บทที่ 101 ผาสูงชัน

หากแต่มันยังไม่จบเพียงเท่านั้น

รอยแตกนั้นขยายออกไปอย่างต่อเนื่อง ลึกลงไปในพื้นดิน ก่อนจะแยกพื้นที่เป็นสองส่วน กลายเป็นหุบเหวลึกขวางตรงกลาง

เหวลึกนี้ค่อย ๆ ขยายออก พื้นจุดที่นางอยู่ค่อย ๆ เคลื่อนออกจากคนอื่น ๆ เรื่อย ๆ เมื่อชิงอวี่รู้สึกตัวอีกทีนางก็ถูกแยกออกจากกลุ่มแล้ว นางอยู่ฝั่งหนึ่ง คนที่เหลือยืนอยู่ที่ฝั่งหนึ่ง

“พี่!” ชิงเป่ยตะโกนหานางเสียงเครียด ทำท่าอยากจะข้ามมาอีกฝั่ง แต่หุบเหวนั้นยังขยายแยกออกเรื่อย ๆ อีกทั้งพื้นดินยังสั่นสะเทือนไปมา ทั้งหินทั้งศิลาร่วงหล่นลงเหวไป หากแต่ไร้เสียงของกระทบพื้น เขาตกใจทำอะไรไม่ถูก ทำได้เพียงทรงตัวยืนให้มั่นคงเท่านั้น

“พวกเจ้าดูแลตนเองให้ดี ข้าไม่เป็นไร” ชิงอวี่ตะโกนข้ามฝั่งไป

จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงบางอย่าง เป็นเสียงคล้ายเสียงเท้าย่ำพื้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ นัยน์ตาเรียวยาวแฉลบขึ้นของนางหรี่ลง พยายามค้นหาที่มาของเสียงนี้

ทันใดนั้นเขาหนาคมกริบก็เป็นสิ่งแรกที่โผล่ขึ้นมาให้นางเห็น ต่อมาคือขาสี่ขา นัยน์ตาใหญ่ราวระฆังสำริด ส่องแสงจ้าสีขาวออกมา หัวที่เหมือนมังกรของมันดูสง่าผ่าเผยยิ่งนัก ตัวมันใหญ่มาก เกือบบดบังทั่วทั้งท้องฟ้า กลิ่นอายกดดันที่แผ่ออกมาทรงพลังจนสามารถทำให้เลือดลมพลุ่งพล่านจนกระอักเลือดออกมาได้

ชิงอวี่ฝืนต้านทานแรงกดดันนั้น กดรสขมคล้ายเหล็กกลับลงคอไป

อสูรใดจะมีพลังกดดันมากมายมหาศาลเช่นนี้ได้

แรงกดดันเช่นนี้มีมากกว่าตะขาบปีศาจในสภาวะคลั่งมากถึงร้อยเท่า!

อสูรร่างยักษ์เคลื่อนกายเข้าใกล้ แต่ละย่างก้าวที่เยื้องย่างเข้ามาราวกับบดบังผืนฟ้า มองไม่เห็นหัวมัน ไม่อาจจินตนาการได้ว่ามันตัวใหญ่ถึงเพียงไหน จากนั้นมันก็พ่นลมหายใจออกจากจมูกโดยแรง “มนุษย์เอ๋ย พวกเจ้าทำลายความสงบของข้า!”

ทุกคนสะดุ้งไป มันพูดได้ด้วย! หมายความว่ามันคืออสูรวิญญาณระดับสูงกว่าระดับ 8!

ไม่เพียงแต่ถูกกักขังไว้ในที่แห่งนี้ ตอนนี้ยังต้องเผชิญหน้ากับอสูรวิญญาณทรงพลังอีก

“พวกเรา….. จบกันแน่ ครั้งนี้พวกเราไม่รอดแล้ว” เยี่ยนซีโหรวหน้าซีดสุดขีด นางคว้าแขนเยี่ยนซีอู่แน่น นิ้วทั้งหลายสั่นสะท้านด้วยความกลัว

เยี่ยนซีอู่กลับมองชิงอวี่ที่ถูกแยกออกไปไกลนิ่ง ในใจนางมีความเชื่อใจให้ชิงอวี่เต็มที่ นางเชื่อว่าชิงอวี่จะสามารถรับมือกับอสูรตัวนั้นได้ อย่างไรพวกนางก็คงไม่ต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่

“พวกเราเตรียมตัวจะออกไปแล้ว แต่กลับไม่อาจทำเช่นนั้นได้ พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะก่อความวุ่นวาย” ชิงอวี่เพิ่งสู้ศึกหนึ่งจบ ร่างกายยังไม่หายดี สถานการณ์เป็นเช่นนี้นางย่อมไม่อยากให้เกิดการปะทะขึ้นอีก

อสูรวิญญาณที่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้เช่นนี้ คงจะมีสติปัญญาขั้นสูงเป็นแน่ หากนางสามารถต่อรองกับมันอย่างสงบได้ย่อมดีที่สุด

อสูรยักษ์ได้ยินดังนั้นมันก็ก้มหัวลงมองนาง มุมปากยกยิ้มยินดี “พวกเจ้าย่อมออกไปไม่ได้ ไม่ว่าใครที่อยู่ที่นี่ก็ออกไปไม่ได้ทั้งนั้น เพราะมันหายไปแล้วอย่างไรเล่า”

“หายไป?” ชิงอวี่ชะงักไปยามได้ยิน “หมายความว่าอย่างไร?”

อสูรยักษ์ดูท่าจะอารมณ์ดี มันอธิบายให้นางฟังอย่างใจดี “ที่นี่คือแดนมายาที่เกิดขึ้นตอนข้าหลับลึกขณะที่กำลังจะทะลวงสู่ระดับต่อไป ตอนนี้ข้าตื่นขึ้นแล้ว แดนมายาย่อมต้องหายไป”

“แดนมายา…..”

ชิงอวี่ย่อมไม่คาดคิดว่าหุบเขาพญายมที่อยู่บนแดนนี้มาหลายสิบปีจะกลายเป็นแดนมายาที่ไม่มีอยู่จริงไปได้…..

แต่หากภาพมายาหายไปแล้ว ร่างจริงของพวกนางเล่า?

ไม่ ไม่ใช่เช่นนั้นแน่!

ชิงอวี่นัยน์ตาทะมึนลง “เจ้าคิดขังพวกเราไว้ที่นี่หรือ?”

อสูรยักษ์มองนาง ท่าทางประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นส่ายหัว ประกายสดใสในนัยน์ตาฉลาดเฉลียวเจือแววคาดหวังบาง ๆ “อีกเดี๋ยวข้าจะสังหารคนอื่น ๆ ส่วนเจ้าจะอยู่ที่นี่ เป็นเพื่อนข้าตลอดไป”

“เจ้ากล้าหรือ!?” ใบหน้าชิงอวี่เจอแววโกรธ สมองเจ้าอสูรวิญญาณตัวนี้ผิดปกติหรือ? มันคงจะไม่ได้ชอบนางเข้ากระมัง?

“ไม่มีสิ่งใดที่ข้าไม่กล้า” อสูรยักษ์ส่งเสียงหัวเราะดังลั่นออกมา

จากนั้นสายตามันก็ทะมึนลง เขาคมของมันเริ่มส่งเสียงเปรี๊ยะของกระแสไฟฟ้า จากนั้นสายฟ้ารุนแรงก็ซัดออกมาจากเขา พุ่งตรงไปยังจดที่พวกชิงเป่ยยืนอยู่ พื้นดินตรงนั้นร่วงหล่นลงเหวลึกไป หากชิงเป่ยตอบสนองไม่ทัน ดึงร่างเด็กสาวอีกสองคนไว้ได้ทัน พวกนางก็คงจะร่วงลงไปในหุบเหวไร้ก้นแล้ว

ใบหน้าของพวกนางซีดขาวไร้สีเลือด คว้าเสื้อชิงเป่ยไว้แน่น

อีกด้านหนึ่ง ชิงเป่ยใจเต้นแรงแทบคลั่งด้วยความตกใจ เอ่ยเสียงลอดไรฟันขึ้น “อสูรชั่ว อสูรวิญญาณระดับสูงเช่นเจ้ากลับใช้กลเช่นนี้ทำร้ายมนุษย์อ่อนแอไร้ทางสู้ ความองอาจของเจ้าอสูรวิญญาณหายไปไหนเสียแล้วเล่า!?”

หากแต่อสูรวิญญาณยักษ์ไม่ได้รู้สึกละอายใจแต่น้อย “มนุษย์อ่อนแอมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน สุดท้ายก็กลายเป็นอาหารอสูรวิญญาณ เหตุใดไม่ตายให้เร็วขึ้นหน่อยเล่า? เจ้าวางใจ ด้านล่างมีไฟชีวิตข้าลุกโชนอยู่ ข้ารับรองว่าเจ้าหล่นลงไปจะกลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตา ไม่รู้สึกอันใดด้วยซ้ำ”

อสูรวิญญาณตัวนี้โหดร้ายนัก!

ในตอนที่มันกำลังปล่อยการโจมตีไปยังคนอีกฝั่งหนึ่ง ชิงอวี่ก็ไม่สนแรงสะเทือนบนพื้นอีกต่อไป นางดีดปลายเท้าขึ้น เหินไปอีกฝั่ง เคลื่อนกายเร็วดั่งแสง คว้าร่างคนสามคนไปไว้ยังที่ปลอดภัย

อสูรยักษ์ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่มันรู้สึกชอบชิงอวี่มากและไม่อยากทำร้ายนาง

เมื่อมันเห็นว่านางเหินร่างไปอีกฝั่ง มันจึงรีบหยุดสายฟ้าที่พุ่งออกไปอย่างรุนแรง หากแต่ก็ช้าไปก้าวหนึ่ง

แม้ชิงอวี่จะกระโดดหลบอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังถูกสายฟ้านั่นซัดเข้าที่แขนจนแขนไร้ความรู้สึกไป แขนซ้ายที่ก่อนหน้ากระดูกเคลื่อนไป ตอนนี้ได้บาดแผลเพิ่มขึ้นมาอีก ชุดคลุมยาวสีหิมะของนางส่วนหนึ่งเผยให้เห็นรอยไหม้ หยาดโลหิตสีแดงฉานหยดลงจากปลายนิ้วมือนางร่วงลงสู่พื้น

“พี่…..”

“ชิงอวี่…..”

นัยน์ตาของคนทั้งหมดที่เห็นภาพนั้นเริ่มแดงเรื่อคล้ายกับจะเสียน้ำตาในพลัน

ไม่ว่าที่ผ่านมานางจะเกลียดชิงอวี่ขนาดไหน แต่เยี่ยนซีโหรวปากเสียผู้นี้เมื่อเห็นสภาพแขนชิงอวี่แล้วก็ร้องไห้ออกมาในทันที คงจะเจ็บมากเป็นแน่

หากไม่ใช่เพราะเข้ามาช่วยพวกนาง อีกฝ่ายก็คงไม่ต้องเจ็บตัว

ในตอนนั้นเอง สายฟ้าที่ซัดลงมาได้สร้างรอยแยกตรงพื้นที่ชิงอวี่สองในสามส่วนไว้แล้ว ทันใดนั้นมันก็ปริแตกออก ส่งผลให้พื้นส่วนที่ชิงอวี่ยืนอยู่ร่วงหล่นลงไป

ชิงอวี่ร่างกายแข็งคางทั้งยังรู้สึกชาไปทั่ว ดังนั้นจึงร่วงลงไปด้วย ชุดคลุมขาวปลิวพลิ้วไสวยามร่างนางร่วงหล่น ราวกับผีเสื้อกำลังดิ่งลงหุบเหว

ชิงเป่ยเบิกตากว้างในพลัน พลังในร่างพลันพุ่งสูงขึ้นราวกับแผดเผาร่าง หากแต่เขาไม่ใส่ใจ เขาใส่ใจเพียงเด็กสาวที่ร่วงหล่นลงไปในหุบเหวเท่านั้น

ชิงอวี่…..

เขาอยากไปช่วยนางโดยไม่สนสิ่งใด หากแต่ร่างของเขาคล้ายกับถูกตอกติดอยู่กับพื้น ไม่อาจขยับได้ แม้จะพยายามฝืนจนข้างขมับเกิดเส้นเลือดสีเขียวปูดขึ้นมาก็ตาม

ไม่….. ปล่อยข้า…..

เจ้าอสูรยักษ์ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น มันได้แต่ตะลึงไป นัยน์ตาฉายแววตื่นตระหนกยิ่ง

ทันใดนั้นเงาร่างหนึ่งก็โฉบผ่านหน้ามันดิ่งลงเหวลึกไป อสูรยักษ์จ้องมองดวงตาเบิกกว้าง ไม่รู้ว่าเมื่อครู่มันเป็นสิ่งใดกันแน่ ไม่นานน้ำเสียงรื่นเริงก็ดังขึ้นที่ด้านหลังมัน

“เจ้าตัวเล็ก ครั้งนี้เจ้าก่อปัญหาใหญ่แล้ว สวดภาวนาขอชีวิตตนไว้ให้ดีเชียวเล่า!”

อสูรยักษ์รีบหันไปมองด้านหลัง พบกับชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดคลุมแดง มันชะงักไปก่อนเอ่ยถามขึ้น “นายท่าน เหตุใดวันนี้จึงมาที่นี่ได้?”

“เจ้าทะลวงผ่านระดับ สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายถึงเพียงนี้ มีหรือข้าจะไม่มาดู?” ไป๋จือเยี่ยนพูดแล้วก็ทำเสียงจุ๊ ๆ “รีบเปลี่ยนร่างเสีย ข้ามองแล้วรำคาญลูกตายิ่ง เจ้าเปลี่ยนร่างได้แล้วไม่ใช่หรือไง?”

ได้ยินดังนั้นร่างของเจ้าอสูรยักษ์ก็หดเล็กลง หลังจากควันสีเขียวฟุ้งตลบ เงาร่างสูงในชุดคลุมดำก็ปรากฏขึ้น ใบหน้าดูดีหล่อเหลาคล้ายกับหนุ่มเจ้าสำราญ นัยน์ตาเขาประหลาดนัก สีขาวเกือบไม่มีให้เห็น ลูกตาดำโตจนแทบกินทั้งลูกตา ดูแปลกประหลาดไม่น้อย

“หน้าตาไม่เหมือนคนดี” ไป๋จือเยี่ยนมองหน้าเขาแล้วก็พ่นลมออกจมูกสองสามคราอย่างดูถูก

ชายผู้นี้….. คือคนที่จู่ ๆ ก็โผล่มาแล้วคิดแย่งกระต่ายของพวกนางนี่!

“เป็นเจ้านี่เอง!” เยี่ยนซีโหรวเบิกตากว้างจ้องเขา นางลืมความกลัวสิ้นแล้วเอ่ยตำหนิเขาอย่างดุดัน “เจ้านี่ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณเลยกระมัง? ชิงอวี่อุตส่าห์ใจดี มอบอาหารให้เจ้าเพราะเห็นว่าเจ้าหิวโซ แต่ตอนนี้เจ้ากลับทำให้นางร่วงลงไปจากผาสูงชันเช่นนั้น!”

ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาเป็นคนผิด ดังนั้นจึงได้แต่ยกมือถูจมูกตนไม่เอ่ยความใด

ไป๋จือเยี่ยนได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วถาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าแม่นางน้อยที่ร่วงลงไปผู้นั้นเป็นใคร?”

เห็นคนเอ่ยถึงนาง นัยน์ตาเขาพลันมีแววยินดี หากแต่พริบตาเดียวก็หม่นแสงลง “กระต่ายย่างของนาง….. อร่อยมาก ข้าชอบ….. ข้าอยากเก็บนางไว้ที่นี่ ให้นางอยู่เป็นเพื่อนข้า ข้าไม่ได้ตั้งใจ…..”

“ให้นางอยู่เป็นเพื่อนเจ้า?” ไป๋จือเยี่ยนทำท่าทางราวกับเพิ่งฟังเรื่องน่าขัน นัยน์ตาดอกท้อเป็นประกาย ปิดแววขบขันไม่มิด “เจ้ากล้าชอบนางงั้นหรือ? เจ้านี่มันสุดยอดจริง ๆ! เป็นยอดอสูรวิญญาณที่ข้าเคยพบมาเลย ฮ่า ๆ…..”

ชายหนุ่มเห็นไป๋จือเยี่ยนหัวเราะตัวโยนแล้วก็ยิ่งสับสน

ครู่หนึ่งกว่าไป๋จือเยี่ยนจะหยุดหัวเราะได้ จากนั้นก็เงยหน้ามามองชายหนุ่ม “ข้าบอกเจ้าตั้งแต่วันที่ข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้แล้วว่าต่อไปเจ้าจะต้องมารับใช้คนผู้หนึ่ง อีกทั้งคนผู้นั้นมีตำแหน่งสูงกว่าข้า เป็นนายท่านที่ข้ารับใช้”

ชายผู้นั้นพยักหน้า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้?

“เด็กสาวที่เพิ่งร่วงลงไปเมื่อครู่คือผู้มีพระคุณที่เคยช่วยชีวิตนายท่านของข้าไว้ อีกทั้งยังเป็นนักปรุงยาระดับสูง ประเภทที่ยาเลื่อนระดับเม็ดหนึ่งจากนางก็สามารถทำให้ยอดอสูรศักดิ์สิทธิ์เช่นเจ้าสามารถเลื่อนระดับได้ภายในเวลาไม่นาน”

ไป๋จือเยี่ยนมองชายหนุ่มที่ใบหน้าเริ่มซีดขาวลงไปเรื่อย ๆ จากนั้นสีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นน่ากลัว ไป๋จือเยี่ยนหยุดไปเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ “ก่อนจะมาที่นี่ เขาบอกไว้ว่าหากเจ้าตาบอด ไม่รู้จักผิดถูก ทำร้ายนางแม้ผมสักเส้น เขาจะถลกหนังเจ้า”

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ดูสั่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด

ที่อีกฝั่งหนึ่ง เนื่องจากนางไร้เรี่ยวแรง ทั้งยังได้รับบาดเจ็บ ชิงอวี่จึงหยุดหายใจไปชั่วครู่ยามร่างนางร่วงหล่น จิตวิญญาณอาวุธในร่างนางพยายามเรียกหานางด้วยความตื่นตกใจ “นายหญิง! นายหญิงตื่นได้แล้วเรียกข้าออกมาก่อน!”

จิตวิญญาณอาวุธนั้นไม่สามารถออกจากมิติได้หากเจ้านายตนหมดสติ เมื่อเห็นว่าชิงอวี่อยู่ในสภาพอ่อนแอเช่นนั้น จั้งไหมก็ตื่นตกใจ หากแต่พริบตาต่อมาเขาก็ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง

ชิงอวี่หมดสติไปแล้ว

คนที่อยู่บนขอบผาต่างพากันนั่งไม่ติดพื้น เว้นไป๋จือเยี่ยนไว้หนึ่งคน

เป็นตอนที่ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบานั่นเองที่ทุกคนเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมม่วงกำลังอุ้มร่างน้อยไว้ในอ้อมแขน เขากำลังค่อย ๆ เดินเข้ามาทางพวกเขา

ยามเขาเดินเข้ามาใกล้ ทุกคนก็ตกตะลึงกับเครื่องหน้างดงามไร้ที่ติของเขา นัยน์ตาสีม่วงกระชากวิญญาณนั้นน่ามองนัก ริมฝีปากบางเม้มแน่นอยู่ใต้จมูกโด่งราวกับกำลังเก็บอารมณ์บางอย่างอยู่ กลิ่นอายชั่วร้ายที่แผ่ออกจากร่างส่งผลให้คนอื่น ๆ พากันรู้สึกเย็นวาบทั่วร่าง

ชิงเป่ยมองชายหนุ่มผู้นั้นแล้วก็ชะงักไป ในใจพลันมีภาพวาดผ่าน คนผู้นี้…..