ความคิดของโอวหยางหลัว

แม้จะตื่นตระหนกกับศรพลังมีสภาพของต้วนหลิงเทียน แต่สุดท้ายอี้เทียนสิงก็อดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะตัวมันสามารถเบี่ยงหลบดอกศรได้ทันท่วงที แม้ดอกศรจะทะลวงหัวไหล่ไปก็ตาม…

ทว่าวินาทีต่อมันสีหน้ามันก็แปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง

และใบหน้าอันเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกนี้ ถูกกำหนดไว้ให้เป็นสีหน้าสุดท้ายในชีวิตของมัน!

ปงงงง!!

ทันใดนั้นรอยแผลที่ถูกศรพลังมีสภาพของต้วนหลิงเทียนยิงทะลุ ก็บังเกิดการระเบิดครั้งใหญ่! เปลี่ยนร่างท่อนบนของมันให้กลับกลายเป็นหมอกโลหิตในชั่วพริบตา!!

ไม่เพียงเท่านั้น ร่างกายส่วนล่างของมันก็ถูกกัดกร่อนจนสลายหายไปไม่มีเหลือ

เรียกว่าในเวลาแค่ชั่วพริบตา ร่างทั้งร่างของอี้เทียนสิงก็ถูกหมอกสีดำกลืนกิน จนหายไปจากโลกหล้าอย่างสมบูรณ์ ราวกับมันไม่เคยดำรงอยู่มาก่อน

โอวหยางหลัวที่ซ่อนตัวหลังต้วนหลิงเทียนก่อนหน้า พอได้เห็นฉากสังหารอันน่าตื่นตาตื่นใจนี้ ลูกตาของนางก็สั่นไหว เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกตกใจ

คนทั้งคนที่เคยมีลมหายใจอยู่ต่อหน้าของนาง กลับสลายหายไปง่ายดายแบบนั้น…

ฉากนี้สร้างความตกใจให้นางมากเกินไป

อย่างไรก็ตาม สมแล้วที่นางเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ผู้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ไม่นานนางก็ฟื้นตัว เร่งกล่าวขอบคุณต้วนหลิงเทียน “ขอบคุณเจ้าที่ช่วยชีวิตข้า”

ต้วนหลิงเทียนหันไปปรายตาเหลือบมองโอวหยางหลัว แต่ไม่ได้พูดอะไร

จนถึงตอนนี้เขาก็ยังรู้สึกไม่ถูกชะตากับสตรีนางนี้

ก่อนที่เขาจะเผยตัวออกมาจากการลอบชมเรื่องราว เขาเห็นท่าทีที่นางปฏิบัติต่ออี้เทียนสิงชัดเจนดี

หากอี้เทียนสิงนั่นไม่คิดฆ่าเขาก่อน เขาก็คงไม่ฆ่าอี้เทียนสิงทิ้งแบบนี้

เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนเดินไปหยิบแหวนพื้นที่เหลือไว้ของอี้เทียนสิง กระทั่งยังหยิบแหวนพื้นที่ของโอวหยางผิงที่อี้เทียนสิงชิงไปก่อนหน้ามาเก็บไว้กับตัวด้วยท่าทางราวกับเจ้าหนี้มาเก็บดอก…

“นั่นเป็นแหวนพื้นที่ของผู้เฒ่าผิงแห่งตระกูลโอวหยางข้า เจ้ามิควร…”

โอวหยางหลัวก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วกล่าวออก

ทว่าก่อนที่นางจะทันได้กล่าวจบคำ ก็ถูกต้วนหลิงเทียนกล่าวตัดบทเสียก่อน “แหวนวงนี้เป็นสินสงครามของอี้เทียนสิง เช่นนั้นก็นับเป็นของๆมันแล้ว…ในเมื่อข้าเป็นคนฆ่าอี้เทียนสิง ของๆมันทั้งหมดล้วนต้องตกเป็นของข้า”

วาจาที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมา ทำให้โอวหยางหลัวถึงกับไร้คำพูด

พอนางลองคิดดูก็เหมือนจะเป็นแบบนั้นจริงๆ

“แม่นางโอวหยาง…หากข้าไม่ได้ช่วยเจ้าไว้ ไม่เพียงแต่ของพวกนี้จะเป็นของข้า กระทั่งแหวนพื้นที่เจ้าก็จะตกเป็นของข้าอีกวงเช่นกัน”

ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองโอวหยางหลัว ค่อยกล่าวเสียงเย็น

หลังจากกล่าวจบคำแล้วต้วนหลิงเทียนก็คร้านจะสนใจใยดีโอวหยางหลัวอีก เพียงออกเดินทางต่อทันที ย้อนกลับไปยังเส้นทางข้ามเขา

สำหรับเรื่องที่โอวหยางหลัวกล่าวออกมาก่อนหน้า มาตอนนี้เขากลับไม่ได้สนใจอะไรมากมายอีกต่อไป

ดูจากนิสัยของโอวหยางหลัวแล้ว ท่าทางสกุลโอวหยางล้วนมิใช่ตัวดี ใครจะไปรู้ พอไปถึงตระกูลนางๆอาจเป็นดั่งงูเห่าที่แว้งกัดเขาก็ได้…

เขาเพียงมาเก็บสินสงครามตามปกติ แต่โอวหยางหลัวกลับถามเขาออกมาแบบนั้น

ในวาจานางยังถึงกับยก ‘สกุลโอวหยาง’ ขึ้นมากล่าวอ้าง เจตนาข่มขู่อย่างเห็นได้ชัด!

นี่น่ะเหรอท่าทีที่มีต่อผู้มีพระคุณของนาง?

“เจ้า ช้าก่อน!”

เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนกลับเลือกที่จะเดินจากไปโดยทิ้งนางไว้ดื้อๆ โอวหยางหลัวย่อมเป็นกังวลทันที ยังมีผู้ใดไม่ทราบว่าเขาจิ่วฉีลูกนี้อันตรายเพียงใด? หากนางบังเอิญเจอสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งเข้านางไม่ตายอนาถหรือ!?

ทันใดนั้นโอวหยางหลัวก็รีบวิ่งตามต้วนหลิงเทียนไปทันที

ต้วนหลิงเทียนคร้านจะดูแลอะไรโอวหยางหลัว เพียงเดินหน้าต่ออย่างระมัดระวัง และหากไม่ใช่เพราะเขาต้องระวังขณะเดินทางในเขาจิ่วฉีเป็นพิเศษ ป่านนี้เขาคงรีบพุ่งร่างจากไปและทิ้งนางไว้ลำพังแล้ว

‘มันไม่สนใจข้าเลยหรือ!?’

เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนไม่แยแสตัวเอง หน้าโอวหยางหลัวอดไม่ได้ที่จะจมลงทันใด

ในฐานะบุตรีคนเดียวของผู้นำตระกูลโอวหยาง มีฐานะเป็นถึงคุณหนูรองตระกูลโอวหยาง! นางย่อมเติบโตขึ้นท่ามกลางผู้คนที่คอยประจบเอาใจ ยังมีบุรุษคนใดที่ไม่ชื่นชมนางตั้งแต่แรกพบอีก?

นับเป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่นางถูกบุรุษในรุ่นเดียวกันเฉยใส่แบบนี้!

จังหวะนี้โอวหยางหลัวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสมือนศักดิ์ศรีของนางถูกต้วนหลิงเทียนย่ำเหยียบ!

มองไปยังแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนที่เดินนำหน้าด้วยท่าทางปั้นปึ่ง แววตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

อย่างไรก็ตามแม้นางจะไม่สบอารมณ์ทั้งโมโห แต่นางก็ไม่กล้ากล่าววาจาอะไรไม่ดีจนทำให้ต้วนหลิงเทียนมีโทสะ

‘ความเย็นชา’ ของต้วนหลิงเทียนนั้นนางสัมผัสได้ชัดเจน นางตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายสมควรเป็นบุรุษหยาบกร้านไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผา!

‘ที่แท้มันเป็นบุรุษหรือไม่ กล้าดีอย่างไรถึงได้เฉยเมยกับสตรีงดงามเช่นข้าได้ลงคอ!’

หากต้วนหลิงเทียนรับทราบความคิดนี้ของโอวหยางหลัว น่ากลัวเขาจะหัวเราะจนฟันร่วง

คู่หมั้นทั้ง 2 ของเขา ไม่ว่าจะคนไหนก็ดีกว่าโอวหยางหลัวเป็นพันหมื่นเท่า!

‘เอ๋…มันยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์งั้นเหรอ!?’

หลังจากเดินตามต้วนหลิงเทียนมา นางย่อมเห็นต้วนหลิงเทียนลงมือสังหารสัตว์ร้ายอยู่สองสามครั้ง ทำให้นางสัมผัสกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากปราณแท้ของต้วนหลิงเทียนได้ชัดเจน มันคือกลิ่นอายปราณแท้ของขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์!

มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างกลิ่นอายปราณแท้ของขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์และสู่เซียน

ความแตกต่างนี้โอวหยางหลัวย่อมสามารถแยกแยะได้ชัดเจน

‘อันใดกัน ผู้ฝึกยุทธ์หลุดพ้นมนุษย์…กลับสามารถยิงศรทำลายม่านพลังป้องกันของอี้เทียนสิงได้ง่ายดาย กระทั่งสังหารอี้เทียนสิงได้ในศรดอกเดียว…ดูเหมือนว่าอาคมเซียนที่จารึกไว้ในศาสตราเซียนของมันมิใช่ธรรมดาสามัญแล้ว…’

โอวหยางหลัวลอบกล่าว

พอนึกย้อนไปยังฉากที่อีกฝ่ายสังหารอี้เทียนสิง ใจของนางยังคงหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย

‘ศรที่มันยิงออกมา สามารถเจาะทะลุม่านพลังป้องกันของอี้เทียนสิงได้ง่ายดาย…อันที่จริงคล้ายม่านพลังไม่อาจป้องกันอันใดได้เลยด้วยซ้ำ! ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์หลุดพ้นมนุษย์อาศัยพลังฝีมือส่วนตัวคงมิมีทางแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนั้น!’

โอวหยางหลัวลอบตัดสินใจแน่ชัดว่านั่นสมควรเป็นเพราะ พลังอำนาจของ ‘อาคมเซียน’

‘อาคมเซียนที่มีอำนาจทะลุทะลวงสูเช่นนั้นมิมีทางเป็นอาคมเซียนระดับ 1 ดาวแน่นอน นอกจากนั้นอาคมเซียน 2 ดาวก็ไม่น่ากลัวขนาดนี้…เป็นอาคมเซียนระดับ 3 ดาว! นั่นต้องเป็นเกาทัณฑ์ที่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวไว้แน่นอน!’

พอคิดถึงเรื่องนี้ใจโอวหยางอดไม่ได้ที่จะเต้นรัวขึ้นมา

อาคมเซียนระดับ 3 ดาว!

ต้องทราบด้วยว่ากระทั่งตระกูลโอวหยางของนางเอง ก็มีศาสตราเซียนนที่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวไว้ไม่กี่ชิ้น และทั้งหมดล้วนอยู่ในมือของเหล่าอาวุโสที่มีสิทธิ์มีเสียงในตระกูล…

‘ที่แท้มันเป็นผู้ใดกันแน่?’

เมื่อโอวหยางหลัวมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ดวงตาของนางก็ฉายแววสว่างจ้าออกมา

‘มันมิใช่คนที่มีพื้นเพธรรมดาสามัญแน่นอน! กระทั่งซือถูฮั่วยังมิอาจเทียบได้…จะอย่างไรตระกูลซือถูก็เป็นแค่ขุมพลังชั้น 8 เหมือนตระกูลโอวหยาง…ตัวน่าตายผู้นี้ เผลอๆอาจจะมาจากขุมพลังชั้น 7!’

เมื่อฉุกคิดถึงเรื่องนี้ โอวหยางหลัวก็ไม่คิดจะหยิ่งยโสอะไรกับต้วนหลิงเทียนอีกสืบไป อันที่จริงนางถึงกับริเริ่มชวนเขาสนทนาด้วย

ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเปลี่ยนท่าทีกลับกลายเป็นสตรีอ่อนหวานทันที

หากไม่ใช่เพราะต้วนหลิงเทียนเคยเห็นสันดารของโอวหยางหลัวมาก่อน เกรงว่าเขาอาจจะถูกมารยาของนางหลอกเอาได้เช่นกัน!

‘โอวหยางหลัวนี่สตินางฟั่นเฟือนรึยังไง อยู่ๆทำไมถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้?’

ต้วนหลิงเทียนเห็นท่าทีของนาง เขาพลันเพิ่มความระวังขึ้นหลายส่วน ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ใต้หล้าไม่มีเรื่องดีพรรค์นี้ ยิ่งทำดียิ่งหวังผล!’

‘นางมีเจตนาแอบแฝงอะไรกันแน่?’

หลังจากที่โอวหยางหลัวเปลี่ยนท่าทีปฏิบัติต่อเขา เขาก็มั่นใจว่านางต้องมีเจตนาแอบแฝงแน่นอน

“แม่นางโอวหยาง ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากำลังจะวิวาห์กับคุณชายของตระกูลซือถูงั้นเหรอ?”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามชิมลางออกมาเสียงเรียบ

“ฮัยยา! ล้วนเป็นอี้เทียนสิงมันคิดเองเออเองทั้งสิ้น…ซือถูหัวนั้นมีผู้ใดมิรู้ว่ามันเป็นคุณชายเจ้าสำราญ ผู้อื่นมิชอบมันหรอก ผู้อื่นชอบบุรุษที่ซื่อสัตย์”

โอวหยางหลัวกล่าวออกด้วยน้ำเสียงบอกปัดแฝงความออดอ้อนอย่างจงใจ ขณะกล่าวนางยังมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาหวานเชื่อมเปี่ยมอารมณ์ชื่นชม…เห็นชัดว่าคิดทอดสะพานให้ต้วนหลิงเทียน!

ต้วนหลิงเทียนลอบเย้ยหยันท่าทีนี้ของนางในใจ ‘มาผู้องผู้อื่นบัดซบอะไร…’

เขาไม่ใช่คนไร้เดียงสาถึงขั้นจะเชื่อได้ลงคอว่าคนอย่างโอวหยางหลัว อยู่ดีๆจะตกหลุมรักเขา เพียงเพราะเขาช่วยชีวิตนางไว้

‘โอวหยางหลัวนี่จะอย่างไรก็ไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน…ที่แท้นางคิดทำอะไรกันแน่?’

ต้วนหลิงเทียนยังลอบเดาเจตนาของนางไปเรื่อย อย่างไรก็ตามเขาระวังนางเพิ่มขึ้นอีกส่วน

สตรีนางนี้ท่าทางจะฉลาดกว่าที่เขาคิด

“ท่านรู้จักชื่อของผู้อื่นแล้ว แต่ผู้อื่นยังมิรู้จักท่านเลย…ท่านมิคิดหรือว่ามันดูมิเป็นธรรมอยู่บ้าง”

โอวหยางหลัวมองต้วนหลิงเทียนตาเชื่อม กล่าวถามออกมาด้วยรอยยิ้มสดใส

“ไม่มีอะไรไม่เป็นธรรม เพราะเจ้าเองก็ไม่ได้เป็นฝ่ายบอกชื่อข้าแต่แรก”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบเสียงเรียบ ท่าทางยังเป็นดั่งเกลือไม่ลดความเค็ม ทำให้โอวหยางหลัวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกรำคาญอยู่บ้าง หากแต่นางก็ฝืนทนเอาไว้ไม่ถามจู้จี้น่ารำคาญอะไรอีก เพียงปั้นยิ้มหวานส่งให้ต้วนหลิงเทียนต่อ

ยิ่งต้วนหลิงเทียนพยายามเลี่ยงมากเท่าไหร่ พาลให้นางคิดว่าพื้นเพของต้วนหลิงเทียนยิ่งไม่ธรรมดา

‘ข้าหวังว่าหากข้าทำแบบนี้ต่อไป มันจะเลิกอคติกับข้า และตราบใดที่ข้ามัดใจมันได้ ตระกูลโอวหยางเราย่อมสามารถเชื่อมสัมพันธ์กับขุมพลังที่อยู่เบื้องหลังมัน คราวนี้ตระกูลโอวหยางได้ทะยานฟ้าเป็นแน่! ต่อให้เป็นตระกูลซือถูก็ต้องถูกตระกูลโอวหยางเราย่ำเหยียบ!!’

ลูกตาโอวหยางหลัวเผยประกายวิบวับ ราวกับนางได้เห็นตระกูลโอวหยางลอยล่องขึ้นไปเหินค้างกลางฟ้า

เหตุผลที่นางคิดเช่นนี้ เพราะนางเชื่อว่าต้วนหลิงเทียนไม่เพียงแต่จะมาจากขุมพลังชั้น 7 เท่านั้น! ท่าทางฐานะของเขาในขุมพลังชั้น 7 จะไม่ธรรมดาอีกด้วย!!

หาไม่แล้วไหนเลยจะมีศาสตราเซียนที่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวไว้ในครอบครอง ทั้งๆที่พลังฝึกปรือยังอยู่ในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์?

ครึ่งวันต่อมาต้วนหลิงเทียนที่เดินไปตามทางพลันตระหนักได้ว่าแรงโน้มถ่วงที่กระทำกับร่างของเขา มันลดทอนลงไปกว่าครึ่ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ‘ในที่สุดข้าก็หลุดพ้นจากสถานที่ผีสางนี่ได้สักที…’

สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว ภูเขาจิ่วฉีนั้น…กล่าวว่าสถานที่ผีสางก็ไม่เกินเลย!

เพราะในที่แห่งนี้ ไม่เพียงแต่เขาต้องระวังสัตว์ร้ายที่อันตราย แต่ยังต้องคอยรับมือโอวหยางหลัว สตรีที่มีใจคดเคี้ยวอีกด้วย!

ดังนั้นหลังจากที่ออกจากภูเขาจิ่วฉีได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้าอะไร ก้าวเท้าเหยียบอากาศมุ่งขึ้นฟ้าแล้วเหินร่างจากไปโดยไม่กล่าววาจาใดแม้ครึ่งคำ

“อ๊ะ! ท่านรอผู้อื่นด้วย!!”

เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนจะทิ้งตัวเองไปดื้อๆ โอวหยางหลัวที่วาดแผนในใจไว้มากมายก็ตื่นตระหนก เร่งสะบัดมือเรียกยันต์เทพเคลื่อนระดับ 1 ดาวออกมาพร้อมกล่าวคำ ‘สำแดง’ เพื่อให้ตัวเองบรรลุความเร็วของสู่เซียนขั้นต้นทันที

ไม่นานนางก็ไล่ตามต้วนหลิงเทียนได้ทัน

“ฮึ! ท่านจักมิใจร้ายไปหน่อยหรือ?! ไฉนท่านถึงได้ทิ้งสตรีอ่อนแอบอบบางเช่นผู้อื่นได้ลงคอเล่า…สุภาพบุรุษเช่นท่านมิกลัวผู้อื่นถูกคนไม่ดีทำร้ายหรือ?”

โอวหยางหลัวกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยท่าทางแง่งอน

สตรีอ่อนแอบบอบบาง?

ทันทีที่ได้ยินวาจานี้ของนาง ต้วนหลิงเทียนก็มองนางด้วยสายตาระอา

หากโอวหยางหลัวคนนี้เป็นสตรีอ่อนแอบอบบาง เช่นนั้นโลกนี้คงไม่มีสตรีอ่อนแอบอบบางอีกแล้ว

“สำแดง”

ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้สึกรำคาญโอวหยางหลัวหนักแล้วจริงๆ ถึงขั้นสะบัดมือเรียกยันต์เทพเคลื่อนระดับ 2 ดาว ที่ได้มาจากแหวนพื้นที่ของชายในชุดคลุมลมดำออกมาเปิดใช้ใบหนึ่งทันที พริบตาร่างก็อันตรธานหายไปจากสายตาของโอวหยางหลัว

เจอแบบนี้โอวหยางหลัวถึงกับหัวฟัดหัวเหวี่ยงขึ้นมา “บ้าจริง! นี่ข้าน่ารำคาญขนาดนั้นเลยรึไง!?”

“อย่างไรก็ตาม ความเป็นมาของมันมิใช่ธรรมดาแล้วจริงๆ กลับใช้ยันต์เทพเคลื่อน 2 ดาวได้อย่างไร้เรื่องราวเช่นนี้”

ไม่นานโอวหยางหลัวที่หัวฟัดหัวเหวี่ยงก็เผยยิ้มออกมาอีกครั้ง ตาที่หรี่ลงเผยประกายวับวาว

“มองจากทิศทางที่มันมุ่งไป…สมควรเป็นเมืองหานเหอ”

โอวหยางหลัวบ่นงึมงำ