วันที่หนึ่งเดือนสาม ยามเหม่า พระอาทิตย์ขึ้นกลางศีรษะอย่างเห็นได้ชัดแล้ว วันนี้ต้องเป็นวันอากาศแจ่มใสมากๆ
อำลาจากคนงานในบ้านและชาวบ้านที่พากันมาส่งแล้ว รถม้าสองคัน ผู้ใหญ่เจ็ด เด็กสอง รวมเก้าคนก็ออกเดินทางขึ้นเหนือ
มุ่งไปยังเมืองหลวงเฟิงเฉิง หากไปตามเส้นทางหลวง ตลอดทางจะผ่านสี่เมืองใหญ่สิบสามเมืองย่อย
ออกจากเมืองฝานลั่วมาจะถึงเมืองฮ่วนซาที่แรก มาถึงตอนเที่ยงพอดี หลินซือเย่าสั่งการให้คนขับรถม้าไปหยุดพักที่ร้านอาหารกินอาหารกลางวันกันก่อน
“อาจารย์ อาจารย์หญิง!” ทุกคนยังไม่ได้ลงจากรถม้า มองไกลๆ ก็เห็นประตูร้านอาหารตระกูลเซวีย มีเสียงเชื้อเชิญแขกที่ดังมาอย่างคุ้นเคย
“อาจารย์ อาจารย์หญิง ข้ารู้พวกท่านวันนี้จะผ่านมาทางนี้” เถียนต้าเป่ายิ้มเดินเข้ามารับหลินหลงจากมือไป๋เหอ ก่อนจะหันไปพยักพเยิดหลิ่วตาใส่ศิษย์น้องหญิง พอเงยหน้าก็เห็นซือถูอวิ๋นยิ้มมองมา
“ต้าเป่า ไม่เจอกันหลายเดือน เหมือนสูงขึ้นอีกแล้วนะเนี่ย กลายเป็นหนุ่มแล้ว” ซูสุ่ยเลี่ยนอมยิ้มสังเกตเด็กหนุ่มร่างสูงตรงหน้าที่ค่อยๆ ดูเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีความรู้สึกไปว่าตนเองเหมือนเป็นผู้อาวุโสในครอบครัวเขา
“อาจารย์ป้า ท่านอย่าถูกภาพภายนอกของเขาหลอกเอา แท้จริงแล้วก้อนเลือดคั่งในสมองเขายังอยู่ ตอนเซ่อซ่าขึ้นมาก็ยังมีอยู่” ซือถูอวิ๋นหัวเราะสัพยอก วางมือลงบนไหล่เถียนต้าเป่า
ต่อหน้าหลินซือเย่า ซือถูอวิ๋นไม่กล้าเรียกซูสุ่ยเลี่ยนว่าพี่สาวคนสวยแล้ว เขาไม่ลืมว่าครั้งก่อนที่เรียกต่อหน้าอาจารย์ลุงซือหลิงถูกลงโทษอะไร! ตักขี้ม้านะ ยังต้องตักไปรดในที่นาสามวันเต็มๆ อย่างไรล่ะ ทีนี้ก็เป็นเด็กดีได้แล้ว
“เอาละ อย่ามาออตรงประตู” หลินซือเย่าจอดรถม้าเสร็จก็มารวมตัวกับทุกคน รับหลินเซียวจากมือซูสุ่ยเลี่ยน ดึงมือนางเดินเข้าร้านอาหารไป
“เอ๋ อาจารย์ นั่นไม่ใช่…” เถียนต้าเป่าที่กำลังคุยไปหัวเราะไปกับซือถูอวิ๋นอยู่ พอก้าวเข้ามาในร้านก็หันไปทางหลินซือเย่า พลางชี้ไปยังสตรีที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง
ลู่หว่านเอ๋อร์! หลินซือเย่าหรี่ตามองก่อนจะถอนสายตาคืนกลับมา หันไปหรี่มองเถียนต้าเป่าแวบหนึ่ง ราวกับกล่าวเตือนว่า ‘อย่าทำเรื่องใหญ่’
“แน่นอน!” เถียนต้าเป่าพยักหน้ารับคำ เขาไม่ใช่เถียนต้าเป่าตอนนั้นที่ทำอะไรไม่รู้คิดอีกแล้ว จะว่าไปอาจารย์กับอาจารย์หญิงยังนิ่งไม่รู้สึกอะไร เขามีหน้าอะไรไปทำให้เป็นเรื่องใหญ่
ไป๋เหอขอเหมาห้องส่วนตัวกับเถ้าแก่ ได้ยินว่าห้องเต็มหมดแล้ว ไม่รู้ทำเช่นไรได้แต่เอาโต๊ะสองตัวชิดฝั่งทิศใต้มาประกบกัน พอดีไปใกล้กับโต๊ะลู่หว่านเอ๋อร์
ซูสุ่ยเลี่ยนสนใจแต่ทารกแฝด ไม่ได้สนใจอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
แต่ลู่หว่านเอ๋อร์เห็นกลุ่มพวกเขาเข้ามานั่งก่อนหน้านี้แล้ว ก็พบว่ามีหลินซือเย่าด้วย ชายที่ทำให้นางคิดถึงไม่ลืมเลือน และยังเป็นตัวการใหญ่ที่ทำให้นางเสียสติไปครึ่งปีเต็ม
ตะเกียบในมือลู่หว่านเอ๋อร์แทบถูกหักเป็นสองท่อน ใช่ ตอนนี้นางสติฟื้นคืนมาแล้ว ไม่ได้เสียสติแล้ว แต่ไม่อาจกลับไปเมืองฝานลั่วที่นางถูกบีบให้จากมาเมื่อปีก่อนอีกแล้ว เพราะว่าในเมืองไม่มีที่ยืนให้นางนานแล้ว หากกลับไปอีก ไม่ใช่เรื่องที่ถูกลืมไปจะเป็นที่กล่าวขานขึ้นอีกหรือ เรื่องน่าอับอายในตอนนั้นคงได้ถูกขุดขึ้นมาอีก เช่นนั้นก็ไม่สู้มาอยู่ที่เมืองฮ่วนซาที่ไม่มีผู้ใดรู้จักคุณหนูใหญ่ตระกูลลู่เช่นนางดีกว่า
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่านางที่คิดจะเริ่มต้นชีวิตงดงามสะดุดตาโดดเด่นกว่าผู้ใดอีกครั้ง กลับต้องมาเจอกับชายที่ใจร้ายขึ้นมาก็ยิ่งกว่ามารร้ายเสียอีกเข้าอีกครั้ง
“ท่านเขย จ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวเอ้อร์บอกว่าม้าก็เลี้ยงหญ้าแล้ว” ไป๋เหอเดินกลับมาจากโต๊ะจ่ายเงิน มารายงานต่อหลินซือเย่า
“อืม เช่นนั้นก็ออกเดินทางกัน” หลินซือเย่าพยักหน้า เห็นหลินหลงกับหลินเซียวถูกซือถูอวิ๋นกับเหลียงหมัวมัวแยกกันอุ้มลุกขึ้น ก็เข้าประคองสุ่ยเลี่ยนกำลังจะออกไป
“อา…โอ๊ะ…” เหลียงหมัวมัวตามหลังซูสุ่ยเลี่ยนกับหลินซือเย่าอยู่ๆ เหมือนโดนอะไรขัดขา กำลังโงนเงนไปมา หลินเซียวในมือก็กระเด็นหลุดจากอ้อมกอดนาง
ยามเร่งด่วนนี้ ซือถูอวิ๋นกับเถียนต้าเป่าก้มหน้าคุยกันเดินอยู่หลังเหลียงหมัวมัว พอได้ยินเสียงเหลียงหมัวมัวร้องตกใจ เงยหน้าขึ้นก็ต้องตกใจตาค้าง โชคดีที่หลินซือเย่าว่องไว แม้ไม่ได้ทันหันกลับมา แต่มือขวายื่นออกไปรับหลินเซียวที่กระเด็นออกมาไว้ได้ทัน
เพียะ! เสียงตบหน้าดังฉาดใส่หน้าลู่หว่านเอ๋อร์ คนที่ลงมือก็คือซูสุ่ยเลี่ยน
ตอนนี้นางโมโหจริงๆ แล้ว
“แม่นางลู่? สาเหตุใดทำร้ายลูกข้า!” ซูสุ่ยเลี่ยนจ้องมองลู่หว่านเอ๋อร์ที่ถูกซือถูอวิ๋นกักตัวไว้ไม่ให้หนี ก่อนจะดึงมือหลินซือเย่าที่จะลงมือเอาไว้ ความแค้นสตรี นางเอาคืนเอง
“สาเหตุใด! ฮา ถามได้ดี! ควรถามสามีเจ้า ปีก่อนสาเหตุใดทำลายชื่อเสียงข้า ทำลายเกียรติข้า!” ลู่หว่านเอ๋อร์กุมใบหน้าแดงก่ำเอาไว้ เห็นว่าหนีไม่พ้นแล้วก็ลุยเลยแล้วกัน สายตาริษยามองจ้องซูสุ่ยเลี่ยน นางยืนอยู่ตรงข้ามกัน เดิมนางก็ไม่ใช่สตรีอ่อนโยนอะไร ไม่อย่างนั้นหนึ่งปีก่อนก็คงไม่ทำจนมาถึงวันที่มีบ้านก็ยากกลับไปเช่นตอนนี้
“หนึ่งปีก่อน? เขาทำอะไร แม้เขาทำอะไรไป แม่นางลู่ก็ไม่ควรลงมือทำร้ายเด็ก เด็กไม่ผิด” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็หรี่ตามแปลกใจมองหลินซือเย่าที่ยืนอยู่ข้างกายนางเงียบๆ ไม่กล่าวอันใดพลางสลัดความคิดเหลวไหลที่ผุดขึ้นมาทิ้งไป หันไปตั้งสติมองหน้าลู่หว่านเอ๋อร์
“ฮา…เด็กไม่ผิด อย่างนั้นข้าล่ะ ข้าก็ไม่ผิดไม่ใช่หรือ ก็แค่หลงรักเขาเท่านั้น อ้อ คิดว่าเจ้าคงยังไม่รู้สินะ ฮา ฮา ฮา…บอกเจ้าก็ได้ สามีเจ้ากับข้าก็แค่มีค่ำคืนที่ยากลืมเลือนคืนหนึ่ง” ลู่หว่านเอ๋อร์เดิมคิดจะข่มขู่เอาเรื่องกับซูสุ่ยเลี่ยน แต่เห็นอีกฝ่ายเหมือนไม่รู้เรื่องด้วยก็เปลี่ยนใจ จงใจทำให้ความแค้นนางกับหลินซือเย่าดูมีอะไรกันขึ้นมาแทน
ซูสุ่ยเลี่ยนอึ้งไป ในใจอยู่ก็รู้สึกปวดปลาบขึ้นมา ทำให้นางอยู่ๆ ไม่รู้ควรตอบเช่นไร ค่ำคืนที่ยากลืม? อาเย่า? หรือว่าเขาเคยชอบลู่หว่านเอ๋อร์
“อย่าคิดเหลวไหล” หลินซือเย่าขมวดคิ้วรั้งซูสุ่ยเลี่ยนมาไว้ข้างกาย กอดไว้แน่น กล่าวน้ำเสียงทุ้มนิ่ง รู้อย่างนี้เขาน่าจะจัดการให้เรียบร้อยไปก่อนหน้านี้ ไหนเลยควรปล่อยให้มาหาเรื่องมากมายเช่นนี้
“นี่! ต้าเป่า เจ้าไม่ใช่รู้เรื่องปีก่อนหรือ เล่ามาให้ฟังหน่อย เหมือนท่านน้าท่านนี้จะลืมความจริงเมื่อปีก่อนไปแล้ว!” ตอนหลินซือเย่าเงยหน้ากวาดตามองลู่หว่านเอ๋อร์ ซือถูอวิ๋นก็หัวเราะเอ่ยขึ้น
ท่านน้า? เขากำลังเรียกผู้ใด นางหรือ ลู่หว่านเอ๋อร์ได้ยินก็โมโหถลึงตาจ้องซือถูอวิ๋นข้างเถียนต้าเป่า อย่างไม่พอใจ คิดถึงว่านาง ‘ลู่หว่านเอ๋อร์’ แม้ว่าถูกหลินซือเย่าที่สมควรตายทำให้เสียเวลาแรกแย้มไป แต่ก็ยังไม่เกินสิบหก นับประสาอันใดกับการที่ครอบครัวนางไม่ขาดเงินทอง มีของบำรุงอย่างดี มีครีมประทินผิวที่นางทาใบหน้าอยู่ตลอด ดูไปแล้วก็ยังเด็กว่าอายุอีกสองปีได้ ไหนเลยจะเป็นดังคำเรียกขานท่านน้าในสายตาอีกฝ่ายกัน!
“ใช่แล้ว ข้าจำได้แม่นยำ ท่านน้าผู้นี้ก็รู้อาจารย์มีอาจารย์หญิงแล้ว ยังหน้าไม่อายมาหาถึงบ้าน คืนนั้นก็ถือว่ากรรมตามสนองแล้ว ถูก…”
“หุบปาก!” ลู่หว่านเอ๋อร์ตวาดเสียงแหลมใส่เถียนต้าเป่าที่กำลังอธิบายอย่างไม่ยี่หระ มองหลินซือเย่า ซูสุ่ยเลี่ยนกับเขาพลางชี้หน้าด่า “ถือว่าพวกเจ้าร้ายกาจ!” จากนั้นก็เดินชนซือถูอวิ๋นที่ขวางหน้านางออกไป วิ่งตึงตังไปที่หน้าประตูร้านอาหาร
“คุณหนู! คุณหนู!” พอเกิดเรื่องสาวใช้ตระกูลลู่ที่ตกใจอยู่ก็รีบวิ่งตามลู่หว่านเอ๋อร์ออกจากประตูไปทันที
“อ๋า? ที่แท้ปีก็คือปีก่อนที่เล่าลือกันว่าถูกมารแทรกจนเสียสติ ลู่หว่านเอ๋อร์คุณหนูใหญ่ตระกูลลู่เมืองฝานลั่วนี่เอง!”
“จริงหรือ ตอนนี้นางหายป่วยแล้ว?”
“ดีอย่างไรก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรคิดหวัง จะว่าไป ผู้ใดจะไปรู้ว่าจะบ้าอีกไหม!”
“ก็จริงนะ จุ๊ๆ ตระกูลลู่ว่ากันว่ามีลูกสาวคนเดียว หากไม่บ้าจะดีสักเพียงไหนนะ มีทรัพย์สมบัติสามชาติก็ใช้ไม่หมด!”
“เชอะ ไม่บ้าก็ไม่ใช่คนที่เจ้าจะวาดหวังได้หรอก คิดถึงตอนนั้นมีคุณชายรูปงามเท่าไรมาเฝ้าหน้าประตูตระกูลลู่ไม่ขาด ว่ากันว่าทุกวันนางมีนัดกับคุณชายไม่ซ้ำหน้า เรียกได้ว่าปีหนึ่งไม่ซ้ำคนเลยทีเดียว”
“จริงหรือเท็จเนี่ย ตอนนี้นายท่านตระกูลลู่ทำไมไม่หาลูกเขย คนไม่ถือสาคุณหนูลู่เสียสติควรจะมีอยู่บ้างหรอกนะ”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตระกูลลู่ไม่คิดหา”
“ทำไม ไม่มีคนยอมแต่งด้วย? ในเมื่อคุณหนูลู่เสียสติแล้ว อย่างนั้นทรัพย์สินตระกูลลู่ก็ย่อมตกในมือเขาแล้วนี่”
“เช่นนั้นเจ้าก็ไม่รู้อะไรเสียแล้ว ข้าได้ยินจากญาติข้าที่ทำงานรับใช้ตระกูลลู่ในเมืองฝานลั่วเล่าว่า ตระกูลลู่หลายปีนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว โดยเฉพาะหลังจากปีก่อนมา กิจการร้านค้าก็ซบเซาลงผิดปกติ ที่บ้านยังโดนโจรเข้าอีก เหลือแต่เปลือกนานแล้ว”
“อ๋า? มิน่า…”
“ไม่แน่ ตระกูลลู่อาจไปล่วงเกินเทพองค์ใดเข้าแล้ว…”
“ดังนั้นจึงว่า ไปหาแม่นางที่ปกติสงบสุขดีกว่า ชีวิตลำบากก็ลำบากไป อย่างไรก็ลำบากก่อนจะได้ลิ้มรสหวานล้ำไม่ใช่หรือ แต่หากแต่งเข้าตระกูลลู่ เสียเกียรติไม่ว่า ยังไม่รู้ว่าวันไหนจะล้มละลาย ตอนนั้นยังต้องโดนคุณหนูใหญ่ไร้ประโยชน์คอยถ่วงอีก ใช่ว่าจะยิ่งลำบากหรือ!”
“ใช่ๆๆ พี่ชายกล่าวได้มีเหตุผล…”
“เช่นนี้ คิดเรื่องพวกนี้ไปๆ มาๆ แล้ว ข้าไตร่ตรองกระจ่างตั้งแต่ปีก่อนแล้ว ฮา ฮา…หากข้าแต่งเข้าตระกูลลู่จริง ไหนเลยจะให้เจ้ามามัวถามอยู่ในวันนี้กัน…”
“…”
……
“คิดว่าหลังจากเรื่องราววันนี้ ลู่หว่านเอ๋อร์นั่นก็คงไม่มาตอแยแล้ว”
“ก็ใช่น่ะสิ ผู้ใดให้นางมีวันเวลาดีๆ ไม่รู้จักใช้ชีวิต แล่นมาหาเรื่องอาจารย์กับอาจารย์หญิง!”
“อืม เหมือนพวกเราแล่นมาหาเรื่องนะ ที่นี่อย่างไรก็เมืองฮ่วนซา ที่ตั้งจวนพักตากอากาศตระกูลลู่”
“เชอะ หากอาจารย์กับอาจารย์หญิงอยากได้ อย่าว่าแต่เมืองฮ่วนซา ในเมืองก็สร้างจวนพักตากอากาศได้ไม่ใช่หรือ?!”
“ก็จริง! ดังนั้น”
“หาเรื่องใส่ตัวเอง!”
“ฮา ฮา ฮา…”
……
พออำลาจากต้าเป่า ทุกคนก็แยกกันขึ้นรถม้า
“หนึ่งปีก่อน…” ซูสุ่ยเลี่ยนกล่อมหลินเซียวหลับ กำลังเล่นกับหลินหลงอยู่ นางถามหลินซือเย่าข้างกายเบาๆ ถึงวาจาที่ต้าเป่ากับซือถูอวิ๋นพูดกันที่ร้านสุรา แม้นางฟังไม่จบแต่ก็พอเดาได้แล้ว
“ถูกต้อง ศีรษะนางข้าโกนเอง นางตกใจจนเสียสติ คิดไม่ถึงว่าฟื้นคืนได้เร็วเช่นนี้” หลินซือเย่าพยักหน้ายอมรับ หากไม่ใช่ถูกสุ่ยเลี่ยนรั้งไว้ เขาไม่ถือสาที่จะให้อีกฝ่ายได้เสียสติไปอีกสักสามปี
“อาเย่า!” ซูสุ่ยเลี่ยนอึ้งไปทันที ลมหึงก่อนหน้าพัดมาเสียเปล่าแล้ว ชายตรงหน้าไหนเลยจะใจอ่อนกับสตรีอื่น โดยเฉพาะคนที่ล่วงเกินเขา เขาย่อมไม่ปล่อยไว้
“กลัวไหม ข้าลงมือย่อมไม่ไว้หน้า ยิ่งไม่ทะนุถนอมหยกงาม” หลินซือเย่ารั้งนางเข้าสู่อ้อมกอดตนเองพลางถามน้ำเสียงนิ่งเรียบ แต่ไรมาเขาก็นิสัยเช่นนี้ ผู้อื่นไม่ล่วงเกินเขา เขาก็ไม่ล่วงเกินผู้อื่น หากผู้ใดล่วงเกินเขา เขาย่อมเอาคืนร้อยเท่า ไม่ว่าหญิงหรือชาย แน่นอนว่าคนละเรื่องกับรับเงินแล้วให้เขาฆ่าหรือช่วย
“เจ้าอย่าทำกับข้าและลูกๆ ก็พอแล้ว” ซูสุ่ยเลี่ยนอมยิ้มตอบกลับ เขานี่นะ เอาใจนางจนเสียคนแล้ว ไม่ว่าดีหรือเลว ขอเพียงนางเป็นคนทำ เขาย่อมยอมรับได้หมด
“ใช่ ถูกเจ้ากินเรียบแล้ว…” หลินซือเย่ากัดลำคอขาวผ่องนุ่มละมุนของนาง งึมงำน้ำเสียงอ่อนโยน