ตอนที่ 116 เมืองหลวงก่อนเกิดเหตุ

เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา

ดีที่หลังจากเรื่องลู่หว่านเอ๋อร์ ตลอดทางมาก็ไม่ได้มีเรื่องเหนือความคาดหมายที่ทำให้การเดินทางต้องล่าช้าอีก

ช่วงสายวันที่ห้าเดือนสาม ทั้งขบวนก็เดินทางมาถึงเมืองท่าเล็กๆ ใกล้เมืองหลวงเฟิงเฉิง…เมืองเยว่ขุย

“พักที่นี่ก่อน กินอาหารเที่ยงแล้วค่อยออกเดินทาง” รถม้าเคลื่อนขบวนมาถึงร้านอาหารที่นับว่าสะอาดพอควร รอให้ทุกคนลงจากรถแล้ว หลินซือเย่าก็สั่งการคนขับรถให้จอดที่นี่

“เสี่ยวเอ้อร์ เอาชาร้อนมากานึง” ซือถูอวิ๋นตะโกนสั่ง

“ได้เล้ยยย” เสี่ยวเอ้อร์เห็นแขกมากันเต็มสองโต๊ะ ก็ฉีกยิ้มปากไม่หุบ รีบนำกาน้ำชาร้อนสองกามาขึ้นโต๊ะ ยังแถมเมล็ดทานตะวันของกินเล่นซึ่งเป็นของดีเมืองเยว่ขุยโต๊ะละจานอีกด้วย

“ทุกท่านมาจากต่างถิ่นกระมัง มาเมืองหลวงพวกเราฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษาฮ่องเต้หรือ” เสี่ยวเอ้อร์เช็ดโต๊ะก่อนจะสะบัดพาดบ่า หาหัวข้อสนทนาแสดงการต้อนรับอย่างอบอุ่น

ยามนี้ยังไม่ใช่เวลาอาหารเที่ยงที่คนพลุกพล่านมาก ดังนั้นในร้านนอกจากมีคนนั่งดื่มกินเล่นกันสองสามโต๊ะแล้ว ก็มีแต่พวกหลินซือเย่าแล้ว

“ใช่ ได้ยินว่างานวันเฉลิมพระชนมพรรษาฮ่องเต้ในเมืองหลวงคึกคักมาก ก็เลยเดินทางรอนแรมมาไกลเพื่อมาชมนี่อย่างไร” ซือถูอวิ๋นยิ้มตาหยีตอบ ที่นี่เขาอายุน้อยที่สุด ย่อมต้องทำงานให้คล่องแคล่วหน่อย อ้อ นอกจากทารกแฝดที่ยังพูดไม่เป็น

“เหอๆ นายท่านช่างมีสุนทรีย์ แต่วันเฉลิมพระชนมพรรษาปีนี้คึกคักกว่าปีก่อนหลายเท่า” เสี่ยวเอ้อร์กล่าวถึงตรงนี้ก็หยุดไป แสร้งทำป้องปากอย่างลึกลับ ลดเสียงลงกล่าวกับซือถูอวิ๋นว่า “ข้าได้ยินว่า องค์หญิงสามที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานที่สุดจะหาราชบุตรเขย แหะๆ พี่ชาย ข้าว่าพี่ก็ไม่ธรรมดานะ พรุ่งนี้ไปลองดูสิ หากผ่านได้ ก็อย่าลืมร้านอาหารเล็กๆ ของเราที่นี่ก็พอ”

“…” ซือถูอวิ๋นได้ยินก็ได้แต่อึ้งมอง พลางไร้วาจาหันไปมองซูสุ่ยเลี่ยนข้างที่แอบปิดปากหัวเราะ กับหลินซือเย่าที่ยังคงสีหน้านิ่งไร้ความรู้สึก หากในแววตามีแววยิ้มขำ ข้าดูเหมือนชายที่จะแต่งเข้าบ้านภรรยาหรืออย่างไร ซือถูอวิ๋นสีหน้าฮึดฮัด เขาเพิ่งสิบสาม สิบสามเองนะ จะมาพูดเรื่องแต่งงานก็คงไม่พูดมาถึงเขา

“ระงับความเศร้าเถอะ” หลินซือเย่าพ่นออกมาประโยคหนึ่ง

“อาจารย์ลุง!” ซือถูอวิ๋นเหลือกตามองหลินซือเย่าอย่างแค้นใจ “ข้าไปสั่งอาหาร” ฮือ ฮือ ฮือ ถ้าต้าเป่าอยู่ก็คงดี เป้าหมายเสี่ยวเอ้อร์ย่อมต้องไม่ใช่เขาแน่

ซือถูอวิ๋นลูบใบหน้าอย่างหมดแรง ลุกขึ้นเดินไปโต๊ะเก็บเงิน “เถ้าแก่ มีอะไรอร่อยอร่อยก็ยกออกมาให้ข้าให้หมด”

อย่างไรก็ไม่ใช่เมืองใหญ่ ร้านอาหารในเมืองท่าเล็กๆ นี้มีเนื้อวัวกินก็ไม่เลวแล้ว เนื้อวัวพะโล้จานหนึ่งขึ้นวางทั้งสองโต๊ะ กินกับผัดผักสองสามอย่าง ข้าวอีกคนละชาม ตอนท้องร้องกำลังหิวก็ถือเป็นอาหารที่ไม่เลวอย่างยิ่งแล้ว

พอทุกคนกินได้พอสมควรแล้ว ในร้านอาหารก็เริ่มมีคนเข้ามาสองสามคน

หัวหน้านำมาเป็นชายหนวดเคราดกในชุดสีเข้มไม่ลากยาวแตะพื้นแบบพวกฝึกยุทธ์ พอเข้ามาก็ตะโกนเรียกเสี่ยวเอ้อร์มาสั่งอาหารและสุรา

ด้านหลังมีชายหญิงท่าทางสง่างามอายุราวสี่สิบคู่หนึ่งตามเข้ามา พวกเขาอยู่ในชุดเสื้อผ้าหรูหราสูงศักดิ์

ด้านหลังพวกเขา ยังมีผู้ติดตามแต่งกายแบบองครักษ์ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง

“ยังอึ้งอะไรอยู่อีก เอาอาหารมาสิ!” ชายหนวดเคราดกหันไปคำรามใส่เสี่ยวเอ้อร์ที่อึ้งอยู่

“หลูชิง!” ชายในชุดสง่างามขมวดคิ้วเตือนเบาๆ

ชายหนวดเคราดกได้ยินก็รีบปรับท่าที ลดเสียงลงหลายส่วนสั่งเสี่ยวเอ้อร์ต่อว่า “เสี่ยวเอ้อร์ รีบเอาอาหารมา”

“ได้เล้ยยย นายท่านเชิญนั่งก่อน ข้าน้อยจะรีบไปสั่งการในครัวให้ยกอาหารมา”

มองก่อนหน้าที่เข้ามากันห้าคนนั่งครองโต๊ะกลมตัวใหญ่ด้านหลังสุด เสี่ยวเอ้อร์ไม่เคยต้อนรับแขกมากๆ พร้อมๆ กัน ยามนี้จึงได้สติ ยิ้มร่าวิ่งไปด้านหลังทันที

“อาจารย์ลุง ชายมีหนวดเครานั่นข้ารู้จัก หลูชิง เป็นแม่ทัพมีชื่อเสียงโด่งดังแห่งเซวี่ยหมิง” ซือถูอวิ๋นถือโอกาสเทน้ำชาให้หลินซือเย่าพลางแอบกระซิบรวดเร็ว

“อืม” หลินซือเย่าพยักหน้า คิดไม่ถึง เซวี่ยหมิงส่งคนบางคนมาแผ่นดินต้าหุ้ยแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่ามาทำไมกัน แก้แค้นแทนสิบสองทหารโลหิตเซวี่ยหมิง? หาทางทำให้ชาวเมืองหลวงวุ่นวาย? แต่ย่อมไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาฮ่องเต้ในวันพรุ่งนี้แน่นอน

“ไม่เกี่ยวกับพวกเรา กินเสร็จก็ออกเดินทางกันได้แล้ว” หลินซือเย่าสั่งการน้ำเสียงนิ่งเรียบ

ซือถูอวิ๋นพยักหน้า อยากรู้อยากเห็นก็ส่วนอยากรู้อยากเห็น แต่หนักเบาก็ย่อมแยกแยะได้ เรื่องสำคัญตอนนี้ก็คืออารักขาอาจารย์หญิงกับทารกแฝดกลับจวนอ๋องจิ้ง

……

จวนอ๋องจิ้งตั้งอยู่บนถนนใหญ่เทียนโย่วทางตะวันออกที่ครึกครื้นที่สุดในเมืองหลวง ถนนเทียนโย่วค่อนข้างสงบเงียบห่างกับวังหลวงเพียงกำแพงกั้น

จวนอ๋องจิ้งเดิมเป็นจวนอ๋องหมิงของเหลียงจั่วหมิงผู้เป็นบิดาเหลียงเสวียนจิ้ง ตั้งแต่ต้นราชวงศ์แผ่นดินต้าหุ้ยกำหนดไว้ชัดเจนว่า เพื่อประหยัดเงินทองทางการ สืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดา ให้เปลี่ยนชื่อจวนแล้วก็ใช้ได้ หากใช้อยู่ไปสองรุ่นอายุคนแล้ว ก็จะได้รับเงินบำเหน็จจากการทหารไปรื้อสร้างใหม่ได้

จวนอ๋องจิ้งเป็นจวนที่เปลี่ยนชื่อมาแล้ว ดังนั้นหลังรุ่นเหลียงเสวียนจิ้ง ขอแค่มีความดีความชอบ พอเป็นผู้ใหญ่แล้วก็รื้อสร้างใหม่ได้ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อจวนเก่า ตระกูลเหลียงใช้จวนเดิมมาสองรุ่นแล้ว สำหรับลูกคนอื่นๆ ของเหลียงเสวียนจิ้งอยู่จวนเก่าต่อได้ นอกจากใช้นามส่วนตัวไปซื้อบ้านใหม่ที่อื่น

เหลียงเอินไจ่ตอนนี้อายุไม่เกินสิบเจ็ด หากพูดถึงความชอบย่อมไม่อาจมีอันใดให้กล่าวถึง แต่เขากลับเป็นอ๋องรุ่นใหม่เพียงคนเดียวที่ฮ่องเต้พระราชทานพระราชานุญาตให้รื้อสร้างจวนใหม่ได้ แม้แต่อ๋องเซียงที่อายุมากกว่าปีหนึ่ง และมีรูปโฉมโดดเด่นก็ไม่ได้รับเกียรตินี้

ดังนั้นหลายคนจึงเดาเรื่องเหลียงเอินไจ่ได้รับพระราชทานบำเหน็จพิเศษเช่นนี้จากแผ่นดินต้าหุ้ยไม่หยุด พวกช่างนินทามีอยู่ทุกที่จริงๆ แต่พวกขุนนางชนชั้นสูงส่วนใหญ่คาดเดากันว่าฮ่องเต้มีพระประสงค์ให้องค์หญิงสามที่ทรงโปรดที่สุดออกเรือนไปกับเหลียงเอินไจ่ แน่นอนสาเหตุแท้จริงก็มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้

รถม้าเคลื่อนมายังจวนอ๋องจิ้ง มาหยุดหน้าหินผูกม้า “ท่านเขย จวนอ๋องมีกฎ รถม้าจอดได้แค่ที่นี่ ต้องหยุดเดินรถ ไม่เดินเข้าไปก็นั่งเกี้ยวเข้าไป เกี้ยวเตรียมไว้แล้ว ท่านเขยเชิญ…” คนขับรถมองหลินซือเย่าหน้าตาเย็บเยียบอย่างนึกลำบากใจ เขาก็แค่ทำตามระเบียบจวนอ๋อง ไม่กล้าฝ่าฝืนระเบียบ

“เช่นนั้นก็เปลี่ยนเป็นนั่งเกี้ยวกันเถอะ” ซูสุ่ยเลี่ยนรีบดึงแขนเสื้อหลินซือเย่า พยักหน้าให้คนขับรถม้า

“ขอบคุณคุณหนูสี่ที่เข้าใจ” คนขับรถได้รับอนุญาตจากซูสุ่ยเลี่ยนก็หันไปคำนับนาง ก่อนจะจูงรถม้าไปไว้ด้านหลัง ทำความสะอาดและเลี้ยงม้า พวกคนแบกเกี้ยวสำหรับนั่งสองคนมารออยู่สี่ตัวแล้ว

“จุ๊ๆ ธรรมเนียมจวนอ๋องนี่ไม่น้อยจริงๆ เข้าไปทียังต้องยุ่งยากเช่นนี้ด้วย” ซือถูอวิ๋นเห็นดังนี้ก็ส่ายหน้าไม่หยุด ครั้งก่อนรับคำสั่งอาจารย์ลุงมาเชิญหมอหลวง เขาไม่ได้เข้าทางประตูใหญ่ แต่โดดก้าวกำแพงสูงเข้าจวนอ๋องจิ้งเลย สาวใช้ที่ยกน้ำชาไปตามท่านอ๋องจิ้งที่ห้องหนังสือ ดังนั้นเขาจึงไม่เคยเห็นพิธีการวุ่นวายหน้าประตูพวกนี้

“น้องซวี่เอ๋อร์ๆ ขออภัยที่ไม่ได้ออกมารับ” เหลียงเอินไจ่อมยิ้มส่งเสียงทักทายมาจากด้านหน้า เหลียงเอินไจ่ที่เดินมาถึงย่อมได้ยินเสียงบ่นของซือถูอวิ๋นจึงยิ้มอธิบายว่า “นี่คือธรรมเนียมท่านปู่กำหนดไว้ แก้ไขได้ยาก น้องซวี่เอ๋อร์นั่งเกี้ยวเถอะ น้องเขยเดินไปกับข้าดีไหม”

หลินซือเย่าจ้องมองเหลียงเอินไจ่ประเมินลึกๆ แวบหนึ่ง เจอกันครั้งก่อน ไม่เคยเรียกเขาว่าน้องเขยต่อหน้าคนอื่น ครั้งนี้เป็นอะไรไปหรือเย้าแหย่เขา หรือมีเจตนาอื่นใดแอบแฝง

คิดส่วนคิด แต่ไม่ถาม รอให้พวกซูสุ่ยเลี่ยนขึ้นนั่งเกี้ยวแล้วก็ตามหลังเหลียงเอินไจ่ไปพร้อมกับซือถูอวิ๋นเข้าไปในโถงกลางจวนอ๋องจิ้ง

“ในจวนสองสามวันนี้มีบางอย่างผิดปกติ สงสัยว่ามีสายลับ” ผ่านศาลาน้ำพุที่กลางสวนดอกไม้ เหลียงเอินไจ่ก็ขยับปาก

เสียงน้ำพุแม้ดัง แต่ก็ไม่มีผลต่อการได้ยินของหลินซือเย่า ย่อมฟังที่เหลียงเอินไจ่เตือนได้ชัดเจน

“มาเพราะข้า?” หลินซือเย่าถามอย่างไม่หันหน้ามามอง

“ไม่รู้ เจอสองคนแล้ว ไม่ทันได้ถามก็กัดลิ้นปลิดชีวิตตนเองไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่ามีผู้ร่วมขบวนการอีกไหม” เหลียงเอินไจ่ถือโอกาสพูดท่ามกลางเสียงน้ำพุ บอกเล่าเรื่องราวในจวนอ๋องระยะนี้คร่าวๆ

“เพราะว่าสิบสองทหารโลหิตเซวี่ยหมิง?” หลินซือเย่าอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะขมวดคิ้วถาม “สิบสองทหารโลหิตเซวี่ยหมิงจะเป็นเพียงแต่เหยื่อล่อไหม” เพื่อล่อดูกำลังแท้จริงแผ่นดินต้าหุ้ย จะได้เหวี่ยงแหกวาดทีเดียว

“ก็อาจจะ แต่ไม่อาจสนใจอะไรอีกแล้ว เจ้าระวังตัวให้มากหน่อย ที่พักน้องซวี่เอ๋อร์ ข้าจะส่งคนไปเพิ่ม” เหลียงเอินไจ่เตือนหลินซือเย่าเพราะกังวลถึงเอินซวี่ที่ไร้กำลังปกป้องตัวเองกับทารกแฝด

“ไม่จำเป็น ซือถูอวิ๋นอยู่ เติมกำลังคนแล้วกลับสะดุดตามากกว่า” หลินซือเย่าส่ายหน้า องครักษ์ในจวนเขาเคยเห็น ได้ยินว่าหัวหน้าองครักษ์ร้ายกาจที่สุดในจวนอ๋องพอเจอกับเขา สู้กันไม่ถึงกระบวนท่าเดียว ฝีมือเช่นนี้ ไม่สู้ไม่เอาดีกว่า มาแล้วก็เป็นได้แค่ภาระ

วิทยายุทธซือถูอวิ๋นแม้ไม่เท่าเขากับพวกซือทั่ว แต่ก็เป็นรุ่นอายุน้อยที่ดีที่สุดในหอเฟิงเหยา หลังจากเขาหารือกับซือชงแล้ว ก็เปลี่ยนตัวต้าเป่าออก สุ่ยเลี่ยนกับทารกแฝดเป็นจุดอ่อนเขา ไม่อาจเกิดเหตุผิดพลาดได้

เรื่องอื่นๆ ล้วนเป็นเรื่องรอง

“เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้า ใช่แล้ว วันที่แปดเข้าเฝ้าวันนั้นระวังวังหลวง”

เหลียงเอินไจ่นึกถึงฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน แม้ว่าภายนอกจะสัมพันธ์ดีกับท่านพ่อตน แต่ก็เป็นคนขี้ระแวง เพราะท่านพ่อแต่ไรมานิสัยตรงไปตรงมา ไม่ถือสาเขา คิดว่าคงเป็นเพราะสายสัมพันธ์อันดีแต่ไรมา ระหว่างฮ่องเต้กับบิดา แต่ว่าตนเองไม่เหมือนกัน แม้ว่าฮ่องเต้ภายนอกจะให้ความสำคัญใช้งานตน ไม่เพียงแต่เอ่ยชมต่อหน้าขุนนางบุ๋นบู๊ และยังให้รับอำนาจทางการทหารต่อจากท่านพ่อ ยังมีลายลักษณ์อนุญาตว่าหากเขาอายุครบสิบแปดก็ได้สร้างจวนใหม่ได้

บำเหน็จรางวัลหนักเช่นนี้ทำให้เขามีหน้ามีตา แต่องค์กรจอมยุทธ์ที่เขาบริหารงานก็ควรทำตัวให้สงบเสงี่ยมลงสักหน่อย กลัวว่าฮ่องเต้จะทรงมองอะไรออก

ด้วยเหตุนี้หลังเกิดเรื่องสิบสองทหารโลหิตเซวี่ยหมิง เขาต้องปิดบังการมีอยู่ขององค์กรจอมยุทธ์ แล้วผลักหลินซือเย่าออกมารับหน้าแทนอย่างเห็นแก่ตัว เดิมเพียงแต่คิดว่าจะอาศัยชื่อเทพสังหารของเขาเสียหน่อย ฮ่องเต้ก็คงระแวงที่จะพบเขา แต่กลับเดาความระแวงของฮ่องเต้ที่มีนิสัยหวาดระแวงพลาดไป

แต่ไม่ว่าฮ่องเต้มีพระประสงค์เช่นไร หลินซือเย่าก็ไม่ใช่พวกไร้สมอง คงไม่ตกหลุมพรางฮ่องเต้ง่ายๆ

“พรุ่งนี้งานวันเฉลิม จะมีคนจากเซวี่ยหมิงมาร่วมไหม” หลินซือเย่านึกถึงคนที่เห็นในร้านอาหารเยว่ขุย

“แน่นอนว่าไม่มี ฮ่องเต้เรียกได้ว่าระแวงแผ่นดินเซวี่ยหมิงมาก จะเชิญพวกเขามาได้อย่างไร มีอะไร หรือ” เหลียงเอินไจ่ถามอย่างไม่เข้าใจ หลินซือเย่าแต่ไรมาไม่กล่าววาจาไร้สาระ ในเมื่อถามเช่นนี้ก็ย่อมต้องมีเรื่อง

“ตอนเดินทางมา ได้พบเห็นหลายคนเหมือนว่าเป็นคนแผ่นดินเซวี่ยหมิง” หลินซือเย่าตอบน้ำเสียงราบเรียบ

เหลียงเอินไจ่ขมวดคิ้วครุ่นคิด เพียงแต่เพราะเสียงน้ำพุค่อยๆ เบาลง จึงไม่ได้สนทนาต่อ หาเรื่องที่ไม่สำคัญมาคุยกันแทน ไม่นานทั้งหมดก็มาถึงเรือนที่พักเหลียงเสวียนจิ้ง