กู้เจียวนอนหลับอย่างเต็มอิ่ม
อาจเป็นเพราะยาห้ามเลือดและยาสมุนไพรที่เซียวลิ่วหลังเอามาให้ กู้เจียวรู้สึกไม่เจ็บแผลแล้ว
แต่ว่า กลับมีรอยเลือดบนหมอนของนาง
“เอ๊ะ เลือดใครน่ะ”
เซียวลิ่วหลังตื่นแล้ว และกำลังง่วนกับการสุมไฟในห้องครัว
หลังจากกู้เจียวอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ นางก็เดินไปที่ห้องครัว
ท้องฟ้าช่วงนี้สว่างเร็วกว่าช่วงหน้าหนาว ห้องครัวไม่มืดเหมือนแต่ก่อน ทำให้กู้เจียวเห็นใบหน้าเซียวลิ่วหลังที่อยู่ในห้องครัวได้ชัดขึ้น
กู้เจียวหยุดยืนดูอยู่ซักพัก ขยิบตา แล้วเอ่ยถาม “เจ้านอนไม่หลับรึ”
เซียวลิ่วหลังหันมาพร้อมกับใต้ตาดำคล้ำทั้งสองข้าง เอ่ยหน้านิ่ง “อ่านหนังสือดึกไปหน่อยน่ะ”
“อ่อ” กู้เจียวที่เข้านอนเร็วกว่า จึงไม่อาจรู้ว่าเซียวลิ่วหลังเข้านอนตอนกี่ยาม
กู้เจียวนึกอะไรขึ้นได้ จึงเอ่ยถาม “ว่าแต่ เจ้าเจ็บตรงไหนรึ ข้าเห็นรอยเลือดบนหมอน”
เซียวลิ่วหลังทำหน้าเคร่งขรึม พลางตอบ “นั่นไม่ใช่เลือดของข้า”
กู้เจียวทำหน้าสงสัย “เลือดข้างั้นรึ แต่แผลของข้าสมานดีตั้งนานแล้วนะ”
เซียวลิ่วหลังจ้องนางอยู่สักพัก ก็เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบอีกครั้ง “เจ้าเป็นร้อนใน เลือดกำเดาออก ข้าเห็นหมด”
กู้เจียวทำหน้าไม่เข้าใจ “ข้าดื่มชาก้านพลูคาวทุกวัน จะร้อนในได้อย่างไร”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยตอบหน้านิ่ง “ใครจะไปรู้เล่า”
ท่าทีของเซียวลิ่วหลังดูหนักแน่นมากเสียจนไม่มีใครกล้าสงสัยในตัวเขา กู้เจียวได้แต่เอ่ยอืม จากนั้นเดินเข้าไปในห้องโถงพลางบีบจมูกตนเอง แล้วคว้าถ้วยชาก้านพลูคาวขึ้นมากระดกดื่ม
ดื่มเยอะขนาดนี้ คงจะไม่ร้อนในอีกแล้วนะ!
เซียวลิ่วหลังหลับตาลงอย่างรู้สึกผิด เหงื่อเริ่มหยด
ช่วงเวลามื้อเช้า เซียวลิ่วหลังนึกอะไรขึ้นได้ จึงเอ่ยขึ้น “เมื่อวานข้าลืมบอกไป ข้าเจอโรงเรียนปฐมวัยในเมืองมา เผื่อว่าวันนี้จะพาเขาไปเข้าเรียนได้”
เสี่ยวจิ้งคงที่เพิ่งรู้ตัวว่ากำลังจะถูกส่งไปเรียนหนังสือ “…?!”
“กะทันหันขนาดนี้เชียว” กู้เจียวเอ่ยขณะที่กำลังเติมข้าวต้มมันเทศลงในชามของหญิงชราและจิ้งคง
เสี่ยวจิ้งคงซดข้ามต้มไปพลางจ้องเขม็งไปที่พี่เขยตัวแสบ
…เขาสัมผัสได้ถึงแผนการอันชั่วร้ายของพี่เขยตัวแสบ!
“เมื่อวานข้าลืมบอกน่ะ” ก็เมื่อวานพอกลับถึงเรือนก็ยุ่งวุ่นวายไปหมด เลยลืมเสียสนิทเลย
เซียวลิ่วหลังเอ่ยต่อ “พวกเรือนคนใหญ่คนโต พอลูกของพวกเขาอายุครบห้าขวบก็เชิญอาจารย์เข้ามาสอนหนังสือในเรือน จนอายุหกขวบ พอรู้ตัวอักษรได้ครบพันคำแล้วก็จะส่งเข้าโรงเรียนชาติพันธุ์ไม่ก็โรงเรียนเอกชน ถึงแม้ข้าว่าจิ้งคงจะยังเด็กไปหน่อย แต่เขาเป็นเด็กฉลาด แถมยังเคยเรียนหนังสือในวัดด้วย คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
พี่เขยตัวแสบชมเขาว่าเป็นเด็กฉลาดอีกแล้ว เสี่ยวจิ้งคงก็ยิ่งระวังตัวมากขึ้น
เขาต้องมีแผนการอะไรซ่อนอยู่แน่เลย!
“โรงเรียนปฐมวัยที่ว่า อยู่ที่ไหนรึ” กู้เจียวถาม
เซียวลิ่วหลังเอ่ยตอบ “อยู่ใกล้ๆ กับสำนักบัณฑิต เป็นโรงเรียนเอกชนที่เปิดมานานกว่าสิบปีแล้ว ในนั้นมีชั้นเรียนสอนเด็กปฐมวัย เวลาเข้าเลิกเรียนก็ใกล้เคียงกับข้า ให้เขาเดินทางไปเรียนกับข้ายังได้เลย”
นี่ไงล่ะ นี่ไงล่ะ พี่เขยตัวแสบวางแผนไม่ให้เขาอยู่ใกล้ๆ กับเจียวเจียวสินะ!
ชาติที่แล้วของกู้เจียวก็เคยเรียนโรงเรียนอนุบาลมาก่อนเช่นกัน พอลิ่วหลังเสนอความคิดนี้ขึ้น นางจึงเห็นด้วยที่จะให้เสี่ยวจิ้งคงได้เข้าเรียน
ระหว่างที่กู้เจียวไม่อยู่ที่เรือน เสี่ยวจิ้งคงมักจะทำตัวซนตะโกนโหวกเหวกโวยวายทั้งวัน จนรบกวนหญิงชรา ซึ่งหญิงชราเองก็เห็นด้วยที่ว่าจะส่งเขาเข้าเรียนหนังสือ
กู้เจียวหันไปทางเสี่ยวจิ้งคง พลางถาม “จิ้งคงอยากเรียนหนังสือไหม”
ไม่อยาก!
จิ้งคงกำลังจะพูดออกไป แต่ต้องชะงักลงก่อน พลางครุ่นคิด หากตัวเองไม่ไปเข้าเรียน เขาก็จะกลายเป็นเด็กไม่เอาไหนสินะ
พี่เขยตัวแสบขุดหลุมให้เขาเก่งจริงๆ !
แต่เขาจะไม่ยอมตกหลุมพรางง่ายๆ หรอก!
เสี่ยวจิ้งคงจึงทำท่าออดอ้อน พลางเอ่ย “ถ้าข้าไปเรียนหนังสือ เจียวเจียวก็จะไม่ได้เจอหน้าข้าทั้งวันแล้วสิ!”
กู้เจียวลูบหัวเขา พลางเอ่ย “ไม่เป็นไรหรอก ตอนเช้าข้าไปส่งเจ้า ตอนเย็นก็รอรับเจ้ากลับเรือนที่หน้าหมู่บ้าน และถ้าวันไหนข้าว่าง ข้าจะไปรับเจ้าที่โรงเรียนนะ”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ ถ้าจิ้งคงเกิดปฏิเสธขึ้นมาล่ะก็คงจะกลายเป็นเด็กไม่เอาไหนจริงๆ
เสี่ยวจิ้งคงรีบกระดกโจ๊กมันเทศจนหมดเกลี้ยง ทำหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน พลางเอ่ย “ก็ได้ ในเมื่อเจียวเจียวอยากให้ข้าเรียนหนังสือ ข้าก็จะไป!”
ยังไงก็ต้องไปเข้าเรียนอยู่แล้ว แต่ในเมื่อเข้าเรียนแล้วไม่ได้เจอกับกู้เจียวเลย เสี่ยวจิ้งคงจึงขอจุ๊บเล็กๆ สองทีจากกู้เจียว
ค่าเรียนของโรงเรียนปฐมวัยราคาไม่น้อย เดือนหนึ่งต้องจ่ายสองตำลึง มีอาหารกลางวันให้ หากยกเลิกกลางคันก็ไม่คืนเงินให้ด้วย
กู้เจียวเอาเงินสองตำลึงใส่ในกระเป๋าเสื้อของจิ้งคง เพราะจิ้งคงยืนยันว่าเขาจะเป็นคนจ่ายค่าเรียนเอง ไม่อยากให้พี่เขยตัวแสบเข้ามายุ่งวุ่นวาย
คนตัวเล็กและคนตัวใหญ่ขึ้นรถเกวียนไปเรียนหนังสือ
ส่วนกู้เจียวกำลังขบคิดว่าจะซ่อมเพดานห้องที่รั่วอย่างไรดี
นางขึ้นไปดูบนเรือน จึงเห็นว่ากระเบื้องที่หักแตกนั้นมีไม่น้อยเลย พอเจอฝนก็เลยเป็นแบบนี้
กู้เจียวจึงตัดสินใจทำเพดานใหม่ทั้งหมด จากนั้นให้สร้างบ้านหลังเล็กสองหลังที่สวนหลังบ้าน เพื่อที่กู้เสี่ยวซุ่นจะไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีที่อยู่อาศัยเมื่อเขากลับมาที่หมู่บ้าน
เดิมทีกู้เจียวพอมีเงินเหลืออยู่บ้าง แต่พอมีเรื่องเข้ามาเยอะๆ เงินเริ่มไม่พอใช้ นางจึงเข้าเมืองไปที่เฉียนจวงโจวจี้ ถอนเงินออกมายี่สิบตำลึง พลางถามถึงเงินที่เหลือในบัญชี
จึงได้คำตอบจากนายธนาคาร “หนึ่งพันหนึ่งร้อยตำลึง”
กู้เจียวทำหน้าตะลึง
“ไม่ได้มีการเข้าใจผิดอะไรใช่ไหม ไม่ใช่หนึ่งร้อยสิบตำลึง แต่เป็นหนึ่งพันพนึ่งร้อยตำลึงงั้นรึ”
นายธนาคารหัวเราะ “เฉียนจวงโจวจี้ของพวกเราเชื่อถือได้ขอรับ ไม่มีทางที่จะฮุบเงินของแม่หญิงแน่นอน!”
ตอนที่เซียวหลิ่วหลางมอบหยกคู่ให้ กู้เจียวไม่ได้คิดเลยว่ามันจะมีมูลค่ามากมายขนาดนี้
เดิมควรจะได้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่กู้เจียวดันเอาเงินหนึ่งร้อยตำลึงไปซื้อพู่กัน แต่นั่นเป็นผลงานของศิลปินเอกแห่งแคว้นที่หาจากที่ไหนไม่ได้แล้ว แถมกู้เจียวยังดูแคลนสุนทรียภาพของเซียวลิ่วหลังอยู่นานสองนานอีกเสียด้วย
ส่วนอีกยี่สิบตำลึงที่เหลือ คือค่าเดินทางที่กู้เจียวยัดลงในกระเป๋าให้เซียวลิ่วหลัง แต่เซียวลิ่วหลังใช้ไม่หมด เขาเลยเอามาฝากไว้ที่ธนาคาร
กู้เจียวเริ่มรู้สึกสงสัย “นี่เขาได้ไปสอบจริงๆ รึ”
คงไม่ได้ไปทำงานคัดลอกหนังสือที่นั่นหรอกนะ
จากนั้นกู้เจียวก็นึกถึงเรื่องโกงสอบที่เจ้าสำนักหลีเคยพูดถึงไว้ เจ้าสำนักหลียังบอกอีกว่า ไม่รู้เหตุใดเซียวลิ่วหลังถึงไม่ยอมไปสอบซ่อม กู้เจียวนึกในใจ นางว่านางรู้แล้วว่าทำไม
……
พอได้เงินมา ก็รีบกลับไปที่หมู่บ้านเพื่อซ่อมแซมบ้าน กู้เจียวเชิญช่างฝีมือในหมู่บ้านสองสามคนมาบอกความต้องการ เพื่อที่พวกเขาจะต้องซ่อมแซมให้เสร็จภายในเวลาอันสั้นที่สุด
ตราบใดที่ให้เงินพวกเขามากขึ้น ก็ไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะเป็นทุกข์เวลาทำงาน ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่คือบ้านของเซียวซิ่วไฉ พวกเขายังหวังว่าในอนาคตเมื่อเซียวลิ่วหลังได้ดิบได้ดี พวกเขาจะได้หน้าจากการที่มาซ่อมบ้านให้เขา
กู้เจียวที่กำลังซ่อมเพดานเรือนอย่างขะมักเขม่นอยู่นั้น อีกด้านหนึ่ง กู้จิ่นอวี้กำลังป่วยหนัก
คืนที่นางกลับมาจากหมู่บ้านชิงเฉวียน ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางแค่คิดว่านางคงเหนื่อยเกิน จึงไม่ได้ใส่ใจ แต่พอตกกลางคืน นางกลับมีไข้สูง
แม่นมสันนิฐานว่าคงไปกินอะไรไม่สะอาดเข้า เลยเป็นเช่นนี้
หมอหลวงเลยจ่ายยาให้ แต่อาการกลับไม่ดีขึ้นเลย
ท่านโหวกู้เริ่มใจร้อน “รู้เช่นนี้ข้าไม่ปล่อยให้นางไปที่สุสานหรอก!”
“แค่ก แค่ก…” กู้จิ่นอวี้เอาผ้าขึ้นมาปิดปากตัวเองแล้วไอ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ข้าไม่เป็นไร แล้วน้องชายเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
ช่วงนี้กู้เหยี่ยนเองก็ร่างกายไม่ค่อยสู้ดีนัก เพราะเขาเป็นเด็กร่างกายอ่อนแอมาโดยกำเนิด กระตือรือร้นอยู่ได้ไม่นานก็ต้องพักรักษาตัวต่อ
แม่นางเหยาต้องคอยเฝ้าอยู่ใกล้ๆ ไม่ห่าง เพื่อป้องกันไม่ให้เขาวิ่งเล่นมั่วซั่ว
“เขาไม่เป็นไรหรอก” พอเอ่ยถึงกู้เหยี่ยน ท่านโหวกู้เองก็ทำท่าโล่งใจไม่น้อย กู้เหยี่ยนอาการดีขึ้นเทียบกับเมื่อก่อน ถ้าแต่ก่อนให้เขามาทำตัวโลดโผนแบบตอนนี้ ป่านนี้คงไปสบายแล้ว แต่บัดนี้ แค่ให้เขาพักผ่อนนอนบนเตียงไม่กี่วันเดี๋ยวก็ฟื้นขึ้นมาเป็นปกติได้แล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งเขาและแม่นางเหยาต่างก็ลงความเห็นว่าควรให้เขาได้พักผ่อนแต่ในห้องจะดีทีสุด
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”กู้ จิ้นอวี้เอ่ยเสียงแหบ
ท่านโหวกู้รู้สึกปวดใจ “ไอ้หยา เจ้าป่วยหนักขนาดนี้ ยังมาเป็นห่วงน้องชายเจ้าอีก”
กู้จิ่นอวี้ยิ้มให้ “ก็เขาเป็นน้องชายคนเดียวของข้านี่เจ้าคะ”
หน้ากู้เจียวลอยเข้ามาในหัวท่านโหวกู้ พลางกัดฟันกรอด “ถ้าเด็กนั่นได้ดีสักครึ่งนึงของเจ้าก็ดีสิ เรื่องวันนั้น ข้าได้ยินจากหวงจงแล้ว นางทำเจ้าขายหน้าใช่หรือไม่ เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็นความผิดของนางที่ให้เจ้าไม่สบาย!”
“ท่านพ่ออย่าพูดถึงท่านพี่แบบนั้นเลย นางโตมาในแวดล้อมชนบท ซ้ำคนพวกนั้นทำตัวไม่ดีต่อนาง ที่ผ่านมานางต้องทุกข์ทรมานมากขนาดไหน นางเลยไม่รู้วิธีเริ่มต้นปฏิสัมพันธ์กับคน ถ้าข้าเจอแบบนาง ข้าเองก็ไม่แน่ใจเลยว่าจะทำได้ดีกว่านางแค่ไหนกันเชียว”
ท่านโหวกู้เอ็ดนาง “เจ้าจะใจดีเกินไปแล้วนะ!”
“ที่ข้าไม่สบายไม่ใช่เพราะนางหรอก ข้าเองต่างหาก” กู้จิ้นอวี้ส่ายหัวพลางตอบ
สักพัก นางก็เล่าเรื่องที่ทำกระดาษคำถามหายเล่าให้ท่านโหวกู้ฟัง
“นางคาดหวังในตัวข้าสูง แต่ข้ากลับทำกระดาษนั่นหายไป ข้าเลยเครียดจนล้มป่วย”
ท่านโหวกู้ตบๆ ที่ไหล่ลูกสาว พลางเอ่ย “เด็กโง่เอ๋ย ไม่เห็นต้องรีบร้อนขนาดนั้นเลย ต่อให้เจ้าทำไม่ไหว ท่านน้าของเจ้าก็ไม่ถือโทษโกรธเคืองอะไรเจ้าหรอก”
“จริงรึเจ้าคะ” กู้จิ่นอวี้ทำท่าไม่เชื่อ
ท่านโหวกู้ยิ้มให้นาง พลางเอ่ย “ดูสิ ท่านน้าเจ้าเขียนจดหมายมาอีกแล้ว ทายสิว่านางเขียนอะไรบ้าง”
“ให้ท่านพ่อรีบกลับเมืองหลวงงั้นรึเจ้าคะ” กู้จิ่นอวี้เอ่ยตอบ
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว ทายมาอีกสิ”
“ข้าเดาต่อไม่ถูกแล้วท่านพ่อ”
ท่านโหวกู้มองบุตรสาวด้วยสายตาเอ็นดู “ท่านน้าเจ้าเตรียมของขวัญไว้ให้ กะว่าจะรอเจ้ากลับมาเมืองหลวงก่อนค่อยให้ แต่คิดว่ามาแจ้งไว้ก่อน ก็คงไม่เสียหายอะไร อีกทั้งท่านน้าเจ้ายังขอให้ฝ่าบาทพระราชทานพระกรุณาธิคุณแต่งตั้งเจ้าให้เป็นเสียนจู่ ในวันที่เจ้าอายุครบสิบห้าปีด้วย”