ตอนที่ 118 หลินเซี่ยเป็นลูกสาวคุณหรือไง?
ตอนที่ 118 หลินเซี่ยเป็นลูกสาวคุณหรือไง?
หลังจากที่เลขานุการหลี่พูดจบ เขาก็นำทีมนักแสดงออกเดินทาง
ครั้งนี้ทางโรงงานเหมารถบัสเพื่อรับส่งโดยเฉพาะ
ผู้เข้าร่วมและสมาชิกในครอบครัว รวมถึงผู้นำในโรงงานหลายคนขึ้นรถไปพร้อมกัน ยกเว้นสมาชิกในครอบครัวที่ตามมาขึ้นรถไม่ทันก็ปั่นจักรยานไล่ตามไป
เวลานี้ รถยนต์และผู้คนจำนวนมากจากเขตอุตสาหกรรมโรงงานต่าง ๆ มารวมตัวกันที่ทางเข้าโรงละครใหญ่ เนื่องจากนักแสดงต้องเข้ามาจากหลังเวที ผู้คนจากแต่ละโรงงานจึงมารวมตัวกันอยู่ที่หน้าประตู เพื่อให้กำลังใจทีมนักแสดงของตัวเอง
ทีมพนักงานจากโรงงานเครื่องจักรไห่เฉิงก็อยู่ที่หน้าประตูด้วยเช่นกัน สมาชิกในตระกูลเสิ่นทุกคนเดินทางมาให้กำลังใจเสิ่นอวี้อิ๋งโดยเฉพาะ
นอกจากรายการแสดงของเสิ่นอวี้อิ๋งแล้ว โรงงานเครื่องจักรยังมีทีมนักร้องประสานเสียงที่ประกอบด้วยพนักงานภายในโรงงาน ซึ่งเข้าไปเตรียมตัวที่หลังเวทีเรียบร้อยแล้ว
เสิ่นอวี้อิ๋งสวมชุดกระโปรงสีขาว เสื้อคลุมสีชมพู ผมถูกมัดไว้หลวม ๆ ติดกิ๊บติดผมสีชมพู ดูไร้เดียงสาและน่ารัก
หล่อนจับมือเสิ่นเถี่ยจวินแล้วพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พ่อคะ ฉันกังวลมากจริง ๆ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันแสดงได้ไม่ดีแล้วทำให้พ่อต้องอับอาย?”
เสิ่นเถี่ยจวินมองดูหล่อนด้วยความรักและพูดว่า “อวี้อิ๋ง อย่ากังวลไปเลย ดูสิ คุณปู่ พ่อ แม่ และลูกพี่ลูกน้องของลูกต่างก็อยู่ที่นี่กันทั้งหมด พวกเราจะคอยให้กำลังใจลูกจากโซนผู้ชมนะ”
ด้วยการให้กำลังใจของเสิ่นเถี่ยจวิน ใบหน้าเคร่งเครียดของเสิ่นอวี้อิ๋งก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย พลางพยักหน้า “เข้าใจแล้วค่ะพ่อ”
เสิ่นเสี่ยวเหมยกำหมัดทำท่าเชียร์เพื่อให้กำลังใจหล่อน “อวี้อิ๋ง เธอเก่งที่สุด พวกเราทุกคนจะให้กำลังใจเธออยู่ตรงนี้”
ทันทีที่รถบัสจากโรงงานยานยนต์ไห่เฉิงเคลื่อนเข้ามาจอด การมาของพวกเขาก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนที่อยู่ตรงทางเข้าโรงละคร
สาเหตุหลักเป็นเพราะจำนวนคนที่ลงมาจากรถบัสนั้นโดดเด่นอย่างยิ่ง
ลุงหนิวและลุงหลี่ที่เส้นผมหงอกขาวสวมชุดกีฬาสีน้ำเงินแถบขาว รองเท้าผ้าใบสีขาว ดูเหมือนว่าวันนี้พวกเขาจะแต่งหน้าบาง ๆ ด้วย สีหน้าเบิกบานและมีสภาพจิตใจที่ดี
ผู้คนจากโรงงานอื่นเห็นการปรากฏตัวของลุงหนิวและลุงหลี่ จึงหันไปพูดคุยกันเกี่ยวกับการแสดงของโรงงานยานยนต์ไห่เฉิง
ทุกคนเดาว่าโรงงานของพวกเขาน่าจะมีชุดการแสดงขับร้องด้วยเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ต่อให้เป็นแค่การแสดงขับร้อง ก็ไม่เห็นจะต้องแต่งหน้าหรือแต่งตัวให้ดูอ่อนเยาว์เลยนี่
โดยเฉพาะผู้หญิงเหล่านั้น พวกหล่อนแต่งตัวทันสมัยกันมาก
บางคนก็ดัดผม บางคนก็ถักผมเปียแซมด้วยดอกไม้ การแต่งหน้าดูสะดุดตามากเช่นกัน
สรุปภาพรวมทั้งหมดได้ด้วยคำเดียว : สดใสสมวัย
เลขานุการหลี่เห็นผู้อำนวยการโรงงานเสิ่น ก็เดินเข้าไปทักทายด้วยรอยยิ้ม “ผู้อำนวยการเสิ่น คุณก็มาด้วยเหรอ?”
เสิ่นเถี่ยจวินเห็นเลขานุการหลี่ ก็เหลือบมองผ่านไปยังทีมนักแสดงที่แข็งแกร่งข้างหลังเขา แล้วทักทายกลับ “เลขาหลี่ คุณเป็นผู้นำทีมครั้งนี้สินะ?”
เลขานุการหลี่ตอบกลับ “ใช่แล้วครับ ผมเป็นผู้นำทีม”
นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเซี่ยได้พบกับเสิ่นเถี่ยจวินและเซี่ยหลานนับตั้งแต่เธอได้เกิดใหม่
ในเวลานี้ เมื่อดูจากรูปลักษณ์ที่ยังอยู่ในวัยกลางคนของพวกเขา เธอยังมีความรู้สึกผสมปนเปอยู่ภายในใจ
เธอเห็นเสิ่นเถี่ยจวินจับมือของเสิ่นอวี้อิ๋ง มองดูหล่อนด้วยความรักและเอ็นดู คอยให้คำแนะนำอยู่เนือง ๆ ด้วยความสนิทสนม
ดูเหมือนว่าพ่อกับลูกสาวคนใหม่จะเข้ากันได้เป็นอย่างดี
ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เมื่อก่อนการที่เสิ่นเถี่ยจวินไม่แยแสเธอ บางทีอาจเป็นเพราะเขาไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความสัมพันธ์ทางสายเลือดใด ๆ
เธอยังเห็น ‘คุณปู่’ ที่เธอหวาดกลัวตั้งแต่เด็กมาที่นี่ด้วยเช่นกัน
เสิ่นเสี่ยวเหมย หลิวจื้อหมิง หลิวลี่ลี่ และคนอื่น ๆ ล้วนห้อมล้อมอยู่รอบเสิ่นอวี้อิ๋ง
หลินเซี่ยเหลือบมองแค่แวบเดียวแล้วรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
ในขณะเดียวกัน สมาชิกตระกูลเสิ่นก็หันไปเห็นหลินเซี่ยที่วันนี้แต่งหน้าแต่งตัวอย่างสวยงาม เดินตามคณะของคุณลุงคุณป้าทั้งหลาย
เสิ่นเสี่ยวเหมยโกรธขึ้นมาเมื่อมองเห็นหลินเซี่ย รีบใส่ไฟต่อหน้าผู้เฒ่าเสิ่น “คุณลุงดูเด็กคนนั้นสิคะ หล่อนเติบโตมาจนป่านนี้ก็เพราะข้าวปลาจากครอบครัวเราแท้ ๆ แต่กลับไม่ยอมเดินเข้ามาทักทายเราด้วยซ้ำทั้ง ๆ ที่มองเห็นคุณ ช่างเป็นหมาป่าตาขาวจริง ๆ เลย”
หลังจากได้ยินคำพูดของเสิ่นเสี่ยวเหมย ใบหน้าของผู้เฒ่าเสิ่นก็มืดครึ้มลงทันที
เมื่อมองดูหญิงสาวที่หน้าตาสวยสดใสซึ่งอยู่ท่ามกลางฝูงชน เขาก็รู้สึกเหมือนมีไฟสุมอยู่ในอก
ยิ่งเขามองเท่าใดก็ยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อมากขึ้นเท่านั้น เด็กสาวคนนั้นมีหน้าตาเหมือนเป็นลูกสาวของผู้ชายคนนั้นมาก
แน่ใจหรือว่าหล่อนไม่ใช่สายเลือดของเซี่ยหลานกับคนคนนั้นจริง ๆ?
ผู้เฒ่าเสิ่นอายุมากแล้ว ไม่สามารถทำใจเชื่อในความถูกต้องแม่นยำของวิทยาศาสตร์ที่สามารถตรวจพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ลูกได้
ในอดีต สมัยหญิงสาวยังอยู่ที่บ้านของเขา เขากับเสิ่นเถี่ยจวินมีข้อตกลงกันโดยปริยายว่าจะไม่พาเธอออกงานสังคมบ่อยนัก
แม้แต่ช่วงปีใหม่ เธอยังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปเยี่ยมญาติคนไหน
ตอนนี้ถือเป็นเรื่องดีเหมือนกันที่เธอกล้าอวดโฉมต่อสาธารณชนด้วยใบหน้าที่ไม่มีส่วนไหนเหมือนลูกชายตระกูลเสิ่นเลยสักนิด
ในโอกาสสำคัญเช่นวันนี้ มีหลายคนที่คุ้นเคยกันกับครอบครัวของเขามารวมตัวอยู่ที่นี่มากมาย ตอนแรกเขายังไม่รู้จะชวนอีกฝ่ายคุยเรื่องอะไรดี
พอนึกถึงสิ่งนี้ขึ้นมา ผู้เฒ่าเสิ่นจึงพาเสิ่นอวี้อิ๋งไปทักทายผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นด้วยท่าทางโอ้อวดใหญ่โต
เขาต้องการใช้โอกาสนี้บอกให้ทุกคนให้รู้ว่าหลานสาวของเขาพลัดพรากไปอยู่ต่างเมืองมากว่ายี่สิบปี และเด็กผู้หญิงที่เขาเลี้ยงมาจนโตก็เป็นเด็กกาฝากของคนอื่น
เธอไม่มีอะไรเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลเสิ่นเลยแม้แต่น้อย
เซี่ยหลานเห็นหลินเซี่ยอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนก็ยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจเดินไปหาเธอ
เฉินเจียเหอและหู่จือกำลังผลัดกันให้กำลังใจหลินเซี่ย สมาชิกครอบครัวทั้งสามคนดูดีมากเป็นพิเศษ วันนี้เฉินเจียเหอและหู่จือแต่งตัวอย่างพิถีพิถัน ด้วยการจัดแจงของหลินเซี่ย พวกเขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าทันสมัย ทำให้ทั้งสามคนสะดุดตามากกว่าใคร ๆ
เมื่อเห็น เซี่ยหลานเดินเข้ามาหา เฉินเจียเหอก็ทำหน้าตกตะลึงเล็กน้อยและทักทายหล่อน “หมอเซี่ย”
เซี่ยหลานตอบรับในลำคอ จากนั้นก็จ้องมองไปที่หลินเซี่ยพร้อมกับถามว่า “เธอก็ขึ้นแสดงด้วยเหรอ?”
หลินเซี่ยไม่คาดคิดว่าเซี่ยหลานจะกล้าเข้ามาทักทายเธอต่อหน้าเสิ่นอวี้อิ๋ง เธอมองเซี่ยหลานด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบายในใจ แล้วพยักหน้าอย่างเร่งรีบ “ใช่ค่ะ ฉันเข้าร่วมการแสดงแบบกลุ่มด้วย”
“ตั้งใจแสดงให้ดีล่ะ” เซี่ยหลานมองเธอด้วยสีหน้าซับซ้อน พูดแค่ประโยคเดียวเท่านั้น และตั้งท่าจะเดินจากไป
“ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ”
ทันใดนั้นจมูกของหลินเซี่ยก็เปรี้ยวขึ้นมา เมื่อมองไปยัง ‘แม่’ ที่เลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่เกิด เธอไม่สามารถสงบสติอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความโหยหาได้จริง ๆ
นั่นคือผู้หญิงที่เธอเรียกว่าแม่มายี่สิบปี
เซี่ยหลานใจดีกับเธอมาโดยตลอด อีกทั้งยังเป็นแม่ที่มีความสามารถมาก
แม้ว่าภูมิหลังทางสายเลือดของเธอจะถูกค้นพบและเปิดเผยโดยเซี่ยหลานเองก็ตาม
แต่เธอไม่เคยคิดตำหนิเซี่ยหลานเลย เพราะรู้ว่าเซี่ยหลานเป็นคนใจกว้างมากพอ
แม้กระทั่งตอนนี้ เธอยังคิดจะหาโอกาสเข้าไปทักทายอีกฝ่ายสักหน่อย ใครจะคิดว่าเซี่ยหลานจะเป็นฝ่ายริเริ่มเข้ามาทักทายเธอก่อน
ผู้เฒ่าเสิ่นที่กำลังคิดเชื่อมโยงเรื่องต่าง ๆ อย่างบ้าคลั่ง มีสีหน้าย่ำแย่ลงไปอีกเมื่อเห็นฉากนี้
เมื่อเซี่ยหลานเดินกลับมา ผู้เฒ่าเสิ่นก็บ่นด้วยความไม่พอใจ “เสี่ยวหลาน ลูกสาวเธอกำลังรอกำลังใจอยู่ที่นี่แท้ ๆ ทำไมถึงไม่อยู่ให้กำลังใจเธอ? วิ่งโร่ไปคุยกับแม่นั่นทำไม?”
น้ำเสียงของเซี่ยหลานก็เย็นชาไม่แพ้กัน “พ่อคะ ถึงยังไงฉันก็เลี้ยงหลินเซี่ยมากับมือ แถมหล่อนก็ไม่ได้ทำอะไรที่รบกวนชีวิตครอบครัวของเรา ต่อให้ไม่ใช่ลูกสาวของฉัน แล้วฉันต้องถือว่าหล่อนเป็นศัตรูด้วยหรือไง?”
ผู้เฒ่าเสิ่นตะคอกอย่างเย็นชา “ดูนิสัยไร้สามัญสำนึกของหล่อนสิ ไม่เห็นเหรอว่าหล่อนร้ายยังไง”
ยิ่งหลินเซี่ยเพิกเฉยต่อเขาแบบนี้ ผู้เฒ่าเสิ่นยิ่งรู้สึกเหมือนศักดิ์ศรีของเขาถูกท้าทาย
ไฟในใจเขายิ่งโหมแรงขึ้น
เสิ่นเสี่ยวเหมยพูดใส่ไฟจากด้านข้าง “ใช่ พวกเราเลี้ยงหล่อนมาโดยเปล่าประโยชน์แท้ ๆ ไม่เห็นคุณลุงอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ”
“เธอคงรู้ว่าใครบางคนไม่อยากเห็นหน้า ก็เลยมาเพื่อให้เธอเอาหน้าร้อนไปแนบก้นเย็นล่ะมั้ง?” เซี่ยหลานสวนกลับด้วยใบหน้าเย็นชา
เสิ่นเสี่ยวเหมยมองเซี่ยหลานอย่างไม่พอใจพร้อมกับบ่นว่า “พี่สะใภ้ ทำไมคุณถึงเอาแต่เข้าข้างหล่อนตลอดเวลาเลยนะ? อวี้อิ๋งต่างหากที่เป็นลูกสาวแท้ ๆ ของคุณ”
“เสี่ยวเหมย หลังจากตามมาให้กำลังใจอวี้อิ๋งที่เข้าร่วมการแข่งขันในวันนี้ เธอก็ควรกลับไปที่บ้านสามีตัวเองซะ แทนที่จะย้ายมาอยู่ที่บ้านพ่อแม่แล้วเอาแต่สร้างปัญหา อวี้อิ๋งยังต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือเพื่อสอบเข้าวิทยาลัย”
เซี่ยหลานออกคำสั่งกึ่งขับไล่โดยตรง
“พี่สะใภ้ ฉันไม่ได้อาศัยบ้านคุณอยู่ซะหน่อย ทำไมถึงไล่ฉันออกไปแบบนี้ล่ะ?”
หลังจากพูดอย่างนั้น หล่อนก็เหลือบมองผู้เฒ่าเสิ่นด้วยความเสียใจ
ผู้เฒ่าเสิ่นย่อมหันไปโอ๋เสิ่นเสี่ยวเหมยเป็นธรรมดา “เสี่ยวเหมยไปขอข้าวขอน้ำเธอกินหรือไง? มีสิทธิ์อะไรมาไล่เธอกลับ?”
พวกเขาอยู่ท่ามกลางคนหมู่มากแท้ ๆ แต่ผู้เฒ่าเสิ่นกลับไม่รู้จักระงับอารมณ์เลย คนรุ่นหลังบางคนที่ต้องการเข้ามาทักทายถึงกับถอยกลับเมื่อเห็นว่าเขาดุด่าเซี่ยหลานด้วยใบหน้าแข็งทื่อ
เสิ่นเถี่ยจวินดึงเซี่ยหลานให้ถอยกลับมา ขอให้หล่อนพูดน้อย ๆ ลงหน่อย
เซี่ยหลานหยุดให้ความสนใจกับพวกเขา หันไปจับมือของเสิ่นอวี้อิ๋งไว้แล้วพูดว่า “อวี้อิ๋ง ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ทำหน้าที่ตามที่ฝึกซ้อมมาให้ดีที่สุด มั่นใจในความสามารถตัวเองเข้าไว้นะ”
เสิ่นเถี่ยจวินสนับสนุนจากด้านข้าง “แม่ของลูกพูดถูก แสดงอย่างมั่นใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นลูกก็เก่งที่สุดสำหรับพวกเราอยู่แล้ว”
เสิ่นอวี้อิ๋งตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ขอบคุณค่ะพ่อ แม่”
ผู้เฒ่าเสิ่นสังเกตเห็นสายตาของใครหลายคนที่จ้องมองมา จึงจูงมือเสิ่นอวี้อิ๋ง และพาหล่อนไปทักทายคนรู้จักและแนะนำตัวตนของหล่อนต่อไป
เสิ่นเถี่ยจวินกลัวว่าเซี่ยหลานและเสิ่นเสี่ยวเหมยอาจจะทะเลาะกันอีกครั้ง ดังนั้นจึงรีบดึงเซี่ยหลานออกมาก่อน
“เสี่ยวเหมย เธอกับลุงของเธอไปกับอวี้อิ๋งก่อนแล้วกัน ไว้ฉันจะพาเธอไปส่งถึงหลังเวทีในภายหลัง”
เสิ่นเถี่ยจวินดึงเซี่ยหลานออกไป เสิ่นอวี้อิ๋งก็แยกจากพวกเขา ติดตามผู้เฒ่าเสิ่นไปทักทายผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งหลาย
หลายคนเป็นผู้อาวุโสที่มากับหลาน พวกเขาพากันพูดทีเล่นทีจริงกับผู้เฒ่าเสิ่นว่าอยากแนะนำหลาน ๆ ให้รู้จักกันไว้
เสิ่นอวี้อิ๋งทำท่าทางเหมือนเขินอาย แต่ก็ไม่ปฏิเสธ
ไม่ไกลนัก หลิวจื้อหมิงซึ่งรอยแผลบนหน้าผากเพิ่งจะตกสะเก็ดได้ไม่นานก็มองไปทางเสิ่นอวี้อิ๋งที่กำลังพบปะสังสรรค์กับผู้ใหญ่พร้อมกับผู้เฒ่าเสิ่น จากนั้นหันไปมองดูครอบครัวสามพ่อแม่ลูกที่จับจูงมือกันอยู่หน้ารถบัสของโรงงานยานยนต์ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวเล็กน้อย
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เห็นตรรกะบ้านตระกูลเสิ่นแล้วเพลียจังค่ะ หาเรื่องเซี่ยเซี่ยตลอดนี่ไม่เหนื่อยเหรอ ทำตัวเป็นแอนตี้แฟนของเซี่ยเซี่ยไปได้
ไหหม่า(海馬)