บทที่ 99 ตายหรือยังมีชีวิตอยู่?

แก่นผลึกอสูรวิญญาณระดับแปดนั้นไม่ธรรมดา เพียงถือไว้ในมือก็จับสัมผัสชีพจรพลังวิญญาณที่เต้นอยู่ภายในได้

ชิงอวี่เก็บแก่นผลึกไว้ จากนั้นหันไปมองใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่มที่มองนางอยู่ไม่ไกลดูผ่อนคลายลง

นางยกยิ้มมุมปากแล้วเดินไปหาเขา “อย่างไร? ไม่ทำให้เจ้าผิดหวังใช่หรือไม่?”

“แน่นอน นายหญิงแข็งแกร่งไม่เปลี่ยนแปลง” จั้งไหมเอ่ย นัยน์ตาทั้งสองยิ้มหยี “เดิมทีคิดว่านายหญิงคงต้องใช้แรงจัดการอสูรวิญญาณระดับแปดมากสักหน่อย”

ชิงอวี่ยักไหล่ ใครใช้ให้นางมีวัตถุศักดิ์สิทธิ์ติดตัวเช่นนี้เล่า?

“สองคนนั้นเล่า?” เมื่อเห็นว่าเยี่ยนซีโหรวและเยี่ยนซีอู่ไม่อยู่จึงเอ่ยถามขึ้น

“อ้อ อยู่ตรงนั้น!” เด็กหนุ่มชี้

ชิงอวี่มองตามนิ้วเขาไป พบเด็กสาวทั้งสองนอนหลับตาแน่นอยู่ข้างศิลาก้อนหนึ่ง

“ข้าเกรงว่าพวกนางจะขี้กลัว เห็นนายหญิงดุร้ายขึ้นมาแล้วจะกรีดร้องจนสิ้นใจ ข้าก็เลยทำให้พวกนางหมดสติไป” จั้งไหมเอ่ยเสียงขี้เกียจ

“อืม ดี” ชิงอวี่พยักหน้า

แท้จริงแล้วก็ไม่เหมาะจะให้พวกนางเห็นภาพฉากนั้นจริง ๆ ด้วยเพราะมีเรื่องหลายอย่างที่ยากจะอธิบาย

นางนั่งยองลงแตะมือลงบนชีพจรบนคอเสี่ยวเป่ย จากนั้นแหวกเสื้อตรงไหล่เขาออกเพื่อตรวจดูแผล โชคดีที่นางลงมือคุมพิษรวดเร็ว ดังนั้นบาดแผลจึงไม่รุนแรงมาก แต่รอยถูกพิษกร่อนก็ยังดูน่ากลัวไม่น้อย

เมื่อเห็นผิวเรียบลื่นของเด็กหนุ่มปรากฏบาดแผลน่ากลัวเช่นนี้ นับเป็นภาพบาดตานัก

ชิงอวี่ขมวดคิ้ว แม้จะเจ็บไปสักหน่อย…..

นิ้วเรียวงามของนางเรียกเปลวเพลิงโชติช่วงขึ้น จากนั้นปัดเปลวเพลิงนั่นผ่านบาดแผลบนไหล่เล็กน้อย

“อึ่ก…..”

ความเจ็บปวดรุนแรงส่งผลให้ชิงเป่ยสะดุ้งฟื้นคืนสติ

ไฟโลหิตทำความสะอาดแผลและชะล้างพิษออกไปจนสิ้น แม้จะเจ็บปวดเหลือแสน แต่ก็นับเป็นวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้

สายตาสับสนของเด็กหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นกระจ่างในพลัน ร่างกายไม่อาจขยับได้ ประสาทสัมผัสที่อ่อนไหวเด่นชัดมากขึ้น ความรู้สึกเดียวในตอนนี้ที่รับรู้ได้คือความเจ็บปวดเหลือแสน

นอกจากกัดฟันทนความเจ็บปวดแล้วก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้อีก เขารู้ว่าชิงอวี่กำลังช่วยถอนพิษออก

ไม่นานหลังจากนั้น ความเจ็บปวดจากเปลวเพลิงก็สิ้นสุดลง ชิงอวี่มองบาดแผลที่เริ่มสมานตัวและเริ่มตกสะเก็ดแล้วถอนหายใจเบาออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นนางก็หยิบยาบำรุงผิวขึ้นมา เทยาแล้วทาบนบาดแผล มีเจ้านี่ สองวันแผลก็คงหาย

ประสาทสัมผัสชิงเป่ยกลับมา เริ่มรู้สึกว่าร่างกายขยับได้

เขาลุกขึ้นนั่งแล้วเอ่ยเสียงขรึม “พี่ ข้าอดรู้สึกว่าที่นี่ไม่ใช่แค่อันตรายธรรมดาไม่ได้แล้ว”

เดิมทีคนที่เคยมายังหุบเขาพญายมเพื่อบำเพ็ญตนไม่เคยพบเจออสูรวิญญาณประหลาดและทรงพลังเช่นนี้มาก่อน ที่นี่เพียงมีความแปลกประหลาดเหนือที่อื่น อีกทั้งยังอันตรายเหนือระดับมาตรฐานขึ้นมาเพียงเล็กน้อย นับได้ว่าเป็นสถานที่ประหลาดพอที่จะนับเป็นสามสถานที่สุดอันตรายแห่งแคว้น

ได้ยินดังนั้นชิงอวี่ก็พยักหน้าเห็นด้วย “ข้าก็รู้สึกว่าที่นี่ไม่ปกติเช่นกัน เทียบกับคำที่คนอื่นเคยบอกไว้ ทั้งประเภทอสูรวิญญาณและสภาพแวดล้อมที่เราได้เห็นในนี้แตกต่างจากคำบอกเล่าอย่างสิ้นเชิง”

“ข้ารู้สึกว่าเราควรรีบออกจากที่นี่” ชิงเป่ยเอ่ย ใบหน้าเคร่งเครียด “เราได้แก่นผลึกอสูรวิญญาณมามากพอแล้ว แม้จะยังไม่ถึงสิบวันตามกำหนด แต่การรีบออกจากที่นี่ก็เพื่อความปลอดภัยของพวกเราเอง รีบล่าถอยก่อนจะเจอข้ากับสถานการณ์ที่เราไม่อาจรับมือได้จะดีกว่า อีกทั้งเรายังมีตัวถ่วงอีกตั้งสองตัว…..”

ชิงเป่ยพูดสีหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นเหลือบมองเด็กสาวสองคนที่นอนหมดสติอยู่ไม่ไกล

ดูท่าสองคนนั้นจะหมดสติไปตลอดเหตุการณ์ ได้ติดตามชิงอวี่มาบำเพ็ญตนเช่นนี้นับว่าเป็นโชคของพวกนางแล้วที่ได้อยู่อย่างปลอดภัย หากเป็นเขาคงทิ้งพวกนางไว้จะได้ไม่เก็บเป็นตัวภาระ

ชิงอวี่ยิ้มอ่อน “คำนวณดูน่าจะผ่านไปหกหรือเจ็ดวันได้แล้ว รอจนถึงยามเหม่าแล้วเราก็ออกไปเถอะ!”

หลังจากปลุกเยี่ยนซีโหรวและเยี่ยนซีอู่แล้ว คนทั้งหมดก็พากันรีบเดินทางออกจากสถานที่นี่ทันที ทิ้งโครงกระดูกของอสูรวิญญาณร่างยักษ์ไว้เบื้องหลัง

หลังจากพวกนางจากไปได้ไม่นาน พื้นดินตรงนั้นก็เกิดแรงสะเทือนรุนแรง ที่ราบที่เต็มไปด้วยรอยแตกเริ่มยกตัวขึ้นสูง ศิลาและหินรูปร่างประหลาดทั้งหลายพากันไหลลง คล้ายกับไหลลงหุบเขาลึก ไร้แม้แต่ฝุ่นตลกขึ้นมาสักเม็ดก็ไม่มี

พริบตาต่อมา รอยแตกบนผืนดินแห้งผากยังคงเลื่อนออกจากกันเรื่อย ๆ ค่อย ๆ เผยพื้นผิวเรียบลื่นที่ซ่อนอยู่ภายใน ที่ราบไร้ขอบเขตนั้น แท้จริงแล้วเป็นหลังของอสูรยักษ์ตนหนึ่งต่างหาก!

เป็นอสูรที่มีขนาดใหญ่กว่าตะขาบปีศาจยักษ์หลายร้อยเท่า!

คล้ายกับมันนอนพักอย่างสงบอยู่ใต้ผืนพิภพ พลันถูกปลุกตื่นจากห้วงฝัน สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่เริ่มมีชีวิตอยู่บนหลังมันต่างพากันร่วงหล่นลงจากหลังอันใหญ่โตของมัน

มันมีร่างขนาดสูงและใหญ่โต มีแขนขาแข็งแรงและยืดยาวสี่ขา มีหัวเป็นมังกร ตัวเป็นสิงห์ ดูน่าประหลาดนัก ที่กลางหน้าผากคือเขาหนาปลายคมกริบ ดูทรงพลังไม่น้อย นัยน์ตากระจ่างเปล่งประกายด้วยแววฉลาดเฉลียว ลมหายใจอุ่นกรุ่นพ่นออกจากจมูกทั้งสองข้าง ที่มุมปากมันคล้ายกับยกยิ้มราวกับรอยยิ้มมนุษย์ ผู้ใดมองแล้วต้องขวัญผวา

มันมองโครงกระดูกตะขาบปีศาจนิ่ง แม้โครงนั่นจะไร้ชีวิต แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวและความเศร้าโศกเสียใจหลงเหลืออยู่

อสูรขนาดมหึมาราวกับส่งเสียงหัวเราะในลำคอเสียงดังก้อง จากนั้นยกอุ้งมือขึ้นฟาดโครงกระดูกตะขาบปีศาจจนแหลกสลายกลายเป็นผุยผง ท้ายที่สุดจึงถูกสายลมพัดปลิวไปไม่เหลือซาก

ดวงตามันมองตรงไปข้างหน้า ไม่อาจอ่านความหมายเบื้องหลังนัยน์ตาคู่นั้นได้

—–

หนทางด้านหน้านั้นปลอดภัยกว่ามาก พวกนางไม่เจอสิ่งประหลาดอันใดอีก

อีกทั้งยังโชคดีนักที่ระหว่างทางสามารถจับกระต่ายเปรียวสวรรค์ระดับต่ำได้สองตัว

ที่มีชื่อนั้นเป็นเพราะพวกมันคือกระต่ายที่สามารถบินหรือดำดินได้ เป็นสิ่งมีชีวิตที่หลบหนีเก่งยิ่งนัก แต่โชคร้ายนักที่ต้องมาพบกับชิงอวี่ นางใช้เข็มทองปักพวกมันติดกับพื้นจนไม่อาจหนีได้ ได้แต่ส่งสายตาน่าสงสารมายังนาง

ชิงอวี่มองเมินสายตาเหล่านั้น แต่ด้วยระดับที่ต่ำมากมันจึงไม่มีแก่นผลึก หากไม่จับมาย่างกินจะถูกจับไปทำอะไรได้อีก?

นอกจากตัวใหญ่กว่ากระต่ายทั่วไปเล็กน้อยแล้ว กระต่ายเปรียวสวรรค์ก็ไม่มีสิ่งใดผิดแปลกไปอีก แต่เมื่อนางเห็นชิงอวี่ล้วงไส้ถลกหนังเจ้ากระต่ายเพื่อนำมาย่างกินอย่างชำนิชำนาญแล้ว เยี่ยนซีโหรวก็อดมองตาค้างไม่ได้ ครั้งก่อนที่นางกินเนื้อหมูขนแหลม ทำเอานางกินอะไรไม่ลงไปหลายวัน วันนี้นางจึงหวังอยากกินเนื้อบ้าง

เมื่อเห็นชิงอวี่เตรียมเจ้ากระต่ายตรงหน้า และชิงเป่ยสร้างเพิงย่างไว้แล้ว เยี่ยนซีโหรวจึงรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย “เหตุใดพวกเจ้าสองคน….. จึงดูเชี่ยวชาญเรื่องแบบนี้นัก? พวกเจ้าไม่เคยออกมาเช่นนี้มาก่อนเลยนี่นา”

ในสายตานาง ชิงเป่ยเป็นเด็กพิการร่างกายอ่อนแอที่ลากร่างขาพิการจองตนไปไหนมาไหนได้ มีเพียงสติปัญญาที่ฉลาดเฉลียวอยู่บ้าง ส่วนชิงอวี่เป็นเด็กสาวขี้กลัวที่ไม่รู้สิ่งใด เป็นเพียงแจกันประดับที่แม้ถูกรังแกก็ไม่กล้าตอบกลับหรือปัดป้อง

ทว่า….. ความเปลี่ยนแปลงของคนทั้งสองนั้นราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน หากไม่ใช่ว่านางกำลังจ้องหน้าพวกเขาอยู่ก็อาจคิดว่าทั้งสองคนเป็นคนอื่นปลอมตัวมาก็เป็นได้!

ชิงอวี่เหลือบมองนาง ท่าทางขบขัน “หากครั้งแรกไม่ลองทำ ครั้งต่อไปก็ไม่อาจทำได้ ออกมาข้างนอกเจ้าต้องพึ่งพาตนเอง ไม่ใช่พึ่งพาคนอื่น เจ้าดูนั่น…..”

เยี่ยนซีโหรวมองตามสายตานางไป เห็นว่าเยี่ยนซีอู่เดินไปไกล กำลังก้มลงเก็บกิ่งไม้และท่อนไม้เล็ก ๆ อยู่ เห็นเช่นนั้นแล้วใบหน้านางก็เริ่มมีความละอายใจผุดขึ้น

คนอื่นลงมือทำ นางกลับนั่งรอกิน เช่นนี้ไม่สมควรนัก นางไม่กล้าเงยหน้ามองชิงอวี่ด้วยซ้ำ ได้แต่ลุกขึ้นเดินไปช่วยเยี่ยนซีอู่เก็บไม้ เทียบกับครั้งก่อนที่นางดื้อดึงไม่ยอมทำ ครั้งนี้นางกลับลุกออกไปช่วยด้วยตนเอง

ชิงอวี่หลุบตาลงยิ้มกับตนเอง มือยังไม่หยุดเตรียมกระต่าย หลังจากยัดเครื่องเทศไว้ในตัวกระต่ายแล้ว นางก็เอาท่อนไม้แหลมแทงร่าง ตระเตรียมเสร็จก็เอาไปย่าง เหลือเพียงรอให้มันสุกเท่านั้น

เยี่ยนซีอู่ที่อยู่อีกด้านกำลังอุ้มกิ่งไม้กองหนึ่งอยู่ในมือ นางกำลังจะเดินกลับไป แต่กลับมีบางอย่างคว้าขานางไว้ ทำให้นางสะดุดจนเกือบล้มคะมำไป

นางรีบทรงตัวแล้วมองลงไป แต่ฟ้ามืดเกินกว่านางจะเห็นสิ่งใดได้ชัด ดังนั้นนางจึงนั่งยองลงเอามือสัมผัสแทน เป็นบางอย่างทั้งนิ่มและอุ่น เมื่อสัมผัสไปถึงสิ่งที่คล้ายนิ้วยาว ทั้งร่างของนางก็แข็งค้างไป

เยี่ยนซีอู่นั้นอารมณ์สงบนิ่งไม่โหวกเหวกโวยวายมาตั้งแต่เด็ก ไม่ขี้ขลาดเหมือนเด็กสาวคนอื่น ๆ ดังนั้นเมื่อนางรู้ว่ากำลังสัมผัสแขนคน นางก็ไม่ได้กรีดร้องเสียงดังออกมาแต่อย่างไร

บังเอิญว่าพริบตานั้นเมฆที่บดบังแสงถูกลมพัดปลิวไปไกล เยี่ยนซีอู่จึงเห็นใบหน้าซีดขาวของชายคนหนึ่งภายใต้แสงจันทร์ นางสะดุ้งเฮือก ถอยหลังไปหลายก้าว จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงสะท้านน้อย ๆ “พวก….. พวกเจ้ารีบมาดูนี่!”

เยี่ยนซีโหรวอยู่ไม่ไกลจากนางนักจึงเดินตรงมายังนางเป็นคนแรก จากนั้นก็กรีดร้องเสียงบาดแก้วหูขึ้น “กรี๊ดดด! ศพ! เป็นศพคน!”

“…..”

การเห็นศพคนในสถานที่เช่นนี้มันดูแปลกมากเลยหรือ….. เห็นแล้วจึงต้องกรีดร้องถึงปานนั้น?

ชิงอวี่และชิงเป่ยได้ยินเสียงร้องจึงเดินมาดู

นางมีสายตาที่มองเห็นได้ดีในความมืด ดังนั้นจึงเห็นเจ้าสิ่งนั้นเด่นชัดกว่าใคร

เป็นชายผู้หนึ่ง ครึ่งตัวถูกฝังอยู่ในดิน มีเพียงส่วนหัวและแขนทั้งสองข้างที่โผล่ขึ้นมา ใบหน้าเขาขาวซีดจนน่ากลัว หากแต่มีใบหน้าหล่อเหลางดงามนัก

เขาถูกฝังอยู่ใต้ดินเช่นนี้ แต่เหตุใดจึงมีท่าทาง….. ผิดธรรมชาติเช่นนี้?

เขานอนเอนหลังสบายอารมณ์ แขนทั้งสองข้างกางออกอย่างสบาย ๆ บนใบหน้าไม่ปรากฏความหวาดกลัวหรือความเจ็บปวดใด และหากใบหน้าไม่ซีดขาวจนดูน่าขนลุก ใครมาเห็นก็คงคิดว่าเขาเพียงนอนอาบแสงจันทร์เท่านั้น

ชิงอวี่คิ้วกระตุก นับเป็นมนุษย์คนแรกที่พวกนางพบตั้งแต่เดินทางเข้าหุบเขาพญายมมา แต่แปลกนัก เหตุใดจู่ ๆ ชายคนนี้จึงโผล่มาแบบนี้ได้?

นางนั่งลง ยื่นมือไปอังใต้จมูกเขา เมื่อลองแตะที่ตัวเขาดู นัยน์ตาหงส์แฉลบขึ้นของนางก็เบิกกว้าง ยังหายใจหรือ? อีกทั้งผิวกายยังอุ่นอยู่เลย?!

นางนั่งตกใจอยู่เช่นนั้น เป็นตอนที่ชายหน้าซีดสูดจมูกเล็กน้อย เมื่อเยี่ยนซีโหรวกรีดร้องเสียงผวาออกมาอีกครา เขาก็ลืมตาขึ้น “หอมจริง”

ทันใดนั้นนัยน์ตาสีดำสนิทดูหล่อเหลาก็หมุนกลับไปด้านใน ร่างของเขาพุ่งขึ้นมาจากดิน จากนั้นพุ่งเข้าใส่ทิศทางหนึ่ง…..