เมื่อสือเพ่ยหลินฟังคำพูดของเริ่นเหม่ยเฟิ่งทำให้เขารู้สึกอยากจะหัวเราะเยาะตัวเอง
ฮ่าฮ่า หลานเสี่ยวถางจะกลับมาหาเขาได้อย่างไร?
หลานเสี่ยวถางไม่ใช่ผู้หญิงที่อยู่ในความครอบครองของเขาอีกต่อไป!
นอกจากนี้เมื่อวันก่อนได้ยินจากคนในเมืองไห่หลินว่าผู้นำเมืองไห่หลินตระกูลฮั่วได้ว่าจ้างวิศวกรซอฟต์แวร์มาช่วยสร้างระบบการจัดการการผลิตไวน์ คนที่จ้างมานั้นเป็นหญิงสาวนามสกุลหลานมาจากเมืองหนิงเฉิง
ในเวลานั้นเขาเดาว่าน่าจะเป็นหลานเสี่ยวถาง!
ไม่รู้ว่าหลานเสี่ยวถางใช้วิธีใดในการขอให้สือมูเฉินช่วยแนะนำงานให้เธอ สรุปก็คือเขารู้ว่าแม้ว่าเขาจะไปหาเธอด้วยความหวังอย่างจริงใจว่าเธอจะกลับมา มีโอกาสสูงที่เธอจะปฏิเสธ!
เมื่อสือเพ่ยหลินเงียบไป สือมูชิงจึงพูดขึ้นว่า “เพ่ยหลิน พ่อรู้ว่าลูกไม่สนใจผู้หญิงคนนั้นแล้วแต่เพื่อชีวิตของลูกเองต่อให้ยากลำบากแค่ไหนก็ต้องทน! ถ้าผู้หญิงคนนั้นต้องการค่าตอบแทนก็สัญญากับเธอว่าจะแบ่งปันหุ้นส่วนให้เธอ สรุปคือต้องพาเธอกลับมาให้ได้แล้วรีบไปจดทะเบียนสมรสทันที!”
สือเพ่ยหลินพยักหน้าและพูดอย่างหดหู่ใจ “โอเคครับ ผมเข้าใจแล้ว”
เริ่นเหม่ยเฟิ่งมองดูเวลา “ใกล้จะเที่ยงคืนแล้วรีบเข้านอนกันเถอะ และพรุ่งนี้เช้าเราต้องไปโรงพยาบาลเพื่อสกัดไขกระดูก”
สือเพ่ยหลินกลับมาที่ห้องของเขาแล้วก็เห็นซองจดหมายสีแดงเต็มกล่องที่เขาส่งไปก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ยังมีส่วนที่เป็นงานเขียนตัวอักษรโบราณซึ่งไม่รวมอยู่ในรายการนี้
อย่างไรก็ตามเขามองเห็นซองจดหมายสีแดงที่ไม่เหมือนใครอย่างง่ายดาย
โดยปกติเมื่อแต่งงานจะได้รับตราประทับสีแดงที่มีคำว่าความสุข ความยินดีพิมพ์อยู่ที่หน้าซองจดหมาย แต่หนึ่งในนั้นดูแปลกตาเป็นพิเศษ
เมื่อมองแวบแรกมันเป็นหนึ่งในซองจดหมายสีแดงที่นักธุรกิจหรือธนาคารมอบให้สำหรับงานแต่งงาน
เพราะไม่เพียงแต่มีอักษรมงคลคำว่าความสุข ความยินดี แต่ยังมีโลโก้ของธนาคารอีกด้วย
สือเพ่ยหลินหยิบมันออกมาดวงตาของเขาจ้องไปที่ตัวอักษรมงคลนั้น
แน่นอนว่านอกจากหลานเสี่ยวถางไม่มีใครจะให้สิ่งนี้
ยิ่งไปกว่านั้นซองสีแดงมีความบางมาก และรู้สึกว่าภายในต้องใส่เงินไม่เกินห้าร้อยหยวน
ดังนั้นเธอจะใส่สี่ร้อยหยวนใช่ไหม? เขาพยายามนับจำนวนตัวเลข แม้ว่าซองสีแดงจะบางมาก แต่ข้างในอาจจะเป็นเช็คธนาคาร!
สือเพ่ยหลินครุ่นคิดอยู่สักครู่และพบว่ามันติดกาวค่อนข้างแน่น ดังนั้นเขาจึงหยิบใบมีดขนาดเล็กมาตัดผนึกอย่างระมัดระวัง
เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรมีความรู้สึกอย่างไรกับสิ่งนี้ สรุปก็คือเห็นได้ชัดว่ามันเป็นซองสีแดงที่แย่ที่สุด แต่กลับค่อยๆ เปิดมันอย่างทะนุถนอม
สือเพ่ยหลินเอื้อมมือไปหยิบมันออกมาอย่างประหม่า
เมื่อเขารู้ว่าในซองมีเงินอยู่ไม่กี่หยวน เขาก็อึ้งเล็กน้อย เธอให้สี่ร้อยจริงๆ เหรอ?
แต่เมื่อนำเงินออกมาแล้วสือเพ่ยหลินก็ตกตะลึง
มีห้าหยวนหนึ่งใบ หนึ่งหยวนสี่ใบ และหนึ่งเหมาหนึ่งใบ……
ดังนั้นเธอใส่ซองให้เขาแค่เก้าหยวน? ค่าซองจดหมายเชิญมางานแต่งงานยังไม่พอเลย……
ในขณะนี้มีแผ่นกระดาษปลิวออกมาจากซอง
เป็นลายมือที่น่าประทับใจของหลานเสี่ยวถาง
เธอเขียนย่อหน้าอธิบายว่าทำไมเธอถึงให้เงินเก้าหยวน สีหน้าของสือเพ่ยหลินเปลี่ยนไปเมื่ออ่านเหตุผลจบ
เขารู้สึกโกรธเป็นไฟ จากประโยคนั้นเขาอ่านบางสิ่งที่เขาต้องการอ่าน
ดูเหมือนว่าเธอจะไม่พอใจเขา?
เขียนบรรยายในสิ่งที่เขาทำไม่ดีกับเธอในเมื่อก่อน?
ดังนั้นถ้าเขาชดเชยและลดท่าทีลงจริงๆ เธออาจจะ……
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้สือเพ่ยหลินพบว่าระบบประสาททั้งหมดของเขาตื่นเต้นและตื่นเต้นมาก
เขาดูเหมือนอยากให้เธอกลับมาหาเขาจริงๆ เหรอ?
ไม่สิ ดูเหมือนเขาจะเสียใจทีหลังนานแล้วและอยากให้เธอกลับมาตั้งนานแล้ว แต่เขากลับถูกคนอื่นรั้งไว้เสมอ เขาจะยอมรับได้ยังไงว่าเขาเสียใจทีหลัง? !
ถึงสือเพ่ยหลินจะทำเรื่องผิดพลาด แต่เพราะศักดิ์ศรีและความเย่อหยิ่งเขาจะไม่มีวันหันหลังกลับ แล้วเขาจะยอมแพ้ได้อย่างไร?
เขากำลังต่อสู้กันระหว่างสวรรค์กับนรกในหัวใจของเขา และในท้ายที่สุดดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นในทันใด
เขาป่วยและต้องการให้เธอช่วยเขาเอาชนะมรสุมชีวิต
นี่คือเหตุผลที่เขาหันกลับมา!
ท้ายที่สุดมีใครบ้างที่ไม่กลัวความตายและไม่อยากมีชีวิตที่ดี? เขาเข้าหาเธอเพียงเพราะเขาไม่อยากตาย!
เมื่อคิดเช่นนี้สือเพ่ยหลินก็รู้สึกผ่อนคลาย และแม้แต่มุมริมฝีปากของเขาก็ยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่คาดหวัง
พรุ่งนี้เขาจะไปคุยกับเธอดีๆ เธอน่าจะตกลงใช่ไหม?
อย่างมากที่สุดเขาถูกปฏิเสธถึงสองครั้งใหญ่ แค่ปล่อยให้เธอระบายให้พอ เธอน่าจะตอบตกลง!
สือเพ่ยหลินหยิบของที่หลานเสี่ยวถางมอบให้เขาอีกครั้งและยัดมันกลับเข้าไปในซองสีแดงอย่างระมัดระวัง เมื่อเขาเอนกายนอนลงบนเตียงความเกลียดชังก็หายไปและตัวเขาก็มีความอ่อนโยนมากขึ้น
วันนั้นหลานเสี่ยวถางได้รับรางวัลจากสือมูเฉินอีกครั้งก่อนเข้านอน ดังนั้นเธอจึงนอนสลบเป็นตาย
เช้าวันรุ่งขึ้นเขาลุกขึ้นพาเธอออกไปวิ่งออกกำลังกาย เมื่อกลับมาหลานเสี่ยวถางก็รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย
เธอออกจากมาจากห้องน้ำแล้วเปิดโทรศัพท์ดูพยากรณ์อากาศตามปกติ
เมื่อเปิดโทรศัพท์ข้อความของวีแชทก็แจ้งเตือนขึ้น
หลานเสี่ยวถางไม่ได้คิดอะไรจึงคลิกเปิดวีแชท ทันใดนั้นเธอก็ต้องตกตะลึง
“มูเฉิน!” หลานเสี่ยวถางถือโทรศัพท์รีบวิ่งไปหาสือมูเฉิน “พระเจ้า Jarvisรับฉันเป็นเพื่อนแล้วจริงๆ!”
เมื่อสือมูเฉินเห็นเธอตื่นเต้นจึงพูดอย่างใจเย็นว่า”เมื่อวานผมบอกคุณแล้วไงว่าเขาต้องไว้หน้าผม?”
หลานเสี่ยวถางพยักหน้าอย่างตื่นเต้น“ใช่ ใช่! แต่ฉันก็ยังคิดว่ามันน่าเหลือเชื่อ!”
เธอเดินวนรอบบ้านอย่างตื่นเต้น แล้วพูดกับตัวเองว่า “ฉันรู้ว่าเวลาบนโลกของแต่ละที่แตกต่างกัน ต้องเป็นคืนของเมื่อวานที่เขาเห็นฉันเพิ่มเพื่อนไป จากนั้นในที่สุดเขาก็รับฉันเป็นเพื่อน!”
“อืม” สือมูเฉินพยักหน้าเบา ๆ
“เยี่ยมมาก ในที่สุดฉันก็รู้จักคนดัง!” หลานเสี่ยวถางเปิดส่องดูภาพของJarvisอย่างมีความสุข จากนั้นเลื่อนลงมาเรื่อยๆ พึมพำอย่างน่าสงสาร “ทำไมไม่มีรูปถ่ายของเขาล่ะ”
สือมูเฉินที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอจ้องมองเธออย่างเฉยเมย”คุณพูดไม่ใช่เหรอว่าคุณแค่ชื่นชมความสามารถของเขา ทำไมคุณถึงอยากดูรูปถ่ายของเขาล่ะ?”
หลานเสี่ยวถางตระหนักอะไรถึงบางอย่างและกะพริบตาอย่างรวดเร็ว “ไม่ ฉันแค่รู้สึกประหลาดใจเท่านั้นเอง!”
ขณะที่เธอพูดเธอเริ่มดูไทม์ไลน์ของเขาอย่างระมัดระวัง และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “เนื้อหาในไทม์ไลน์ของเขาน่าสนใจมาก หลังจากอ่านทั้งหมดแล้ววิสัยทัศน์ในการมองโลกของฉันแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก!”
สือมูเฉินพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร
หลานเสี่ยวถางยังอยู่ในช่วงเวลาที่ตื่นเต้น ดังนั้นเธอจึงพูดออกไปว่า “มูเฉิน ฉันเป็นเพื่อนในวีแชทของเขาแล้ว ฉันควรพิมพ์ไปทักทายเขาดีไหม?”
สือมูเฉินเหลือบมองไปที่หลานเสี่ยวถางแล้วนิ่งเงียบ
หลานเสี่ยวถางไม่สนใจและคิดในใจว่า “แต่ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าเขาอยู่ประเทศไหน ถ้าฉันส่งไปแล้วเขากำลังหลับอยู่ และไม่ได้ปิดโทรศัพท์มันอาจเป็นการรบกวนเขา!”
“เวลาปกติเขายุ่งมากแล้วฉันไปปลุกเขา ดังนั้นเขาอาจจะลบเพื่อนฉันไป……”
“หรือบัญชีวีแชทนี้อาจเป็นเลขาของเขาจัดการให้ อันที่จริงฉันรู้สึกลำบากใจมาก กำลังคิดว่าจะทักทายเขาและกล่าวขอบคุณดีไหม จริงๆ แล้วฉันมีปัญหาด้านการตัดสินใจไม่ได้……”
ในเวลานี้สือมูเฉินที่นิ่งเงียบได้พูดขึ้นมา “นี่เป็นบัญชีของเขาเอง ไม่ได้อยู่ภายใต้การจัดการของเลขา”
“โอ้ พระเจ้า จริงเหรอ?” ดวงตาของหลานเสี่ยวถางเป็นประกาย “ฉันเป็นเพื่อนในวีแชทกับผู้ก่อตั้งAlliance Technologyที่ดูลึกลับน่าค้นหาจริงๆ เหรอ!”
เมื่อเห็นว่าเธอยังตื่นเต้นอยู่สือมูเฉินก็คว้าโทรศัพท์จากมือของเธอ แล้วพูดเบาๆ ว่า “เสี่ยวถาง ผมหิว”
หลานเสี่ยวถางยังไม่หุบยิ้ม ดวงตาของเธอเป็นประกายอยู่ตลอดเวลา แล้วพูดอย่างร่าเริงว่า“โอเค งั้นฉันจะทำอาหารเช้าให้คุณ คุณต้องการกินอะไร?”
“แล้วแต่เลย”สือมูเฉินพูดสั้นๆ แล้วเดินเข้าห้องสมุดไป
เมื่อเขากดโทรไปหาหยานชิงเจ๋อบอกเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หยานชิงเจ๋อก็หัวเราะเป็นเวลาสองนาที จนทำให้สือมูเฉินอารมณ์เสียมากและต้องการวางสายในที่สุดเขาก็พูดว่า”พี่เฉิน พี่เป็นอะไร วิธีหึงของพี่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นเรื่องยากมากเลยนะเนี่ยที่จะเห็นพี่เป็นแบบนี้ ร้องไห้เป็นหมาหงอยเลย !”
“ไสหัวไปซะ” สือมูเฉินเว้นประโยคไว้ “แผนการDRต้องรีบทำเวลา จะได้ไม่ต้องสูญเสียห่วงโซ่ในเดือนสุดท้าย”
“รับทราบครับ หัวหน้า!” หยานชิงเจ๋อรีบตกลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะพูดจบสือมูเฉินได้วางสายไปแล้ว อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้อารมณ์เสีย เมื่อนึกถึงคำพูดของสือมูเฉิน เขาไม่สามารถหยุดหัวเราะได้ จนเกือบจะตกเก้าอี้
หลานเสี่ยวถางฮัมเพลงขณะทำอาหารเช้าในห้องครัว เมื่อเทียบกับรูปลักษณ์หลังจากที่สือมูเฉินดึงเธอออกมาจากอดีต ดูแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
หลังจากทำอาหารเช้าเสร็จแล้ว เธอบีบซอสมะเขือเทศเป็นรูปหัวใจลงบนไข่เจียว แล้วไปเรียกสือมูเฉินเพื่อมารับทานอาหาร
สีหน้าของเขาดูซับซ้อนเล็กน้อย ดีหรือไม่ดีไม่รู้ ราวกับมีบางอย่างซ่อนไว้
เมื่อได้ยินว่าอาหารพร้อมแล้วเขาก็มาที่โต๊ะ
สือมูเฉินมองไปที่ไข่เจียวแห่งความรัก ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างทันที”เสี่ยวถาง นี่เป็นไข่ที่คุณจะสารภาพรักผมใช่ไหม?”
อันที่จริงหลานเสี่ยวถางไม่ได้คิดอะไรมากในขณะนั้น แต่วันนี้เธออารมณ์ดีจึงคิดอยากจะตบแต่งอาหารให้น่าสนใจมากขึ้นเท่านั้นเอง
เธอกะพริบตา “อืม เป็นการขอบคุณที่คุณแนะนำJarvisให้ฉันรู้จัก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้สือมูเฉินเริ่มมีอาการเคือง
เมื่อรู้ตัวอีกที เขาใช้ส้อมตีไข่แล้วกัดกินสองสามคำ
หลานเสี่ยวถางที่นั่งตรงข้ามเขารู้สึกค่อนข้างงง กล่าวอีกนัยหนึ่งวิธีที่สามีของเธอทานอาหารในวันนี้ดูมีท่าทางแปลกๆ?
ทันทีที่ทั้งสองรับประทานอาหารเช้าเสร็จ สือมูเฉินก็มีสายเข้า “พี่ใหญ่”
สือมูชิงพูดว่า “มูเฉิน มาที่โรงพยาบาลราษฎรในวันนี้ เพ่ยหลินและพี่จะรออยู่ที่ห้องผู้อำนวยการเจียง”
สือมูเฉินนึกถึงสีหน้าของสือเพ่ยหลินในเมื่อวานนี้ ดังนั้นเขาจึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับเพ่ยหลินหรือเปล่า?”
สือมูชิงพูดว่า “มันซับซ้อนที่จะพูด ไว้ค่อยคุยกันหลังจากที่มาถึงแล้วกัน เราจะออกเดินทางกันแล้ว คาดว่าจะไปถึงในยี่สิบนาที”
“โอเคครับ” สือมูเฉินตอบอย่างง่ายๆ ว่า “ผมจะไปทันที”
หลังจากวางสายแล้ว สือมูเฉินอธิบายสถานการณ์ให้หลานเสี่ยวถางฟังแล้วขับรถออกไป
ในตอนเช้าหลานเสี่ยวถางกำลังเรียนรู้การเขียนโปรแกรม สือมูเฉินบอกว่าเขาจะไม่กลับมาทานอาหารเที่ยง ดังนั้นเธอจึงทำอาหารง่ายๆ สำหรับตัวเองนั่งกินและเปิดดูวีแชทไปด้วย