บทที่ 102 เฉือนเนื้อรักษาแผล
เขาอาจไม่เคยเห็นหน้าชายหนุ่มผู้นี้ แต่นัยน์ตาสีม่วงคู่นั้นทิ้งความน่าจดจำฝังลึกยิ่ง
ครั้งที่เขาเคยไปยังหอเมฆาเคลื่อน เขาเคยเห็นแววตาคู่นี้ผ่านม่านบางอยู่ชั่วประเดี๋ยว ส่วนชายชุดคลุมแดงเรียกเขาว่านายท่าน
ชายหนุ่มที่ชิงอวี่ช่วยชีวิตไว้คงจะเป็นคนผู้นี้
เขาไม่คิดว่าเจ้าของนัยน์ตาคู่นั้นจะมีใบหน้าโดดเด่น อีกทั้งยังมีกลิ่นอายทรงพลังดุดันเช่นนี้ มองเพียงครั้งก็สัมผัสได้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา
หากแต่…..
ภาพที่ร่างบางของเด็กสาวดูบอบบางถูกอุ้มไว้ในอ้อมแขนของเขาเช่นนี้ทำให้คนมองด้วยความประหลาดใจได้ มองแล้วย่อมรู้สึกว่าคนที่มีท่าทางสูงส่งหยิ่งยโสเช่นเขา ผู้ที่คงจะมองทุกสิ่งด้วยสายตาดูถูก การกระทำเช่นนี้ของเขามีแต่จะทำให้ฐานะของเขาแปดเปื้อนมีมลทิน
สำหรับชิงเป่ย นี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นพี่สาวตนเองในสภาพอ่อนแอเช่นนี้
โหลวจวินเหยาขมวดคิ้วแน่น ทำหน้าตาน่ากลัว ไป๋จือเยี่ยนรีบเดินเข้ามาถามเสียงเบา “นางเป็นอย่างไรบ้าง?”
“มาดูแขนซ้ายนางหน่อย” โหลวจวินเหยาเอ่ยเสียงทุ้ม
ไป๋จือเยี่ยนหันมองแขนซ้ายของเด็กสาวที่ห้อยดูผิดรูป ตอนที่โหลวจวินเหยาอุ้มนางเดินเข้ามา แขนข้างนั้นของนางก็แกว่งไปมาคล้ายคนแขนหัก
เขายื่นมือออกไปแตะที่ข้อต่อแขน จากนั้นก็ตวัดสายตาไปทางชายหน้าตาแตกตื่นด้านหลังอย่างดุร้าย “นี่เจ้ายังเป็นบุรุษอยู่หรือไม่! ? เพ้ย! เช่นนี้ยังเรียกตนเองว่าบุรุษได้อยู่อีกหรือ!? เจ้ากล้าทำเด็กสาวตัวเล็กเช่นนี้ได้ลงคอ? ทำนางแขนหลุดออกมาทั้งแขนเช่นนี้!”
“ข้าไม่ได้…..” ชายหนุ่มพยายามอธิบาย หน้าตาเสียใจยิ่ง
“หยุดปฏิเสธได้แล้ว ข้าจะจัดการกับเจ้าทีหลัง” ไป๋จือเยี่ยนเอ่ยขู่ดุดัน จากนั้นมือข้างหนึ่งก็จับแขนเล็กของเด็กสาวไว้ ข้างหนึ่งดึงข้างหนึ่งผลักพริบตาเดียวก็หมุนข้อต่อแขนนางกลับเข้าที่เสียงดังกร๊อบ
“อึ่ก…..” ดวงหน้างามของเด็กสาวขมวดคิ้วแน่น ส่งเสียงร้องเจ็บปวดเสียงเบาออกมา
โหลวจวินเหยาจึงวางร่างนางลง ตนเองนั่งลงกับพื้น จัดร่างนางให้เอนพิงหลังเขา จากนั้นค่อย ๆ ถกแขนเสื้อนางขึ้น เผยให้เห็นเนื้อแขนงามดั่งผิวหยก
หากแต่เมื่อเลิกแขนเสื้อขึ้นมาอีกหน่อยก็พบว่าเนื้อแขนส่วนมากของนางกลายเป็นสีดำ อีกทั้งยังมีเลือดหนืดติดกรังอยู่ ดูน่าขนลุกไม่น้อย
คนอื่น ๆ ที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้จึงรู้ว่าชายหนุ่มสองคนที่ปรากฏตัวขึ้นเป็นมิตรไม่ใช่ศัตรู อีกทั้งยังดูสนิทสนมกับชิงอวี่ ดังนั้นจึงค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้
ชิงเป่ยพลันรู้สึกว่าตนสามารถขยับร่างได้ ดังนั้นจึงรีบเดินเข้าไปดูนาง เขาส่งสายตาเป็นห่วงมองเด็กสาวที่หลับตาแน่น จากนั้นมองไปยังบาดแผลน่ากลัวที่แขนของนาง
ด้วยพลังสายฟ้าฟาดของยูนิคอร์นอสนีบาตที่มีมหาศาล บาดแผลของชิงอวี่นับว่าเบามากแล้ว มองก็รู้ว่าเจ้ายูนิคอร์นไม่ได้ตั้งใจโจมตีโดนนางจริง ๆ
ยูนิคอร์นอสนีบาตที่กลายร่างเป็นชายหนุ่มมองเด็กสาวด้วยสายตารู้สึกผิด เขาพลันเอยเสียงเบา “เลือดข้าช่วยให้นางฟื้นตัวเร็วขึ้น แต่เรื่องบาดแผล….. ต้องเฉือนเนื้อออก หากช้ากว่านี้แขนนางจะพิการ”
แม้จะโจมตีโดนผิวนาง หากแต่พลังมหาศาลนั้นสามารถสร้างอาการบาดเจ็บภายในได้
เมื่อได้ยินว่าต้องเฉือนส่วนที่เป็นเนื้อตายออก ชิงเป่ยก็ขมวดคิ้วแน่น “ไม่มีทางอื่นแล้วหรือ?”
เฉือนเนื้อก้อนใหญ่ออกเช่นนี้ ชิงอวี่ต้องทนความเจ็บปวดถึงขั้นไหนกัน!?
ไป๋จือเยี่ยนเลิกคิ้วหันมามองเด็กหนุ่ม จากนั้นจึงเดาว่าคงจะเป็นน้องชายของชิงอวี่ ดังนั้นจึงมีทีท่าสุภาพกว่าตอนที่เจอกันครั้งแรกนัก “เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว ไม่เช่นนั้นบาดแผลจะยิ่งเลวร้ายลง”
ชิงเป่ยได้ยินแล้วก็ไม่เอ่ยคำใดอีก
นิ้วเรียวยาวของไป๋จือเยี่ยนหยิบมีดขนาดเท่าฝ่ามือออกมา ใบมีดบางราวปีกจักจั่น จากนั้นเฉือนเนื้อสีดำออกจากแขนเด็กสาวด้วยการตวัดมีดเพียงครั้งเดียว เผยให้เห็นชั้นเนื้อสดสีแดง โลหิตแดงฉานพุ่งออกมาทันที
จากนั้นไป๋จือเยี่ยนก็โรยยาหยุดเลือดชั้นยอดลงบนแผล เลือดที่พุ่งออกมาพลันหยุดในพริบตา
ความเจ็บปวดจากการเฉือนเนื้อโรยยานั้นมากเกินจินตนาการ กระทั่งชิงอวี่ที่หมดสติไปแล้วยังเบิกตากว้างขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด มืออีกข้างคว้าเสื้อโหลวจวินเหยาไว้แน่น ชุดคลุมหรูหรายับยู่ยี่ไม่เหลือเค้าความสูงส่ง
เมื่อเห็นว่านางลืมตาขึ้น สีหน้าโหลวจวินเหยาก็อ่อนลงเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยถามนางเสียงเบา “เจ็บมากหรือ?”
ริมฝีปากเด็กสาวสีซีดด้วยเพราะกัดฟันทนความเจ็บปวดแน่น เมื่อได้ยินคำถามก็ตอบกลับไปโดยไม่รู้ตัว “ก็ลองเฉือนเนื้อตนดูสิว่าเจ็บหรือไม่”
พูดจบแล้วนางจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ชายที่กำลังพันแผลให้นางผู้นี้….. ไป๋จือเยี่ยน?
เช่นนั้นคนที่นางพูดด้วยเมื่อครู่ก็คือ…..
อีกทั้งนางยังนอนพิงร่างเขาอยู่อีก!?
เมื่อรับรู้ว่าตนกำลังอยู่ในท่าทางเช่นไร ร่างนางพลันแข็งเกร็งขึ้น พยายามลุกขึ้นในทันที หากแต่ชายหนุ่มกดไหล่นางไว้ “อย่าขยับ ระวังแผลจะเปิด”
ได้ยินแล้วชิงอวี่จึงสงบลงและไม่ขยับกายอีก หากแต่ก็ยังถามขึ้นด้วยความสงสัย “พวกท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” คนระดับพวกเขามาฝึกตนที่เดียวกับพวกนางเช่นนี้ก็เหมือนการเล่นสนุกเท่านั้น!
ไป๋จือเยี่ยนที่กำลังพันแผลให้นางได้ยินแล้วก็เอ่ยเสียงหยอกล้อขึ้น “เป็นเพราะคนบางคนได้ยินว่าเจ้าจะมายังที่อันตรายเช่นนี้ จึงกลัวว่าเจ้าจะไปเจออะไรแล้วเจ็บตัวเข้า ดังนั้นจึงรีบเดินทางราวกับร่างติดไฟมาปกป้องเจ้าอย่างไรเล่า”
ชิงอวี่ “…..”
ทั้งน้ำเสียงและท่าทางของเขาดูน่าเชื่อถือนัก คนได้ยินอาจเชื่อคำเขาไปคิดจริงจังได้
โหลวจวินเหยาตวัดสายตามองเตือนเขา
ไป๋จือเยี่ยนมักเอ่ยคำทะเล้นเช่นนี้อยู่เนือง ๆ ดังนั้นชิงอวี่จึงไม่คิดมาก แต่เมื่อได้ยินเขาบอกว่าที่นี่อันตรายนัก…..
“เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่บ้าง?”
ไป๋จือเยี่ยนเผยรอยยิ้ม จากนั้นยื่นมือไปคว้าข้อมือชายหนุ่มที่ทั้งสูงและตัวใหญ่กว่าตนเองลากมาราวกับอีกฝ่ายเป็นลูกแมวตัวหนึ่ง “นี่ เป็นเพราะเจ้านี่”
ชิงอวี่ประหลาดใจ นี่มันชายประหลาดที่คิดจะแย่งอาหารพวกนางนี่? เขามาทำอะไรที่นี่?
เห็นว่านางทำหน้าตาสับสน ไป๋จือเยี่ยนจึงอธิบาย “เห็นหน้าตาดูโง่นิสัยดูซื่อบื้อเช่นนี้ แท้จริงแล้วเป็นอสูรวิญญาณระดับ 12 เชียวนา”
ได้ยินดังนั้นนางจึงคงท่าทีสงบไว้ไม่อยู่ ใบหน้าเผยความไม่เชื่อออกมา “เจ้าหลอกข้าเล่นเป็นแน่! อสูรวิญญาณระดับ 12!? ไม่ใช่ว่าอสูรวิญญาณจะเปลี่ยนร่างได้ตอนขึ้นระดับ 15 หรอกหรือ?”
“หมอนี่เป็นยูนิคอร์นอสนีบาต สายเลือดชั้นสูงที่สุด มีความสามารถเฉพาะคือสามารถเปลี่ยนร่างก่อนได้ อีกทั้งยังเป็นคนที่เผลอทำร้ายเจ้าเมื่อก่อนหน้านี้” ไป๋จือเยี่ยนเอ่ยเช่นนี้ คล้ายกับต้องการวิงวอนให้นางอภัยให้อสูรวิญญาณ หากเขาปล่อยให้เรื่องนี้ตกถึงมือคนโหดร้ายไร้เมตตาอย่างโหลวจวินเหยา เจ้าอสูรผู้น่าสงสารคงจะถูกทุบตีจนกลับไปเป็นระดับต่ำกว่าสิบเป็นอย่างน้อย
“เป็นเช่นนี้…..” ชิงอวี่พลันเผยนัยน์ตาครุ่นคิด ตอนนี้อสูรวิญญาณที่กลายเป็นชายหนุ่มผู้นั้นท่าทางเสียใจทั้งยังหวาดกลัวไปในเวลาเดียวกัน แตกต่างจากเมื่อครั้งก่อนมาก
จากนั้นไป๋จือเยี่ยนก็ส่งขวดหยกให้นาง “นี่คือเลือดยูนิคอร์นอสนีบาต สามารถบรรเทาความเจ็บปวดได้ เจ้าดื่มมันพร้อมกับยารักษาเสีย เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น ข้าปล่อยเขาไว้ที่นี่เพื่อให้เขาฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะเลื่อนมาระดับ 12 ได้ ข้าไม่คิดว่าสุดท้ายเขาจะทำให้เจ้าบาดเจ็บเช่นนี้…..”
ชิงอวี่ไม่ใช่คนหัวทึบ เข้าใจความหมายเบื้องหลังที่เขาหมายจะสื่อ นางยกยิ้มมุมปาก จากนั้นรับขวดหยกมา “ในเมื่อเป็นเรื่องเข้าใจผิด เช่นนั้นก็ลืมมันไปเสียเถอะ ข้าก็ไม่ได้เป็นอะไรอยู่แล้ว”
ไป๋จือเยี่ยนได้ยินนางแล้ว นัยน์ตาดอกท้องามก็เป็นประกาย มองนางด้วยสายตาซาบซึ้ง ความชื่นชอบในตัวเด็กสาวเพิ่มสูงขึ้นอีกขั้น
เด็กสาวผู้นี้มีความเมตตา น่าชื่นชมจริง ๆ
“แต่แล้วเราจะออกไปได้อย่างไร…..” ชิงอวี่ถาม ดูสับสนเล็กน้อย สายตานางมองไปยังพื้นที่โดยรอบที่มืดสนิท “จริง ๆ แล้วข้าพาทุกคนออกไปผ่านอุโมงค์มิติได้ แต่ตอนนี้ข้ากลับบาดเจ็บ…..”
ตอนนี้นางฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย สามารถลุกขึ้นยืนได้แล้ว
โหลวจวินเหยายังคงนั่งท่าเดิม ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง ส่งสายตาเรียบเฉยมองนางนิ่ง “เจ้าคิดว่าข้ามาที่นี่เพื่ออะไรเล่า? มีข้าอยู่แล้วยังต้องกังวลเรื่องพวกนั้นอีกหรือ?”
ชิงอวี่จึงหันมองเขาด้วยสายตามีเลศนัย “เหตุใดท่านจึงโผล่มาทันเวลาทุกครั้งเลยเชียว? ท่านดูจะเป็นกังวล….. เกี่ยวกับเรื่องของข้าไม่น้อยนะ” คนผู้นี้มีแผนการอันใดกันแน่?
โหลวจวินเหยายกยิ้มมุมปาก นัยน์ตาสีม่วงน่าหลงใหลพลันส่องประกายระยับ จากนั้นเอ่ยประโยคกำกวมหนึ่งออกมา “ยามนักล่าหมายตาเหยื่อไว้แล้วก็จะทำทุกวิถีทางให้เหยื่อชะล่าใจ จากนั้นก็จับเหยื่อไว้ในคราเดียว”
“??” ชิงอวี่ท่าทางสับสนเล็กน้อย ไม่รู้ว่าที่เขาเอ่ยมาหมายความว่าอย่างไร
ไป๋จือเยี่ยน ยิ้มชั่วร้าย เอนตัวเข้าไปใกล้นางแล้วเอ่ยเสียงเบา “เจ้าไม่เห็นหรือว่าเขาหมายตาเจ้าไว้แล้ว?”
เช่นนั้นนางก็เป็นเหยื่อหรือ?
มุมปากชิงอวี่กระตุก ตั้งแต่ที่นางเริ่มสนิทสนมกับพวกเขามากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าชายหนุ่มสองคนนี้เริ่มผิดปกติมากขึ้นเรื่อย ๆ
ตั้งแต่ที่เยี่ยนซีโหรวได้เห็นโหลวจวินเหยา บรรยากาศสูงส่งที่แผ่ออกจากร่าง ทั้งยังเครื่องหน้าที่ไม่อาจหาที่ใดเทียมของเขาทำให้นางตกหลุมรักในพลัน ยิ่งเมื่อเห็นว่าเขาปฏิบัติกับชิงอวี่อย่างอ่อนโยนถึงเพียงนั้น
เมื่อเห็นว่าเขาเดินห่างออกไป เยี่ยนซีโหรวจึงกระเถิบไปยืนข้างชิงอวี่ “คุณชายผู้นั้นเป็นใครกัน? เหตุใดข้าจึงไม่เคยเห็นเขาในเมืองหลวงมาก่อนเลยเล่า?”
ชิงอวี่เลิกคิ้วสูง “อะไร? เจ้าชอบเขาหรือ?”
เยี่ยนซีโหรวหน้าแดงจาง ๆ จากนั้นเอ่ยเสียงหวาน “ไร้สาระน่า ข้าเพียงถามเท่านั้น”
“อย่ารู้เรื่องเขาจะดีกว่า” ชิงอวี่เอ่ย ใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “คนผู้นั้นน่ากลัวกว่าชางไห่อ๋องเสียอีก”
เยี่ยนซีโหรวชะงักไป แต่รู้สึกว่าชิงอวี่คงปิดบังเรื่องบางอย่างไว้ ดังนั้นจึงเอ่ยเสียงไม่ค่อยพอใจนัก “หากไม่เต็มใจไม่ต้องบอกข้าก็ได้ เหตุใดต้องกุเรื่องขึ้นมาด้วย? ดูก็รู้ว่าคุณชายท่านนั้นทั้งอ่อนโยนและเป็นสุภาพบุรุษยิ่ง”
ชิงอวี่ “…..” เจ้าไปต้องมนต์อันใดมา?
เมื่อหูอันเฉียบคมของไป๋จือเยี่ยนได้ยินคำว่า “อ่อนโยนและเป็นสุภาพบุรุษยิ่ง” เขาก็สำลักน้ำลายตนเองทันที
ชั่วชีวิตนี้เขาได้เจอคนที่มีความคิดเห็นเป็นเอกลักษณ์ได้เช่นนี้ นางดันมองว่าท่านจอมมารโหลวจวินเหยาที่ทั้งโหดร้ายทารุณและเผด็จการที่สุดนั้น….. คือคุณชาย ที่ทั้งอ่อนโยนและเป็นสุภาพบุรุษยิ่ง!
สำหรับคนทั่วไปแล้วการฉีกมิตินั้นกินพลังบำเพ็ญเพียรมาก แต่สำหรับโหลวจวินเหยานั้นเป็นเรื่องง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ หลังจากคนทั้งหมดเข้าไปยังมิตินั้นแล้วก็พบว่าพริบตาเดียวพวกตนกลับมายืนอยู่ในเมืองหลวงแล้ว
เบื้องหน้าพวกเขาคือหอเมฆาเคลื่อนที่จุดไฟสว่างไสว ตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าเรากลับมาแล้วจริง ๆ”
เยี่ยนซีโหรวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น จับมือเยี่ยนซีอู่ไว้แล้วกระโดดขึ้นลง จากนั้นนางก็หันมายังชายหนุ่มในชุดคลุมม่วงที่มีสีหน้าเรียบเฉยแล้วเอ่ยเสียงหวานหยดย้อย “ขอบคุณคุณชายที่ช่วยเหลือพวกเรา โหรวเอ๋อร์ซาบซึ้งใจเหลือจะกล่าว”
ไป๋จือเยี่ยนรู้สึกขนลุกซู่เมื่อเสียงหยดย้อยนั่นดังเข้าหู
ส่วนคุณชายชุดม่วงไม่แม้แต่จะกะพริบตา หันมาทางชิงอวี่แล้วเอ่ยว่า “พรุ่งนี้อย่าลืมมาที่นี่”
“ทำไมหรือ?” ชิงอวี่ถามด้วยความประหลาดใจ
โหลวจวินเหยาเหลือบมองแขนนางแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ให้ไป๋จือเยี่ยนเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เจ้า เจ้าทำแผลมือเดียวคงไม่สะดวกนัก”
“ไม่เป็นไร ข้าให้เสี่ยวเป่ยช่วยก็ได้”
“ให้นักปรุงยาจัดการจะดีกว่า” โหลวจวินเหยาเอ่ยเสียงขรึม
“เช่นนั้นก็ได้!” ชิงอวี่ไม่ปฏิเสธอีก
อย่างไรก็แค่เปลี่ยนผ้าพันแผลเท่านั้น