ตอนที่ 138 เตียวจูล่ง
“ท่านลอร์ดต้องการได้รับผู้มีความสามารถทั้งหมดในโลก ข้าเข้าใจ แต่เพื่อนของข้างมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น” กุยแกอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างขมขึ้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้แล้วจึงพูดต่อ
“ไม่เป็นไร นับเท่าที่มีก็พอแล้ว” เย่เฉินหัวเราะแล้วกล่าว
เย่เฉินรู้ดีว่าเพื่อนของกุยแกมีใครบ้างถึงแม้ว่าความสามารถของพวกเขาจะไม่เท่ากุยแก เขาก็ยังคงเป็นข้าราชกาลในประวัติศาสตร์ระดับหนึ่ง
มิฉะนั้น เย่เฉินจะไม่สนใจเพื่อนของกุยแกแล้วบอกให้กุยแกติดต่อพวกเขา
สําหรับบุคคลในประวัติศาสตร์ระดับสูงหรือพิเศษ เย่เฉินยินดีต้อนรับเสมอ และยิ่งมีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความคิดของเย่เฉิน และมันก็ขึ้นอยู่กับว่าคนเหล่านั้นเต็มใจที่เข้าร่วมกับเขาหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่พวกเขามาถึงเมืองหลุนฮุย เย่เฉินก็จะมีโอกาสได้รับการยอมรับจากบุคคลในประวัติศาสตร์เหล่านี้
มันดีกว่าการต้องรอเสี่ยงโชคในการรับบุคคลสําคัญทางประวัติศาสตร์
เย่เฉินไม่เคยคิดเรื่องกุยแกมาก่อน เพราะในตอนนั้นเมืองหลุนฮุยยังเป็นเพียงแค่เมือง และเย่เฉินยังเป็นเพียงนายอําเภอ
และตอนนี้เมืองหลุนฮุยได้รับการยกระดับเป็นนคร ซึ่งยังคงเป็นนครอันดับหนึ่งของโลก และ เย่เฉินยังเป็นแม่ทัพผิงเปยข้าราชการระดับสามและมีตําแหน่งเป็นดยุกแล้วอีกด้วย
ในขณะนี้ ความน่าดึงดูดใจของเย่เฉินนั้นไม่มีอะไรเหมือนกับแต่ก่อน
กุยแกพยักหน้าแล้วพูดต่อว่า: “ท่านลอร์ด กุยแกจะทําทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้”
เย่เฉินยิ้มและพยักหน้า ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนเข้ามาในห้องนั่งเล่น
” ขอรายงาน…”
เย่เฉินผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นมองไปที่ทหารที่วิ่งมายังประตูห้องนั่งเล่นเพื่อกล่าวรายงาน และ กล่าวว่า ”พูดสิ”
“นายท่านที่หน้าหุบเขาหลุนฮุย มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่อ้างตัวว่าเป็นชาวเมืองเสียงสาน ที่ต้องการตามหาน้องสาวของเขา แต่ชื่อน้องสาวที่เขาพูดถึงนั้นเหมือนกับนายหญิง ข้าจึงรีบมารายงานต่อท่านลอร์ดให้ท่านลอร์ดตัดสินใจ ” ทหารลาดตระเวนโค้งคํานับและกล่าวว่า
“ใครนะ?” เย่เฉินผงะไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ลุกขึ้นทันทีกล่าวและถามเสียงดัง
“นายท่าน คนที่มานั้นอ้างว่าเป็นชาวเมืองเสียงสาน ชื่อเตียวหยุน” เมื่อเห็นการแสดงออกของเย่เฉิน ทหารก็รีบพูดออกมาอีกครั้ง
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไปกันเถอะ! ไปที่ทางเข้าหุบเขา!” ดวงตาของเย่เฉินเบิกกว้างขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเรื่องนี้ จากนั้นก็ลุกขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลังจากที่เย่เฉินพูดจบ เขาก็ออกจากห้องนั่งเล่นทันที ตามด้วยกุยแกและเตียวเพิ่ง
ปากทางเข้าหุบเขาหลุนฮุย
ทันทีที่เย่เฉินมาถึงที่นี่ เขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนรอคอยอยู่เงียบๆ
เขาสวมชุดคลุมสีขาว รูปร่างผอมเพรียว มีคิ้วเหมือนดาบ ท่าทางเรียบเฉย แม้จะอายุยังน้อย แต่ใบหน้าก็ยังเปี่ยมไปด้วยความอดทน โดยเฉพาะดวงตาแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นออกมาทําให้คนที่พบเจอเขาจะรู้ว่าเขาเป็นคนพิเศษอย่างแน่นอน
“คารวะท่านลอร์ด” ทหารที่ลาดตระเวนอยู่เห็นเย่เฉินจึงรีบคุกเข่าแล้วตะโกนออกมา เย่เฉินพยักหน้าแล้วเดินไปทางชายหนุ่มที่ยืนอยู่คนนั้น
ชายหนุ่มได้ยินเสียงของทหารจริงหันมอง เขาเห็นเตียวเหิงที่อยู่ด้านหลังของเย่เฉิน เขาผงะไปครู่หนึ่งแล้วโค้งคํานับด้วยความยินดีและพูดว่า ” เตียวหยุนคารวะท่านอารอง”
ดวงตาของเย่เฉินสว่างขึ้นในทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น
เป็นจูล่งจริงๆ…
“จูล่ง นี่คือยนายท่านของข้า แม่ทัพผิงเปยแห่งจักรวรรดิฮั่น เย่เฉิน เจ้าเมืองหลุนฮุย เจ้ากล่าวทักทายท่านก่อน” เตียวเหิง พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าว
เตียวจูล่งพยักหน้าแล้วโค้งคํานับให้กับเย่เฉินและกล่าวว่า “เตียวจูล่งคารวะแม่ทัพผิงเปย”
น้ําเสียงที่ไม่อ่อนน้อมถ่อมตนหรือหยิ่งยโสจนเกินไป แต่ก็ให้แสดงถึงความเคารพ
เย่เฉินเหลือบมองเตียวจูล่งด้วยดวงตาที่สดใส แล้วพูดอย่างมีความสุขว่า ” ที่นี่ไม่ใช่ที่สําหรับการพูดคุย ไปกันเถอะ กลับไปที่คฤหาสน์ก่อน ข้ากลัวว่าเตียวหยูจะรอไม่ไหวแล้ว”
“เสี่ยวหยู…เตียวหยูอยู่ที่นี่จริงๆอย่างงั้นหรือ?” จูล่ง อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเมื่อได้ยินสิ่งนี้และใบหน้าที่สงบของเขาก่อนหน้านี้ก็หายไปในทันที
“แน่นอนว่าที่นี่ ไม่ใช่แค่อยู่ที่นี่ แต่ตอนนี้หลานเตียวหยูได้กลายเป็นภรรยาของท่านลอร์ดแล้ว” เตียวเหิงหัวเราะแล้วกล่าวออกมา
เตียวเหิงจงใจพูดถึงสิ่งดีๆ ให้กับเย่เฉิน เพื่อทําให้จูล่งกับเย่เฉินสนิทกันยิ่งขึ้น
เตียวเหิงไม่ใช่คนโง่ ทําไมเขาจะมองไม่ออกว่าเย่เฉินสนใจจูล่ง
เห็นได้ชัดว่าเย่เฉิน ต้องการให้จูล่งมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา
แทนที่จะให้เย่เฉินพูดออกมา เตียวเหิงพูดออกมาก่อนเลยดีกว่า เพื่อให้จูล่งเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้น
เมื่อจูล่งได้ยินดังนั้น เขาก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงมองไปที่เย่เฉิน ด้วยแววตาที่พินิจพิเคราะห์
เย่เฉินยิ้มอย่างเฉยเมย ไม่มีใครที่จะเพิกเฉยได้เมื่อรู้ว่าน้องสาวของเขาสามี เป็นธรรมดาที่พี่ชายอย่างเขาจะสังเกตพิจารณาไม่มากก็น้อย และบางคนถึงกับตรวจสอบที่มาที่ไป
“จูล่ง!” ทันใดนั้นเสียงตะโกนของความตื่นเต้นก็ดังขึ้น
เตียวเมิ่งที่กําลังควบม้าเข้ามา แต่ก่อนที่เขาจะเข้าไปในเมือง เขาก็สั่งเกตุเห็นจึงรีบพุ่งเข้ามาทันที
” พี่ชาย!” จูล่งตกตะลึงแล้วตะโกนออกมา
อย่างไรก็ตาม เมื่อจูล่งเห็นชุดเกราะที่เตียวเมิ่ง สวมใส่และลมหายใจที่ปลดปล่อยออกมาเขาสัมผัสได้ทันทีว่าเตียวเมิ่งอยู่ในขอบเขตแม่ทัพระดับจักรพรรดิแล้ว เขาก็ตกตะลึงอีกครั้ง
“หยุดดด!”
เตียวเมิ่งมาที่ด้านหน้า ดึงบังเหียนแล้วลงจากหลังม้า
“ท่านลอร์ด!” เตียวเมิ่งโค้งคํานับเย่เฉิน และ เย่เฉินก็พยักหน้าตอบด้วยรอยยิ้ม เตียวเมิ่งก็รีบวิ่งไปหาจูล่งและกอดแล้วตบหลังจูล่งอย่างแรง
“เจ้าเด็กตัวเหม็น เจ้าตัวสูงขึ้นและร่างกายก็แข็งแรงขึ้น” เตียวเมิ่ง กล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า