บทที่ 120 เปลี่ยนท่าที

บทที่ 120 เปลี่ยนท่าที

“เจ้าเป็นคนที่เรียนรู้เร็ว ถ้าหากไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง ข้าก็คงไม่เชื่อแน่ว่าเพิ่งขี่ม้าวันนี้เป็นครั้งแรก” โจวซานบอกกับอู๋ฝาน

“บางทีผมอาจมีพรสวรรค์ในด้านนี้ก็ได้ครับ” อู๋ฝานยิ้มรับอย่างถ่อมตัว

อู๋ฝานทราบดีว่ามันเกี่ยวข้องกับค่าสถานะของตนเอง เพียงแต่มันเป็นเรื่องที่ไม่อาจบอกให้โจวซานทราบได้

“ในเมื่อเจ้ามีพรสวรรค์ที่ดี ก็ไม่ควรปลอยให้เสียเปล่า เจ้าสมควรได้เป็นผู้ควบม้าข้ามผ่านสนามรบ” โจวซานหยิบยกหัวข้อเดิมขึ้นมา เห็นได้ว่าเขายังพยายามคิดเกลี้ยกล่อมอู๋ฝาน ให้เข้าร่วมกองทัพประจำการ

“หัวหน้าใหญ่ ผมยังไม่เห็นด้วยครับ ดังนั้นขอครุ่นคิดก่อน ภายหน้าผมจะบอกให้ทราบครับ” อู๋ฝานตอบรับ

“ก็ได้” โจวซานไม่อาจพูดอะไรต่อได้อีก

ภายหลังฝึกฝนชั่วระยะหนึ่ง เมื่อฟ้าเริ่มหม่นแสงลง คนทั้งสองจึงกลับไป อู๋ฝานเร่งรีบเข้าเต็นท์ของตนเองโดยทันที ภายหลังรอคอยเกือบสิบนาที เขาจึงเทเลพอร์ตกลับไปยังโลกความเป็นจริง

ในช่วงเช้า ขณะไปสนามกีฬามหาวิทยาลัยเจียงโจว อู๋ฝานมีแผนคิดวิ่งกับหลิ่วเหยียนเอ๋อร์อีกครั้ง

เพียงแต่วันนี้หลิ่วเหยียนเอ๋อร์คล้ายจะเย็นชายิ่งกว่าที่เคยเป็น เธอไม่ตอบรับคำทักทายที่อู๋ฝานเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน ตั้งแต่เริ่มต้นพบเจอ จนถึงจบการออกกำลังกาย ก็ไม่มีการสื่อสารใดกับอู๋ฝานทั้งสิ้น

“เธอเป็นอะไรไปกัน? หรือแถวนี้มีญาติแอบมอง?” อู๋ฝานพยายามคาดเดาข้อสงสัยอยู่ในใจ

หากหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ทราบว่าอู๋ฝานกำลังคิดอะไรอยู่ คงไม่แปลกใจนักที่เธอจะทุบตีเขาจนตาย

ภายหลังออกกำลังกายเสร็จสิ้น วันนี้อู๋ฝานไม่ได้จากไปไหน แต่มุ่งตรงไปยังออฟฟิศ เพราะวันนี้มีคาบเรียนต้องเข้าสอน

และก็ไม่ใช่เรื่องชวนประหลาดใจ ที่อู๋ฝานจะมาถึงออฟฟิศเป็นคนแรก ถัดจากนั้นอาจารย์คนอื่นจึงเริ่มมาถึงกันคนแล้วคนเล่า

“อาจารย์อู๋มาแล้ว?” อาจารย์ซุนเยวี่ยเอ่ยถาม

“ครับ วันนี้มีคาบเข้าสอน” อู๋ฝานตอบกลับ

“อิจฉาคุณเสียจริง มาแค่ตอนมีคาบเข้าสอน ไม่มีก็ไม่ต้องมา” อาจารย์ซุนเยวี่ยเกิดอิจฉาขึ้นมา

“แหะ ๆ” อู๋ฝานเพียงยิ้มรับ ไม่ได้ตอบคำใด

ตอนที่หลี่ปิงมาถึง เขาไม่ได้คิดทักทายอะไรอู๋ฝาน ภายหลังแค่นเสียงใส่ครั้งหนึ่ง เขาจึงทำเหมือนอู๋ฝานเป็นอากาศธาตุ

หลี่เทียนและหวังฝูจึงดูตรงกันข้าม พวกเขาค่อนข้างเขินอายยามพบเห็นอู๋ฝาน

ทางหนึ่ง คนทั้งสองเป็นสุนัขเลียขาหลี่ปิงมาโดยตลอด ก่อนหน้านี้ยังเหยียดหยามอู๋ฝานยังไม่คิดปิดบัง อีกทางหนึ่ง คนทั้งสองได้ตระหนักแล้ว ว่าอู๋ฝานอาจไม่ได้ต่ำต้อยเช่นที่พวกเขาเคยคิด หลี่ปิงที่ไปด้วยตนเองก็แล้วแต่ก็ยังไม่อาจไล่อู๋ฝานออกไปได้ กระทั่งถึงขนาดที่ว่าอู๋ฝานได้รับรางวัลจากทางมหาวิทยาลัยเสียด้วยซ้ำ

เห็นได้ชัดว่าในสายตาของหลี่ปิงและหวังฝู อู๋ฝานกลายเป็นบุคคลที่มีสถานะตัวตนขึ้นมาอย่างมหาศาล หากไม่แล้ว จะไม่มีทางที่มหาวิทยาลัยตอบรับเช่นที่ทราบมา ทั้งยังมีอภิสิทธิ์เช่นมาทำงานเพียงช่วงที่มีคาบสอน หากว่าไม่มีก็ไม่ต้องมา มันเป็นอะไรที่หลี่ปิงหรือว่าเกิ่งหย่าเฟยก็ไม่อาจทำได้

เบื้องหลังของอู๋ฝาน มันอาจแข็งแกร่งเกินกว่าคนทั้งสอง!

เพียงแค่อู๋ฝานวางตัวเงียบ ไม่ได้โอ้อวดถือดีเหมือนดังหลี่ปิง

หลี่เทียนและหวังฝูในเวลานี้ปรารถนาจะเข้าไปกอดต้นขาอู๋ฝานเสียด้วยซ้ำ อย่างน้อยพวกเขาก็อยากคลี่คลายความสัมพันธ์กับอู๋ฝาน เพื่อที่อู๋ฝานจะได้ไม่คิดทำอะไรเลวร้ายกับพวกเขา เพราะเรื่องราวที่เคยมีก่อนหน้า

เพียงแต่คนทั้งสองได้ชูธงรบประกาศชัดว่าเป็นลิ่วล้อของหลี่ปิงไปอย่างชัดเจนแล้ว ขณะนี้คิดเปลี่ยนข้างอย่างกะทันหันออกจะเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะกับการที่หลี่ปิงยังคงอยู่

ดังนั้นแล้ว ตอนที่คนทั้งสองมองยังอู๋ฝาน พวกเขาจึงเกิดความกระดากใจ ทางหนึ่งคิดอยากเข้าใกล้ แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกจนเกินไป

อู๋ฝานย่อมได้ตระหนักถึงท่าทีคนทั้งสอง เพียงแต่ไม่คิดใส่ใจ เพราะเขาไม่มีความรู้สึกใดให้ทั้งสิ้น เรียกได้ว่าไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยว

“คิดไว้ไม่ผิด พ่อดาราใหญ่มาแล้ว” ทันทีที่เกิ่งอย่าเฟยเข้ามาในออฟฟิศ เธอที่พบเห็นอู๋ฝานจึงเอ่ยคำหยอกล้อโดยไม่รีรอ

“ดาราใหญ่อะไรกันครับ?” อู๋ฝานยิ้มตอบรับ

“ตัวนายในมหาวิทยาลัยของเราตอนนี้ เทียบเท่าดาราใหญ่แล้ว เรียกได้ว่ามีทั้งชื่อเสียงและความนิยมในหมู่อาจารย์เลยทีเดียว มีรายงานเรื่องนายมากมายบนกระดานสนทนาของมหาวิทยาลัยด้วยนะ” เกิ่งหย่าเฟยหัวเราะ “ได้ยินมาว่า สามดอกไม้งามแห่งมหาวิทยาลัยของเรา ประชันกันเพราะหึงหวงนาย ตอนนี้รู้สึกเป็นยังไงบ้าง ไม่รู้สึกถึงความสำเร็จเลยงั้นเหรอ?”

“ใครบอกแบบนั้นกันครับ?” อู๋ฝานเร่งร้อนตอบกลับ “ไม่มีอะไรแบบนั้นเลยสักนิด”

“เต็มกระดานสนทนาเลยด้วยซ้ำ” เกิ่งหย่าเฟยยิ้มตอบ “ที่กระดานสนทนาในเน็ตน่ะนะ บรรยายเป็นฉากว่านายกับพวกเธอทั้งสี่คนเป็นมายังไง ประหนึ่งดวงจิตและวิญญาณคล้องเกี่ยว จำนวนคนที่เข้าไปดูไม่ใช่เล่นเลยทีเดียว”

“เหอะ อาจารย์กลับทำตัวไม่เหมือนอาจารย์ ไม่รู้จักวางตัวกับศิษย์ให้ดีอย่างที่ควร ชักสงสัยว่าทำไมทางมหาวิทยาลัยยังไม่ไล่ออกไปอีก” หลี่ปิงพูดแทรกขึ้นมา

“ข่าวลือทั้งนั้นเลยครับ พวกนักเรียนแต่งเติมกันเองทั้งนั้น” อู๋ฝานตอบกลับ ส่วนคำของหลี่ปิง อู๋ฝานเลือกที่จะไม่เก็บมาใส่ใจ

“ก็แสดงให้เห็นว่านายได้รับความนิยมนะ” เกิ่งหย่าเฟยตอบกลับ “นอกจากนี้ พวกเธอทั้งสามก็ไปร้านแผงลอยของนายจริง หากไม่ใช่นาย ก็เหมือนว่าจะไม่มีใครรวมตัวคนทั้งสามไปพร้อมหน้ากันได้ โดยเฉพาะหลิ่วเหยียนเอ๋อร์กับถังอวี่เฟย แม้ทั้งสองคนนี้อยู่ชั้นเรียนเดียวกัน แต่ก็ถือเป็นสองสุดยอด น้อยครั้งที่จะมีภาพอยู่ในฉากเดียวกันให้เห็น”

อย่างไรแล้วเกิ่งหย่าเฟยก็สอนที่นี่มานาน ดังนั้นจึงทราบเรื่องราวภายในรั้วมหาวิทยาลัยเป็นอย่างดี

หลิ่วเหยียนเอ๋อร์และถังอวี่เฟย เรียกได้ว่าไม่อาจทราบเจตนาของพวกเธอ เพราะตามปกติก็มีโอกาสจะอยู่พร้อมหน้ากันได้ยากอยู่แล้ว แต่เพราะอู๋ฝาน เรื่องราวน่าทึ่งกลับบังเกิดขึ้นได้

อู๋ฝานเองก็คิด ว่าหลิ่วเหยียนเอ๋อร์และถังอวี่เฟยมีนิสัยแตกต่างกันจนเกินไป หนึ่งเย็น และหนึ่งร้อน ราวกับว่ามันจะมีความเข้ากันไม่ได้อยู่มากจนเกินไป

นึกถึงคาบเรียนว่ายน้ำที่ใกล้เข้ามา การต้องเผชิญหน้ากับถังอวี่เฟยอีกครั้ง อู๋ฝานก็เกิดรู้สึกปวดหัวขึ้นมา

เพียงแต่ มันไม่อาจหลบซ่อน ต่อให้อู๋ฝานไม่ต้องการเผชิญหน้ากับถังอวี่เฟย เขาก็ยังต้องเข้าสอน ใครใช้ให้เขาทำสัญญากับทางมหาวิทยาลัยแล้วกัน

“ว้าว อาจารย์อู๋มาแล้ว!”

“อาจารย์อู๋ พวกเราคิดถึงมากเลยค่ะ”

“อาจารย์อู๋ ขอพวกเราถ่ายรูปด้วยนะคะ”

ทันทีที่อู๋ฝานเดินเข้ามาในสระว่ายน้ำ เขาจึงได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากบรรดาศิษย์ทั้งหลาย เรียกได้ว่าเป็นการตอบรับที่แตกต่างไปจากครั้งแรกที่มาเยือนสระว่ายน้ำอย่างพลิกกลับด้าน เพราะครั้งแรกนั้น พวกเธอยังระวังตัว ทว่าตอนนี้ ราวกับพวกเธอไม่อาจรอที่จะเข้าหาเสียด้วยซ้ำ

แม้ว่าเคยได้พบกันครั้งหนึ่งแล้ว เพียงแต่ อู๋ฝานที่ได้เห็นและพบเจอพวกเธอในสภาพชุดว่ายน้ำอีกครั้ง มันก็ยังทำให้เขาต้องรู้สึกเขินอาย และไม่ทราบว่าควรเอาตาไปวางไว้ที่ใด

นักศึกษาเหล่านี้ ไม่ทราบเลยว่าเจตนาหรือไม่ แต่พวกเธอเปลี่ยนชุดว่ายน้ำกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากเทียบเปรียบกับครั้งก่อน อู๋ฝานรู้สึกว่าได้เห็นชุดว่ายน้ำแบบอนุรักษ์นิยมมีจำนวนลดน้อยลง พวกเธอแต่ละคนยังเยาว์วัย ส่วนอันงดงามนั้นจึงเด้งไปมาตรงหน้าสายตาให้พบเห็น

ถังอวี่เฟยอยู่ในคนกลุ่มนี้เช่นกัน แต่แทนที่จะเข้ามาหยอกล้อ เธอกลับนั่งเฉยและยิ้มให้อู๋ฝาน ราวกับชื่นชอบที่ได้เห็นอู๋ฝานแสดงท่าทีเขินอายตอบรับ

“แค่กแค่ก” อู๋ฝานแสร้งกระแอมไอสองครั้ง รอคอยจังหวะแล้วจึงพูดขึ้นมา แต่ตอนที่พบเห็นกลุ่มเด็กสาวมองมาอย่างตั้งอกตั้งใจ เขากลับต้องก้าวเท้าถอยไปเล็กน้อย “ขอผมไปเปลี่ยนชุดก่อนนะครับ” ถัดจากนั้นเขาจึงเร่งร้อนพุ่งตัวเข้าห้องเปลี่ยนชุด โดยมีเสียงหัวเราะของบรรดาเด็กสาวไล่ตามหลัง