื่อที่จะปกป้องสิ่งที่พวกเขาต้องการจะปกป้องได้หรือไม่

 

“ถ้าอย่างนั้นหนทางเดียวที่เหลืออยู่ของพวกนายก็คือต้องหยุดยั้งฉันเอาไว้ในที่แห่งนี้ให้ได้… เพราะไม่ว่ายังไงเป้าหมายของฉันก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง… ไม่ว่าเวลาจะเลยผ่านไปอีกนานสักเท่าไหร่… หรือต่อให้เขาคนนั้นจะฟื้นคืนกลับขึ้นมาและบอกให้ฉันหยุดก็ตาม…”

 

ในทันทีที่สิ้นเสียงของเด็กสาวในชุดผ้าคลุมเธอก็ได้เรียกละอองแสงจำนวนหนึ่งออกมาเพื่อสร้างเป็นดาบเล่มหนึ่งมาถือเอาไว้คู่กับดาบคาตานะในมือของเธอก่อนที่เธอจะยกดาบเล่มนั้นขึ้นมาชี้ไปทางแม็กซิสและอารอนพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

 

“ช่วยแสดงให้ฉันเห็นหน่อยเถอะ… ถึงหนทางที่พวกนายเป็นคนเลือกด้วยตัวเองนั่นน่ะ…”

 

 

“ทุกคนขึ้นมากันครบแล้วหรือยังคะ!?”

 

ในขณะเดียวกันกับที่อารอนและแม็กซิสกับเด็กสาวในชุดผ้าคลุมกำลังจะเริ่มต่อสู้กันนั้น ทางด้านอัศวินสาวเรสเนอร์เองก็ได้เร่งรีบพาเหล่าชาวบ้านของหมู่บ้านโมริโกะขึ้นรถม้าของพวกเธอที่เพิ่งจะวนกลับมาถึงอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งนั่นก็ทำให้พยาบาลสาวผมบลอนด์ที่กำลังทำแผลให้กับโมโกะและอลิซที่นอนหมดสภาพอยู่บนที่นั่งภายในรถม้าต้องรีบร้องบอกเธอไปในทันที

 

“ยังไม่ครบค่ะ! ด้านในยังเหลือนากากับคุณแม่ของเขาอยู่อีก!!”

 

“ทราบแล้วค่ะ! นิ๊กซ์ซี่จังอย่าเพิ่งไปนะคะ ด้านในหมู่บ้านยังเหลือคนอยู่อีกค่ะ!”

 

อัศวินสาวเรสเนอร์ที่ได้ยินคำพูดของนางพยาบาลผมบลอนด์ได้รีบร้องบอกเพื่อนของเธอที่นั่งประจำการอยู่ที่บังเหียนของรถม้าไปก่อนที่เธอจะหันกลับไปดูทางด้านในหมู่บ้านเพื่อเฝ้าระวังต่อไป

 

และหลังจากที่เวลาผ่านไปอีกสักพักหนึ่งเธอก็ได้เห็นหญิงสาวผมสีชมพูและเด็กหนุ่มผมดำที่กำลังอุ้มน้องสาวของเขาเอาไว้ในอ้อมแขนกำลังรีบวิ่งออกมาจากภายในหมู่บ้านด้วยความรีบร้อน

 

“รอเดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป!!”

 

นิลิมที่เห็นว่ามีคนประจำการอยู่บนบังเหียนของรถม้าจนดูราวกับว่ารถม้าของเรสเนอร์พร้อมที่จะออกเดินทางได้ทุกเมื่อนั้นได้รีบร้องเรียกอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนและเร่งฝีเท้าของตนเองขึ้นเพื่อนำทางลูกชายของเธอที่สติแทบจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปทางรถม้าอย่างรวดเร็ว

 

ซึ่งนั่นก็ทำให้เรสเนอร์ที่เห็นว่านากามีร่องรอยของอาการบาดเจ็บจากการต่อสู้กำลังอุ้มพรีมูล่าที่นอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่รีบเอ่ยปากอาสาที่จะช่วยเหลือในทันที

 

“ส่งเด็กคนนั้นมาทางนี้ก่อนก็ได้ค่ะ! เดี๋ยวฉันช่วยอุ้มเธอขึ้นรถม้าให้เอง!”

 

“…….”

 

แต่ว่านากาก็กลับไม่ได้พูดตอบอะไรเธอกลับไปและพยายามปีนขึ้นรถม้าไปด้วยตัวเองโดยไม่ยอมปล่อยร่างของพรีมูล่าออกจากอ้อมแขนอย่างทุลักทุเลจนทำให้เรสเนอร์สังเกตเห็นรอยแผลตรงกลางอกของพรีมูล่าและรอยเลือดที่ย้อมเสื้อผ้าของเด็กสาวผมชมพูจนเป็นสีแดงขึ้นมาได้ ซึ่งนั่นก็ทำให้เธอสามารถเข้าใจได้ถึงสาเหตุที่นางพยาบาลผมบลอนด์ไม่ได้พูดชื่อของพรีมูล่าขึ้นมาเมื่อสักครู่นี้แล้ว

 

“ถ…ถ้ายังไงทั้งสองคนก็รีบขึ้นไปบนรถกันก่อนเถอะค่ะ…”

 

“ขอบคุณมากนะ… นากาคุง ให้แม่ช่วยนะ…”

 

“ครับ…”

 

นากาพยักหน้าตอบคุณแม่ของเขากลับไปสั้นๆ และยอมปล่อยให้คุณแม่ของเขาช่วยยกตัวพรีมูล่าขึ้นไปบนรถเพื่อวางร่างของเธอลงที่ข้างๆ ตัวอลิซที่ดูเหมือนว่าจะหมดสติไปแล้วแต่โดยดี ส่วนทางด้านเรสเนอร์เองก็ได้แต่ต้องหันไปเอ่ยปากถามพยาบาลสาวผมบลอนด์ขึ้นมาด้วยความกระอักกระอ่วน

 

“แล้วพวกเราจะเอายังไงกันต่อดีคะ ถึงตอนนี้รถม้าจะยังไม่เต็มก็เถอะแต่ว่าก็มีคนเจ็บหนักอยู่บนนั้นกันตั้งสองคนแล้ว…”

 

“พวกคุณรีบหนีไปกันเถอะค่ะ ตอนนี้ในหมู่บ้านไม่น่าจะมีใครเหลือรอดแล้วล่ะค่ะ…”

 

“เอ๋ะ—”

 

คำตอบของนางพยาบาลผมบลอนด์ที่ปีนออกมาจากตัวรถม้าเพื่อให้ทางด้านในมีที่สำหรับร่างของพรีมูล่านั้นได้ทำให้เรสเนอร์หันกลับไปมองเธอด้วยความตกใจจนทำให้พยาบาลผมบลอนด์ต้องพูดอธิบายออกมา

 

“คุณเรสเนอร์ก็น่าจะรู้ใช่มั้ยล่ะคะว่าพวกเรากำลังต่อสู้กับคนกลุ่มไหนอยู่น่ะ… เพราะงั้นเที่ยวรถรอบนี้จะเป็นเที่ยวสุดท้ายแล้วล่ะค่ะ”

 

“เข้าใจแล้วค่ะ…”

 

เรสเนอร์ที่ได้ยินคำสั่งของนางพยาบาลผมบลอนด์ได้พยักหน้าตอบเธอกลับไปสั้นๆ ก่อนที่เธอจะรีบวิ่งกลับไปกระโดดเกาะหลังรถเอาไว้เพื่อเฝ้าระวังการโจมตีเผื่อว่าพวกทหารที่ไม่รู้จักความเจ็บปวดพวกนั้นจะวิ่งตามออกมาจากหมู่บ้าน

 

แต่ว่าหลังจากที่เธอกระโดดขึ้นไปเกาะอยู่ที่ท้ายรถม้าแล้วเธอก็ได้แต่ต้องร้องถามขึ้นมาด้วยความตกใจเมื่อเธอได้พบว่านางพยาบาลสาวผมบลอนด์ไม่ได้กระโดดตามขึ้นมาด้วยและกำลังเดินตรงเข้าไปภายในหมู่บ้านแบบไม่เกรงกลัวอะไรเลย

 

“เดี๋ยวสิคะ! แล้วคุณจะไม่หนีไปด้วยกันด้วยหรอ!?”

 

“พอดีว่าฉันยังมีเรื่องที่ต้องทำข้างในนั้นน่ะค่ะ… คุณเรสเนอร์รีบพานากาคุงกับพวกชาวบ้านหนีกันไปก่อนเถอะค่ะ …เดี๋ยวพอพวกฉันเสร็จธุระข้างในแล้วจะรีบตามไปทีหลังเอง”

 

“…เข้าใจแล้วค่ะ นิ๊กซ์ซี่จังออกรถได้เลยค่ะ!”

 

“รับทราบค่ะ!!”

 

ทันทีที่นิ๊กซ์ซี่ได้ยินคำสั่งของเรสเนอร์เธอก็ได้ร้องตอบกลับมาก่อนที่รถม้าของพวกเธอจะพุ่งตัวออกไปจากหมู่บ้านโดยมีพยาบาลสาวผมบลอนด์มองไล่หลังตามมา

 

ซึ่งถึงแม้ว่าระหว่างทางเรสเนอร์ที่เกาะอยู่ที่ท้ายรถม้าจะได้พบกับพวกคนที่แต่งตัวคล้ายกับทหารจากสี่เมืองหลวงที่บุกเข้าไปทำลายหมู่บ้านโมริโกะอยู่บ้าง แต่ว่าพวกเขาก็ดูเหมือนจะไม่ให้ความสนใจกับรถม้าของเธอเลยแม้แต่น้อยและเดินตรงไปทางหมู่บ้านโมริโกะอย่างเงียบๆ โดยไม่แม้แต่จะหันมองมาทางพวกเธอ
 

และนั่นก็ทำให้รถม้าของพวกเธอสามารถแล่นออกมาพ้นชายป่าที่ติดอยู่กับหมู่บ้านโมริโกะได้อย่างราบรื่นและได้พบเข้ากับรถกระบะของพวกนากาที่ได้อิกนิสขับขนพวกชาวบ้านออกมาก่อนหน้านี้กำลังจอดอยู่ที่ริมชายป่าเข้าจนทำให้นิ๊กซ์ซี่ที่เห็นแบบนั้นค่อยๆ ลดความเร็วของรถม้าของพวกเธอลงเพื่อจอดลงที่ใกล้ๆ บริเวณนั้น

 

“อิกนิส! สถานการณ์เป็นยังไงบ้างคะ!?”

 

“เมื่อกี้นี้เหมือนว่าจะมีคนสังเกตเห็นกลุ่มนึงศัตรูแอบมองมาทางพวกเราจากภายในป่าน่ะครับ แต่ว่าอยู่ดีๆ พวกนั้นก็เลิกสนใจพวกเราแล้วก็เดินตรงไปทางหมู่บ้านซะอย่างนั้นเลย…”

 

“งั้นหรอคะ…”

 

“เรสเนอร์…”

 

ในขณะที่เรสเนอร์กำลังคุยกับอิกนิสอยู่นั้นก็ได้มีเสียงของนิลิมดังขึ้นมาเรียกความสนใจจากเธอไป และเมื่อนิลิมเห็นว่าเรสเนอร์ได้หันมามองทางเธอแล้วนิลิมก็ได้รีบเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อในทันที

 

“เมื่อกี้นี้คุณเอริกะเขาติดต่อมาว่าทางเมืองรีมินัสกำลังตามหาตัวรถคันนั้นกับพวกเด็กๆ ที่ขโมยรถออกมากันอยู่น่ะ… ถ้าเป็นไปได้ฉันขอรถคันนั้นคืนให้พวกเด็กๆ แล้วก็ขอแรงพวกคุณช่วยคุ้มกันพวกชาวบ้านไปที่อื่นก่อนจะได้หรือเปล่า…?”

 

“เรื่องคุ้มกันพวกชาวบ้านนี่ฉันกะจะทำให้อยู่แล้วล่ะค่ะ แต่ที่บอกว่าขโมยรถออกมานี่หมายความว่าพวกเขาไม่ได้ถูกทางเมืองส่งมาจริงๆ สินะคะเนี่ย…”

 

“ก็พอพวกเขาได้ยินว่าหมู่บ้านกำลังจะถูกโจมตีพวกเขาก็รีบหาทางกลับมาที่หมู่บ้านให้ได้เร็วที่สุดจนสุดท้ายก็เลยขโมยรถที่ทางเมืองให้ทางโรงเรียนยืมมาไปใช้โดยพลการนั่นแหล่ะ… ฉันก็เลยคิดว่าพวกเขาน่าจะรู้เป้าหมายของพวกเด็กๆ ในเร็วๆ นี้แล้วก็ส่งคนมาจับตัวกลับไปน่ะ… เพราะงั้นถ้ายังไงพวกคุณก็คุ้มกันพวกชาวบ้านไปที่อื่นกันก่อนเถอะจะได้ไม่โดนหางเลขไปด้วยน่ะ…”

 

นิลิมเอ่ยปากพูดตอบเรสเนอร์กลับไปพร้อมกับกำมือแน่น เพราะว่าที่เรื่องทุกอย่างมันลงเอยแบบนี้ส่วนหนึ่งมันก็เป็นเพราะตัวเธอเองนี่ล่ะที่รีบร้อนรายงานเอริกะกลับไปจนเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกนากาได้ยินเข้า ซึ่งท่าทางของนิลิมนั้นก็ได้ทำให้เรสเนอร์ได้ตัดสินใจที่จะเอ่ยปากถามกลับไปในทันที

 

“แล้วพวกคุณจะรออยู่ที่นี่กับรถคันนั้นจนกว่าทหารของเมืองรีมินัสจะตามมาถึงเลยงั้นหรอคะ?”

 

“อื้ม… ก็คงจะต้องเป็นแบบนั้นแหล่ะ… เพราะว่าตอนนี้โมโกะจังก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะขับไหวแล้ว ส่วนคนอื่นๆ เองก็ใช้วิซธาตุไฟกันไม่ได้ด้วย…”

 

“เข้าใจแล้วค่ะ… ถ้างั้นนิ๊กซ์ซี่กับอิกนิสรบกวนช่วยมาย้ายตัวคนเจ็บขึ้นไปบนรถกระบะกันหน่อยค่ะ!”

 

“ครับ!! / ค่ะ!!”

 

คำพูดสั่งของเรสเนอร์นั้นก็ได้ทำให้อิกนิสและนิ๊กซ์ซี่ที่กำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกันอยู่หยุดการสนทนาของพวกเขาลงไปในทันทีและรีบวิ่งไปช่วยขนย้ายคนเจ็บอย่างโมโกะและอลิซกันอย่างแข็งขันโดยปล่อยให้นากาที่ยังคงไม่ยอมปล่อยร่างของพรีมูล่าอุ้มร่างของน้องสาวของเขาไปขึ้นรถด้วยตัวเอง

 

และเมื่อเรสเนอร์เห็นว่าคนที่ควรจะโดยสารรถกระบะขึ้นไปนั่งและนอนอยู่ทางด้านหลังเป็นที่เรียบร้อยแล้วเธอก็ได้ร้องสั่งอิกนิสที่มีวิซธาตุไฟขึ้นมาในทันที

 

“ถ้างั้นเดี๋ยวอิกนิสคุงช่วยขับรถพาพวกเขากลับไปส่งที่รีมินัสให้ฉันหน่อยสิคะ”

 

“ที่รีมินัสเลยหรอครับ? นี่นั่นมันอยู่ห่างออกไปตั้งไกลเลยนะครับนั่นน่ะ”

 

“นี่นายคิดจะปฏิเสธคำขอของคุณเรสเนอร์หรือไงกันหะ!?

 

“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย! แต่เธอคิดว่ากว่าฉันจะขับรถไปถึงรีมินัสแล้วขับกลับมาที่นี่มันจะต้องใช้เวลาสักเท่าไหร่กันเล่า!? แล้วถ้าเกิดฉันไปถึงที่นั่นแล้วโดนรวบเพราะว่าเป็นคนขับรถที่ถูกขโมยมาจนทำให้ชื่อเสียงของคุณเรสเนอร์ต้องมัวหมองขึ้นมาเธอจะให้ฉันทำยังไงกันหะ!?”

 

อิกนิสที่อยู่ๆ ก็ถูกนิ๊กซ์ซี่ตวาดใส่นั้นได้ขึ้นเสียงเถียงเธอกลับไปในทันที แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นห่วงตัวเองในกรณีที่ตัวเขาอาจจะถูกจับเพราะขับรถที่ถูกขโมยกลับไปส่งเลยแม้แต่น้อยจนทำให้นิลิมได้แต่ต้องจ้องมองเขาด้วยความประหลาดใจ

 

“คุณนิลิมไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ เพราะยังไงพวกฉันเองก็คงจะปล่อยคนเจ็บแบบนี้ไปเฉยๆ ไม่ได้อยู่แล้ว แล้วในระหว่างการเดินทางถ้าเป็นไปได้คุณนิลิมก็ไปอยู่ข้างๆ พวกเด็กๆ เขาเอาไว้น่าจะดีกว่านะคะ เพื่อตัวของพวกเขาและตัวคุณเองด้วยน่ะค่ะ…”

 

“ขอบคุณมากนะเรสเนอร์…”

 

“ไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ พวกฉันก็แค่พยายามจะช่วยเท่าที่ช่วยได้เท่านั้นเอง ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันจะบอกให้อิกนิสคุงเขาออกรถเลย—-”

 

ฟวี๊—

 

ในขณะที่เรสเนอร์กำลังพูดตอบนิลิมกลับไปอยู่นั้นอยู่ๆ ก็ได้มีเสียงเสียดแหลมดังลั่นออกมาจากทางหมู่บ้านโมริโกะจนทำให้ทุกคนต้องรีบหันกลับไปมองดู และในทันทีที่เรสเนอร์ได้มองเห็นเสาแสงสีขาวที่กำลังพุ่งทะยานออกมาจากภายในผืนป่านั้นเธอก็ได้เบิ่งตากว้างและร้องสั่งอิกนิสออกมาเสียงดังในทันที

 

“น—นั่นมัน!? อิกนิสคุงรีบออกรถเดี๋ยวนี้เลยค่ะแล้วต่อให้จะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามวนรถกลับมานะคะ!! ส่วนนิ๊กซ์ซี่รีบบอกให้ทุกคนหาอะไรจับเอาไว้เร็วเข้า!!”

 

“รับทราบค่ะ!!”

 

“ระวังตัวด้วยนะครับคุณเรสเนอร์!!”

 

เอี๊ยดดดดดดดด!! บรื่นนนนนนนนนน—!!

 

อิกนิสที่ได้ยินคำพูดของเรสเนอร์นั้นไม่ลังเลที่เชื่อฟังคำสั่งของเธอและส่งวิซจำนวนมากเข้าไปในเครื่องยนต์เพื่อเร่งให้รถกระบะที่เขาเป็นคนขับพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว และหลังจากที่รถกระบะพุ่งตัวออกไปได้เพียงแค่ชั่วพริบตาเสาแสงสีขาวทรงเรียวยาวที่พุ่งออกมาจากหมู่บ้านโมริโกะขึ้นไปบนฟากฟ้านั้นก็ได้แผ่ขยายออกมาเป็นบริเวณกว้างพร้อมๆ กับที่มีแรงกระแทกพุ่งกระจายออกมาทุกทิศทุกทางจนทำให้เรสเนอร์และนิกซ์ซี่รวมถึงรถม้าของพวกเธอที่มีชาวบ้านของหมู่บ้านโมริโกะโดยสารอยู่ภายในปลิวกระเด็นกันไปตามถนนอย่างรุนแรง

 

—-ซู่มมมมมมมมม!!

 

“ว๊าย—!!”

 

“คุณเรสเนอร์คะ!!”

 

เสียงร้องของเรสเนอร์ที่ปลิวกระเด็นไปตามถนนได้ทำให้นิกซ์ซี่หลุดเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจก่อนที่เธอจะยื่นมือออกไปคว้าแขนของเรสเนอร์ที่กำลังปลิวกระเด็นไปตามถนนเอาไว้

 

และเมื่อคลื่นกระแทกที่พัดออกมาจากทางด้านในป่าอันเป็นสถานที่ตั้งของหมู่บ้านโมริโกะได้สงบลงไป ทุกคนก็ได้พบว่าเสาแสงที่แผ่ออกมาจากหมู่บ้านเมื่อสักครู่นี้ได้ขยายอาณาเขตออกมาจนถึงชายป่าที่พวกเธอหยุดพักกันอยู่เมื่อสักครู่นี้จนดูราวกับว่ามันเป็นกำแพงสีขาวขนาดใหญ่ที่สูงเสียดฟ้าจนทำให้นิ๊กซ์ซี่ได้แต่ต้องหันไปพูดถามเรสเนอร์ขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว

 

“ค—คุณเรสเนอร์คะ…”

 

“อ่า… ดูเหมือนว่าพวกเราจะเจอกับปัญหาใหม่เข้าให้ซะแล้วล่ะค่ะ…”