บทที่ 100 หากมีเรื่องประหลาดย่อมต้องมีสิ่งชั่วร้ายกำลังคืบคลาน

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 100 หากมีเรื่องประหลาดย่อมต้องมีสิ่งชั่วร้ายกำลังคืบคลาน

กระต่ายย่างเนื้อฉ่ำสองตัวที่กำลังย่างอยู่เหนือกองไฟ ตอนนี้ส่งกลิ่นหอมยวนใจนัก เนื้อมันเพิ่งสุก น้ำมันจากเนื้อเริ่มหยดลงพื้น

ชายผู้นั้นเคลื่อนกายดั่งสายลม เอื้อมกรงเล็บชั่วร้ายไปยังกระต่ายย่าง หากแต่ถูกกิ่งไม้เขวี้ยงมาสกัดกั้นไว้ เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด จากนั้นตวัดมองด้วยสายตามุ่งร้าย

ในมือชิงอวี่ยังมีท่อนไม้ขนาดพอดีมืออีกท่อน ร่างของนางเดินเข้ามาช้า ๆ ใช้ปลายท่อนไม้แตะมืออีกข้างตนเป็นจังหวะ จากนั้นเอ่ยถามชายผู้นั้นด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ยังจะกล้ามองหน้าข้าอีกหรือ? กระต่ายพวกนั้นเป็นข้าจับมา เป็นข้าถลกหนังพวกมัน เจ้าคิดอยากกินมันได้ขอข้าก่อนหรือไม่?”

“ถูกต้อง! หยิบไปไม่ขอเท่ากับขโมย หน้าตาก็ดูดีมีสกุล แต่กลับไร้ยางอายไร้หลักคุณธรรม” เยี่ยนซีโหรวเอ่ยขึ้นเสียงขุ่นเคือง

นางจ้องกระต่ายพวกนั้นตาเป็นมันมานาน! นางจะปล่อยคนแปลกหน้าที่มาจากไหนไม่รู้มาชิงเอากระต่ายของนางไปได้อย่างไร?

เยี่ยนซีโหรวเพิ่งจะพูดจบประโยคเมื่อนัยน์ตาสีดำสนิทของชายผู้นั้นตวัดมาทางนาง นัยน์ตาเขามีพื้นที่สีขาวน้อยมาก ม่านตาดำใหญ่กว่าปกติ มองใกล้ ๆ แล้วน่าขนลุก แม้ใบหน้าจะดูดีหล่อเหลา แต่นางก็อดกระเถิบเข้าไปใกล้ชิงอวี่ไม่ได้

คนทั้งหมดจดจ้องที่ชายผู้นั้นด้วยสายตาระแวดระวัง เกรงว่าอีกฝ่ายอาจทำการโจมตีพวกเขากระทันหันขึ้นมา

แต่เมื่อชิงอวี่เอ่ยคำเหล่านั้นออกมา ชายหนุ่มก็ไม่คิดจะลงมืออันใดกับเนื้อกระต่ายอีก เพียงแต่นั่งนิ่งมองน้ำมันเสียงฉ่า ๆ บนเนื้อกระต่ายย่างนุ่มฉ่ำต่อไปเท่านั้น ลูกกระเดือกที่คอขยับไปมา กลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความอยากกิน

ทั้งท่าทางและการกระทำแปลกประหลาดเหลือทน แต่หากจะพูดว่ามีจุดใดที่แปลกก็ไม่อาจบอกได้อย่างชัดเจน

เยี่ยนซีโหรวถูแขนตนแล้วเอ่ยเสียงเบา “คนผู้นี้มันอะไรกัน? เขาจะอยู่อย่างนี้ไม่ไปไหนเลยหรือ? หรือคิดจะขอแบ่งอาหารจากพวกเราด้วย?”

เมื่อเห็นว่าแขกไม่ได้รับเชิญที่โผล่มาจากที่ใดไม่อาจรู้ได้ทำเพียงนั่งจ้องเนื้อกระต่ายนิ่งไม่พูดไม่จา ชิงอวี่ทำเพียงเลิกคิ้วขึ้นสูงมองเขา จากนั้นเมินเขาไป นางพลันหยิบมีดขึ้นมาเฉือนเนื้อกระต่ายอยู่หลายครั้งให้บางลงเพื่อให้ย่างได้ง่ายขึ้น ส่วนชายผู้นั้นทำเพียงจ้องนางเขม็ง

เป็นภาพแปลกประหลาดยิ่ง

ชิงเป่ยเห็นแล้วก็เป็นกังวลในใจ เอนตัวไปใกล้เด็กสาว จากนั้นเอ่ยเสียงเบา “พี่ ชายผู้นี้จู่ ๆ ก็ปรากฏตัว ครึ่งตัวถูกฝังในดินราวกับคนตาย เท่านี้ก็แปลกพอแล้ว ตอนนี้ยังนั่งจ้องกระต่ายย่างเนื้อฉ่ำตาเขม็งราวกับคนเสียสติไม่กระดุกกระดิก เช่นนี้น่ากลัวมากท่านรู้หรือไม่?”

ชิงอวี่เฉือนขากระต่ายออกแล้วส่งให้เขา เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ต้องสนใจเขา เมื่อถึงยามเหม่า พวกเราก็เดินทางออกไปกัน”

ชิงเป่ยขมวดคิ้ว คว้าขากระต่ายมากัด เนื้อกระต่ายย่างเคล้ากับเครื่องเทศพิเศษนั้นเนื้อนุ่มและอร่อย น่ากินยิ่งนัก แต่ด้วยในใจยังเป็นกังวลจึงกินแล้วไม่รู้รสเนื้อมากนัก

ที่อีกด้านหนึ่ง เยี่ยนซีโหรวเองก็จ้องเนื้อกระต่ายตาเป็นมัน กระทั่งชิงอวี่ส่งต้นขากระต่ายมาให้นางจึงยิ้มพอใจ กระทั่งเยี่ยนซีอู่ยังกัดเนื้อกระต่ายกิน เป็นภาพหายากนัก ไม่รู้ว่าชิงอวี่ปรุงเนื้อกระต่ายอย่างไร กระทั่งส่วนที่มีมันมากยังไม่มันเยิ้ม แต่กลับนุ่มและส่งกลิ่นหอมยิ่ง

สายตาของชายผู้นั้นที่ทำท่าทางแปลก ๆ ดูเหมือนจะลึกล้ำขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับมีพายุกำลังโหมกระหน่ำอยู่ภายใน จนกระทั่งต้นขากระต่ายเนื้อแน่นถูกส่งมาตรงหน้า ใกล้เสียจนเขาได้กลิ่นหอมยั่วใจลอยมา

ชายผู้นั้นชะงักค้างไปในพลัน จากนั้นค่อยเงยหน้ามองนาง

“กินเสีย ข้ารู้ว่าเจ้าหิว แต่ต่อไปอย่าชิงของจากผู้อื่นเช่นนี้อีก หากเจอคนใจร้ายเข้าพวกเขาคงตีเจ้าไปแล้ว” ชิงอวี่เอ่ยเสียงสบาย เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

ไม่เพียงแต่ชายผู้นั้นที่ชะงักไป แต่คนอื่น ๆ ก็ชะงักไปด้วยเช่นกัน

ใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าเขาจะมีการตอบสนอง มือเขาคว้าขากระต่ายมากัดคำใหญ่ ดูท่าทางหิวโซ

ความเร็วในการกัดกินเนื้อของเขาทำให้คนมองตะลึงไป เป็นเพราะเจ้ากระต่ายไม่ได้ได้ตัวเล็ก อีกทั้งขามันยังมีขนาดค่อนข้างใหญ่ พวกเขายังไม่ทันกินส่วนของตนเองหมดไปครึ่งหนึ่ง แต่เขากลับกินเนื้อส่วนตนเองจนเกลี้ยงไม่เหลือเนื้อติดกระดูก อีกทั้งยังกัดกระดูกแล้วเคี้ยวกร้วมๆ กลืนลงคอไปจนหมดในพริบตาเดียว

“…..” คนผู้นี้ไม่ได้กินเนื้อมานานเท่าไรกัน?

ชิงอวี่คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นส่งเนื้อกระต่ายที่เหลืออยู่อีกครึ่งให้เขา เนื้อกระต่ายชิ้นนี้มากพอสำหรับคนสามคนกินเลยทีเดียว

เป็นไปดังคาด ชายผู้นั้นกินเนื้อกระต่ายจนหมดภายในไม่กี่คำ อีกทั้งยังใช้เวลาเพียงชั่วพริบตา คนอื่น ๆ มองด้วยความประหลาดใจจนลืมกิน ทำเพียงมองเขาตาค้างเท่านั้น

เมื่อเห็นว่าเขากินอิ่มแล้ว ชิงอวี่จึงถามขึ้น “เจ้าเป็นใคร? เหตุใดร่างจึงถูกฝังอยู่ใต้ดินได้?”

อาจเป็นเพราะนางมอบอาหารให้เขา สายตาของชายผู้นั้นจึงไม่ได้ดุร้ายอีกต่อไป ใช้เวลาครู่หนึ่งน้ำเสียงแหบพร่าจึงตอบกลับมาคำหนึ่ง “นอน”

ชิงอวี่ได้ยินก็ชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ดึงสติตนเองกลับมาอย่างรวดเร็ว “เจ้าจะบอกว่าเจ้าไม่ได้ถูกฝัง แต่กำลังนอนอยู่งั้นหรือ?”

ชายผู้นั้นพยักหน้า

“แล้วเหตุใดต้องฝังร่างในดินแล้วนอนเล่า?” ชิงอวี่ไม่รู้จะเอ่ยคำใด เป็นนิสัยที่ประหลาดโดยแท้

สายตาชายผู้นั้นที่มองมาทางนั้นดูถากถางเล็กน้อย ราวกับเมื่อครู่นางถามคำถามไร้สาระ แต่ก็ยังตอบมาคำหนึ่ง “สบาย”

“…..” เดี๋ยวนี้มีคนแปลก ๆ ที่ชอบทำสิ่งแปลก ๆ อยู่มากกระมัง คนผู้นี้ชอบเลียนแบบคนตายด้วยการฝังตัวเองลงในดิน

“แล้วเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” ชิงอวี่จึงถามสิ่งที่ค้างคาในใจมานาน ว่ากันตามเหตุผล จุดที่เขานอนอยู่นั้นคือเส้นทางที่พวกนางเดินทางผ่านมาแล้ว เหตุใดจึงไม่มีใครเห็นเขาเมื่อก่อนหน้า?

ดูท่าชายผู้นั้นจะรำคาญเล็กน้อย แต่ก็ยังรู้ดีว่าทานของเขาแล้วอย่าปากดี ดังนั้นครั้งนี้จึงพูดออกมาหลายคำหน่อย “ข้าตื่นมาก็มาอยู่ที่นี่แล้ว”

“เจ้ามาจากที่ไหน?”

“ข้าจำไม่ได้”

“…..”

มีคำกล่าวที่ว่า “คุยไม่ถูกคอ ครึ่งคำยังไม่อยากเอ่ย” ดูท่าสถานการณ์ตอนนี้จะเป็นเช่นนี้ ชิงอวี่ไม่เคยถูกกระทำเช่นนี้มาก่อน ไม่ว่านางจะคุยเก่งเลิศเลอเช่นไรก็คงไม่อาจคุยกับชายผู้นี้รู้เรื่องได้

แต่อย่างไรก็เป็นเพียงคนผ่านทาง ออกจากที่นี่ไปคงไม่อาจเจอกันอีก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องอันใดนัก

ยามท้องอิ่มสบายกันแล้ว พวกนางจึงนั่งล้อมกองไฟพักเอาแรง สลับกันเฝ้าเวรยาม ด้วยมีแขกไม่ได้รับเชิญมาอีกคนหนึ่ง ดังนั้นพวกนางจึงระมัดระวังกันมาก

ชายประหลาดผู้นั้นไม่เข้ามาใกล้อีก เพียงแต่มองพวกนางอยู่ไกล ๆ อาจเพราะเขาได้นอนเต็มตื่น นัยน์ตาเขาจึงเบิกกว้างมองพื้นที่รอบข้างด้วยความประหลาดใจราวกับเด็กไม่รู้ความ

สักพักหนึ่ง ดวงตาเขาก็เริ่มปิดลง อาจเพราะเริ่มเหนื่อยล้ากระมัง จากนั้นเขาก็หลับตาลง นอนหลับไปในที่สุด

เมื่อถึงยามเหม่า พวกนางก็จะออกจากที่นี่

หากแต่พวกนางคิดไม่ถูกว่าอุโมงค์ทางเข้าหุบเขาพญายมนั้นได้หายไปแล้ว ส่วนสภาพภายในหุบเขาก็เปลี่ยนแปลงไปมาไม่หยุด กลายเป็นยามราตรีไม่อาจเห็นแสงตะวัน เวลาสองชั่วยามที่แสงปรากฏไม่มีอีกต่อไป ทั่วทั้งหุบเขาถูกกลืนลงใต้ดิน

เวลาค่อย ๆ ไหลผ่านไปเรื่อย ชิงอวี่นั่งลงทำสมาธิ แม้ดวงตานางจะปิดสนิท แต่ภายในใจนางเห็นทุกสิ่งอย่างชัดเจนยิ่ง

ยามนางลืมตาขึ้นอีกครั้งแล้วพ่นลมหายใจที่หนักหน่วงออกไป คิ้วนางก็ขมวดเข้าหากัน เงยหน้ามองฟ้ามืดด้วยความเคร่งเครียด เหตุใดฟ้าจึงไม่เปลี่ยนสีไปเลย? ตามที่นางคำนวณ ตอนนี้ควรจะเป็นยามอิ๋นสามเค่อแล้ว ซึ่งเป็นเวลาใกล้สว่าง หากแต่ไม่เพียงท้องฟ้าไร้การเปลี่ยนแปลง แต่มันกลับยิ่งดูดำมืดกว่าเดิมอีกต่างหาก

ในใจนางพลันรู้สึกถึงลางไม่ดี นางรีบเดินไปหาคนอื่น ๆ ทันที

“เกิดอะไรขึ้น…..” เยี่ยนซีโหรวเอ่ยขึ้นเสียงเกียจคร้าน ยกมือขึ้นถูตาที่ยังงัวเงียของตน

ชิงเป่ยตื่นเต็มตาในพลัน ส่วนเยี่ยนซีอู่เองก็ดูได้พักผ่อนเต็มที่แล้ว ทั้งสองมองมายังนางด้วยความสงสัย

“เราอาจจะออกไปไม่ได้แล้ว” ชิงอวี่เอ่ยขึ้นช้า ๆ

“เจ้าพูดตลกอันใดกัน? พอถึงยามเหม่าก็จะออกไปได้แล้วไม่ใช่หรือ?” เยี่ยนซีโหรวหาวแล้วพูดกลับ ไม่สนใจสิ่งที่ชิงอวี่เอ่ยไปเมื่อครู่เลย

“เป็นยามอิ๋นสามเค่อแล้ว ใกล้ยามเหม่าเต็มที แต่เจ้าลองเงยหน้ามองฟ้า” ชิงอวี่เอ่ย ชี้นิ้วไปบนฟ้า ก่อนจะบอกให้แต่ละคนลองดูสภาพแวดล้อมรอบข้าง “ก่อนหน้านี้แถวนี้ไม่ได้มีต้นไม้สูงใหญ่มากมายนัก พวกเจ้าจำได้หรือไม่? ต้นไม้ยักษ์นั้นต้องขึ้นอยู่ที่อุโมงค์ทางเข้าหุบเขาพญายม”

“ดูท่าจะเป็นดังเจ้าว่า” เยี่ยนซีอู่เอ่ยขึ้น ดูท่าทางตกใจไม่น้อย

“แล้ว…..” ชิงเป่ยกวาดสายตามองด้านข้าง “ชายผู้นั้นหายไปตั้งแต่เมื่อไร?” ตอนเขาหลับตาลงชายคนนั้นยังอยู่ตรงจุดนั้นอยู่เลย หากแต่ตอนนี้กลับไม่อยู่แล้ว

เห็นได้ชัดว่าหากมีเรื่องประหลาดย่อมต้องมีสิ่งชั่วร้ายกำลังคืบคลานเข้ามาเป็นแน่

ชิงอวี่หรี่ตาลง จากนั้นนึกบางอย่างขึ้นได้ “ทุกคนยังมีแผ่นหยกที่ผู้อาวุโสฉินมอบให้หรือไม่?”

ได้ยินแล้วทุกคนก็หยิบแผ่นหยกขึ้นมาถือพร้อมกัน

“มีเพียงทางเดียวที่จะสามารถบอกได้ว่าพวกเราติดอยู่ที่นี่และไม่สามารถออกไปไหนได้จริง ๆ”

แผ่นหยกที่ฉินฟางมอบให้พวกนางไม่น่าจะเป็นของปลอม เมื่อทำลายมันแล้วควรจะสามารถพาพวกนางออกไปจากที่นี่ได้

หลังจากมองกันไปมาครู่หนึ่ง ทุกคนจึงทำลายแผ่นหยกแทบจะพร้อมกัน มีแสงเรืองขึ้นจากภายในแผ่นหยก หากแต่พริบตาต่อมามันก็หายไป หลังจากทำลายแผ่นหยกไปแล้วก็ไม่อาจใช้ได้อีก จากนั้นมันก็ค่อย ๆ สลายหายไป

“เป็นไปได้อย่างไร!?” เยี่ยนซีโหรวหน้าซีดลงในพลัน ร้องขึ้นเสียงสั่น “แผ่นหยกใช้ไม่ได้แล้วหรือ? เหตุใดจึงไม่ทำงานเล่า!?”

“ผู้อาวุโสฉินไม่มีทางโกหกเรา แผ่นหยกคงจะใช้ได้ผล” เยี่ยนซีอู่เอ่ย

“แล้วเหตุใดพวกเราจึงยังอยู่ที่เดิม!? พวกเราจะไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้แล้วงั้นหรือ?” เยี่ยนซีโหรวเริ่มเสียสติ จากนั้นก็ร้องไห้ออกมา “พวกเราจะตายกันอยู่ที่นี่หรือ? ฮือ ๆ….. ข้ายังไม่ได้เห็นท่านแม่เป็นครั้งสุดท้ายเลย…..”

“เอาล่ะ หยุดร้องไห้ก่อน ร้องแล้วได้อันใดขึ้นมา?” ชิงเป่ยเห็นนางไม่ช่วยประโยชน์อันใด ทั้งยังร้องไห้ออกมาเช่นนี้จึงเอ่ยเสียงดุ “อยากร้องก็ร้องไป แต่หากเสียงร้องของเจ้าล่อสิ่งใดเข้ามาก็จัดการมันเองแล้วกัน”

เยี่ยนซีโหรวหยุดร้องในทันที ไม่กล้าส่งเสียงออกมาอีก พยายามกลั้นน้ำตาสุดความสามารถ

“หุบเขาพญายมอาจจะหายไปแล้ว…..”

ผ่านไปครู่ใหญ่ ๆ ชิงอวี่จึงลุกขึ้นยืน ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าสีดำสนิท “กระทั่งสภาพแวดล้อมโดยรอบเรายังเปลี่ยนแปลงไป จนถึงตอนนี้ฟ้าก็ยังไม่สว่างเลยด้วย ไม่แน่ว่าสถานที่แห่งนี้อาจจะถูกดูดลงมาใต้ดินแล้วก็เป็นได้”

ไม่เช่นนั้นเหตุใดจู่ ๆ จึงมีต้นไม้ยักษ์มากมายปรากฏขึ้นได้?

พวกนางไม่มีเวลานั่งครุ่นคิดอันใดอีก เมื่อมีเสียงดังกึกก้องดังมาจากที่ไกลๆ

มันคล้ายกับเสียงอสูรขนาดยักษ์ ส่วนเสียงดังกระหึ่มนั่นคล้ายกับเสียงฝีเท้าอันหนักหน่วงยามมันเดิน แสงจันทร์เริ่มส่องพร่ามัว ทันใดนั้นสายฟ้าก็ฟาดลงมาบนพื้น ส่งผลให้เกิดรอยแยกลึกประมาณสิบเมตร