บทที่ 121 ด่ากราด
พอเสียงของเมิ่งเสี่ยวหวีดังทะลุผ่านบานประตูเข้ามา มู่เทียนซิงก็อึ้งตะลึงขึ้นทันที!
เธอมาได้ยังไง?
มู่เทียนซิงจ้องไปยังประตู ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูด จั๋วหรันก็ได้แง้มประตูออกเรียบร้อยแล้ว เผยให้เห็นใบหน้าของเขาแบบเต็มๆพอดี
ข้างนอกประตู เมิ่งเสี่ยวหวีคิดไม่ถึงว่าคนที่เปิดประตูจะเป็นจั๋วหรัน พอเห็นสีหน้าที่นิ่งขรึมเย็นชาของเขา เธอก็ตกใจจนก้าวเท้าถอยหลังไปหนึ่งก้าว!
เธอเรียกชื่อของป๋ายเมย ก่อนจะดึงป๋ายเมยเข้ามากำบังไว้อยู่ข้างหน้าตน พร้อมกับพูดขึ้น“คนนี้แหละ ที่ตัดผมของหนู!”
ป๋ายเมยมองไปอีกฝั่งด้วยความรู้สึกกดดันไม่น้อย ก่อนจะพูดขึ้น“ขอ ขอโทษค่ะเทียนซิงอยู่ไหม?”
“ขอโทษครับ คุณหนูมู่ไม่ต้องการพบแขก!”จั๋วหรันเลิกคิ้ว ก่อนจะพูดต่อ“คฤหาสน์จื่อเวย ไม่ใช่ว่าใครอยากจะมาก็มา ผมจำได้ตอนที่คุณเมิ่งอี้หลั่งมาที่นี่ เพื่อจะขอให้คุณชายหนีช่วย แต่กลับถูกปฏิเสธ ให้ยืนอยู่ข้างนอกตั้งหลายชั่วโมง แต่พวกคุณนี่สิ กลับเข้ามาข้างในโดยไม่ได้รับอนุญาต แถมยังเคาะประตูรบกวนความสงบอีก”
น้ำเสียงของจั๋วหรันไม่ช้าไม่เร็ว แอบตักเตือนเล็กน้อย ฟังแล้วเหมือนจะบอกเป็นนัยว่าพวกเธอต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำไว้
ป๋ายเมยในใจเริ่มกระวนกระวาย ก่อนจะพูดตอบกลับไป“คุณคะ พวกเรามีเรื่องด่วนจะมาขอให้เทียนซิงช่วยจริงๆ ฉันเป็นป้าของเธอ คุณช่วยไปเรียนให้เธอทราบหน่อย เธอจะต้องออกมาพบฉันแน่นอน”
ช่องประตูที่แง้มออก ทำให้ลมอุ่นๆลอยลอดเข้าไปข้างในบ้าน พัดพาเอากลิ่นหอมอ่อนๆของดอกยี่เข่งลอยล่องเข้ามาด้วย
หลังจากที่มู่เทียนซิงได้ยินเสียงของป๋ายเมยก็กะที่จะออกไป แต่กลับถูกฉวีซือกับหนีหย่าจูนรั้งเอาไว้
เธอกำลังจะเปิดปากพูด หนีหย่าจูนกลับส่ายหัวให้เธอด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างเบาๆ“รอฟังจุดประสงค์ที่พวกเธอมาก่อน ซือซ่าวไม่ชอบคนแปลกหน้า ถ้าขืนเธอพาพวกเขาเข้ามา คงจะไม่ดีแน่ใช่ไหมล่ะ?”
มู่เทียนซิงพยักหน้า เธอจำได้แค่ว่าตั้งเล็กจนโต ป๋ายเมยคอยดูแลเธอมาตลอด จนเกือบลืมไปเลยว่าหลิงเล่ไม่ชอบสุงสิงกับคนแปลกหน้า แล้วก็ไม่ให้พาคนนอกเข้ามาในคฤหาสน์จื่อเวยตามอำเภอใจแบบนี้ด้วย
จั๋วหรันเงี่ยหูขึ้นฟัง ได้ยินทุกคำพูดของหนีหย่าจูน ก่อนจะหันมาพูดกับป๋ายเมย“ถ้าคุณมีธุระอะไร ก็บอกตรงนี้ได้เลย แต่ถ้าจะมาขอพบกับคุณหนูมู่ จะต้องได้รับอนุญาตจากซือซ่าวเสียก่อน นับตั้งแต่ที่คุณหนูมู่ก้าวเท้าเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์จื่อเวย ก็ไม่มีสิทธิ์ในการพบแขกได้ตามอำเภอใจ”
คำพูดนั่นบอกเป็นนัยว่า มู่เทียนซิงจะทำอะไร ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าหลิงเล่เห็นชอบด้วยหรือเปล่า ดังนั้นจุดประสงค์ที่พวกเธอมาเพื่อขอให้มู่เทียนซิงช่วยในครั้งนี้ อาจจะไม่สำเร็จตามที่คิดไว้!
เมิ่งเสี่ยวหวีที่อยู่ข้างหลังของป๋ายเมย ก็เริ่มรู้สึกโมโหขึ้นมา“เทียนซิง!เธอทำเกินไปแล้วนะ!ฉันกับพี่ถูกโรงเรียนไล่ออกมาแล้ว!ตอนนี้ต้องเรียนระดับมหาลัย แถมไม่มีสิทธิ์ได้กลับไปสอบแบบเข้าอีกแล้วด้วย ตอนนี้พวกเราต้องทำยังไง?”
ป๋ายเมยในใจรับรู้ถึงความกระวนกระวายของลูกสาว จึงหันกลับไปมองเธอก่อนจะพูดขึ้น“ลูกใจเย็นๆก่อน ค่อยๆพูด”
จั๋วหรันสบถ หึ ออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ก่อนจะพูดขึ้นอย่างเยาะเย้ย“พวกคุณโดนไล่ออกมา ก็เพราะว่าพวกคุณเก่งนักนี่ เป็นหน้าเป็นตาให้พ่อให้แม่ด้วยนี่!แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณหนูมู่? หรือว่าคุณหนูมู่เป็นบรรพบุรุษของพวกคุณหรือไง กินดื่มนอนต้องจัดการแทนให้หมด? แล้วพวกคุณจะก้มหัวกราบเธอด้วยไหมล่ะ?”
“นี่นายกล้าดียังไงถึงพูดแบบนี้?”เมิ่งเสี่ยวหวีกัดฟันกรอด ตาจ้องเขม็งจั๋วหรัน ขณะที่ตัวก็แอบอยู่หลังป๋ายเมย
จั๋วหรันล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แล้วชักมีดด้ามเล็กสีเงินออกมาแกว่งๆตรงประตูพร้อมกับพูดขึ้น“ไม่อยากให้ผมพูด นั่นก็หมายความว่าจะให้ผมลงมือเลยสินะ?”
“อา~! แม่~!”
“อย่าอย่าอย่า!คุณ อย่านะ!”
เมิ่งเสี่ยวหวีกับป๋ายเมยต่างพากันตกใจ ก้าวเท้าถอยหลังไปไม่หยุด จั๋วหรันที่เห็นว่ามันควรจะพอได้แล้ว ใจจริงก็ไม่อยากจะมาเสียเวลากับคนพวกนี้แล้ว จึงหันหน้ากลับไปมองที่หนีหย่าจูน
หนีหย่าจูนเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของมู่เทียนซิง“ได้ยินแล้วยัง?”
มู่เทียนซิงพยักหน้า
สีหน้าของเธอนิ่งเงียบมาก ท่าทางที่เสียใจของเธอทำให้คนรู้สึกเห็นอกเห็นใจ
จั๋วหรันปิดประตูลง อย่างไม่สนคนที่อยู่ข้างนอก
แต่เมิ่งเสี่ยวหวีก็พุ่งเข้ามา เคาะประตูอยู่เรื่อยๆไม่หยุดไม่หย่อน น้ำเสียงเจี๊ยวจ๊าว คำพูดทุกคำ ประโยคทุกประโยคที่ออกมาจากปากล้วนแต่ทำให้คนเจ็บปวดหัวใจ
“มู่เทียนซิง!ฉันกับพี่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าแก!แกไปเลียแข้งเลียขาจนได้แต่งงานกับคนร่ำรวยมีชาติตระกูล แต่พวกเรานี่สิ กลับทนทุกข์ลำบาก แกกล้าดียังไง?”
“มู่เทียนซิง!อย่าเอาแต่มุดหัวอยู่ในกระดอง โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้!”
“แกรีบไปบอกให้ซือซ่าวจัดการเรื่องที่ให้ฉันกับพี่ได้กลับไปเรียนอีกครั้งเดี๋ยวนี้เลยนะ!แกหลอกล่อคนเก่งนี่ เป่าหูคนก็เก่งไม่ใช่หรือไง เพื่อจะได้แต่งงานกับซือซ่าว ก็เลยให้พี่ฉันติดกับดักที่ถูกเตรียมไว้ก่อนแล้วใช่ไหมล่ะ?”
“มู่เทียนซิง ผู้หญิงแบบแกจะต้องได้รับผลกรรม!จะเร็วจะช้าก็ต้องโดนกรรมสนอง!”
เมิ่งเสี่ยวหวีพูดพล่ามด่าทอไปเรื่อย ป๋ายเมยดึงเธอกลับมา ถ้าขืนปล่อยให้เธอบ้าคลั่งขึ้นมาใครก็รั้งไว้ไม่อยู่ ตั้งแต่เด็กจนโตก็เป็นแบบนี้ ถึงป๋ายเมยจะรู้ดีแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ พยายามดึงรั้งอยู่หลายครั้งแล้วไม่ไหว ก็ปล่อยตามเลย
ฉวีซือที่เงียบอยู่นานข้างในประตู ก็พูดขึ้น“ถ้าเกิดฉันมีลูกสาวแบบเธอล่ะก็ ฉันตีตายไปนานแล้ว!ไอ้เด็กไม่มีใครสั่งใครสอน ตีไปหนึ่งทีไม่พอหรอก ต้องสองที!สองทียังไม่พอ ต้องสามที!ถ้าสามทีแล้วยังไม่สำนึก ก็ไม่ต้องให้มันมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว เอาให้ตายไปเลย ถือซะว่าไม่ได้คลอดออกมา!”
จั๋วหรันได้ยินแบบนั้น แววตาก็เป็นประกาย เดินไปกระซิบข้างๆภรรยา“หรือพวกเราจะปั๊มน้องสาวมาให้ลูกชายอีกสักคนไหมล่ะ?”
ฉวีซือหน้าแดง วางแขนไปทาบหน้าอกของจั๋วหราน พร้อมกับพูดขึ้น“รอจั๋วซีแต่งงานก่อนค่อยว่ากันอีกทีสิ!”
ถ้าจั๋วซีมีเมียล่ะก็ ก็เท่ากับว่าคฤหาสน์จื่อเวยจะมีคนเพิ่มเข้ามาให้ต้องดูแลอีกหนึ่งคน ตอนนี้มู่เทียนซิงก็เข้ามาอยู่แล้ว หนีหย่าจูนก็เข้ามาอยู่เพิ่มอีก พวกเขาต่างก็เป็นเจ้านายที่เพิ่งมาอยู่ได้ไม่นาน ต้องมีคนคอยปรนนิบัติรับใช้ไม่ใช่หรือไง?
ดังนั้น ตอนนี้ฉวีซือพักครรภ์อยู่ด้วย ไม่ค่อยจะเหมาะเท่าไร
จั๋วหรันคิดๆดูแล้ว ก็เข้าใจความหมายของเธอ พยักหน้า“ก็จริง!”
แต่มู่เทียนซิงกลับกำหมัดแน่น พอได้ฟังคำพูดที่แสนเจ็บปวดรวดร้าวแบบนั้นแล้ว หัวก็เริ่มตื้อๆ
หนีหย่าจูนพอนึกถึงเจตนาเดิมของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างหลิงเล่ เธอก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ เดินเข้าไปพูดที่ข้างๆหูของมู่เทียนซิง“เธอก็เห็นแล้ว คนบางประเภท ไม่ใช่ว่าเธอไม่ถือสาเอาความหนำซ้ำยังไปช่วยเหลือพวกเขา แล้วพวกเขาจะสำนึกและรู้สึกขอบคุณ ต่างคนต่างอยู่ไม่สร้างความเดือดร้อน แต่ในทางกลับกัน ยิ่งเธอดีกับพวกเขามากเท่าไร พวกเขากลับยิ่งมองไม่เห็นความดีของเธอ มีแต่จะกดขี่เธอหนักขึ้นไปอีก กับคนประเภทนี้ ฉันว่าเธอน่าจะเข้าใจดีแล้วนะ บางทีก็ควรจะตัดสินใจได้แล้ว”
มู่เทียนซิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพยักหน้า
เธอค่อยๆเดินไปข้างประตู จั๋วหรันช่วยเปิดประตูให้
ขณะนี้พี่สาวน้องสาวที่เติบโตมาด้วยกัน ได้มาอยู่ตรงหน้าของกันและกันแล้ว มู่เทียนซิงรู้สึกว่า วันเวลาที่แสนมีความสุขเมื่อครั้งในอดีต มันผ่านไปไกลเกินกว่าจะคว้ากลับมาได้แล้ว
“เทียนซิง”เมิ่งเสี่ยวหวีมองเธอ ไม่นานน้ำตาก็ไหลออกมา“ฮือๆ~เทียนซิง ทำไมเธอเพิ่งออกมา พอเธอไม่อยู่ พวกเขาก็เลยกลั่นแกล้งฉัน!”
มู่เทียนซิงเงยหน้าขึ้นมามองดวงตาของเมิ่งเสี่ยวหวี
เมิ่งเสี่ยวหวีวันนี้ไม่ได้แต่งหน้า สวมกระโปรงสีขาว ตัดผมสั้นแล้ว ยืนอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ และฉากหลังที่เป็นต้นดอกยี่เข่ง ประกอบกับกลิ่นหอมของดอกไม้ ดูแล้วให้ความรู้สึกสดชื่น