ซิลวานฟื้นคืนสติหลังจากคณะสำรวจเดินทางกลับราวหนึ่งวัน สภาพร่างกายของเขาดูสมบูรณ์มากขึ้นเนื่องจากได้รับการถ่ายทอดพลังเวท แต่อย่างไรเสียเขายังจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด
สิ่งแรกที่ซิลวานกระทำเมื่อได้สติคือการค้นหาเฟลิซี เขาแสดงท่าทีร้อนรนอย่างมากจนทำให้คารัคกับซีพิร่ารีบบอกกล่าวอินกองกับเฟลิซี
สาเหตุที่ซิลวานร้อนรนมีหลายอย่าง เรื่องแรกคือเฟลิซีตามปกติ เรื่องที่สองคือแขนซีพิร่าที่เหลือเพียงข้างเดียว จริงอยู่ที่ซิลวานเป็นผู้ตัดแขนนางเพื่อช่วยชีวิตแต่เขาก็รู้สึกผิดอยู่ในใจ เป็นการตัดสินใจเด็ดขาดระหว่างการต่อสู้แต่เมื่อคิดย้อนอาจมีหนทางที่ดีกว่านี้
เรื่องที่สามคือราชันแห่งภูติ ปกติซิลวานต้องใช้ผ้าปิดตาที่ทำขึ้นพิเศษเพื่อช่วยผนึกดวงตา ในตอนนี้เขาสามารถมองโลกผ่านดวงตาทั้งสองข้าง
“นี่มันสุดยอดไปเลย”
ซิลวานกระพริบตาหลายครั้ง มีบ้างที่ดวงตาของเขาเรืองแสงสีทองขึ้นแต่ก็ไม่เกิดอะไร โดยรวมถือว่าไม่แตกต่างจากดวงตาทั่วไป
นอกจากนี้ซิลวานยังสามารถรับรู้ถึงพลังเวทที่ไหลเวียนในร่างกาย ที่ผิดแปลกก็คือพลังเวทเหล่านี้สงบนิ่ง มิได้เกรี้ยวกราดรั่วไหลดังในอดีต
เหตุเนื่องมาจากการที่อินกองสะกดราชันแห่งภูติ เขาได้ริดรอดพลังของภูติลงให้แสดงออกมาเพียงบางส่วน
“ไว้ฮยองควบคุมพลังเวทได้ดีขึ้น ก็จะดึงพลังเวทออกมาได้มากขึ้น แต่ตัวภูติมันยังคงเเหมือนเดิม เพราะงั้นถ้าปลดผนึกมันจะอาละวาดอีกครั้ง”
เปรียบดั่งถังเก็บน้ำขนาดใหญ่ต่อเข้ากับก๊อกน้ำที่หัวก๊อกเสีย ในตอนนี้อาจไม่มีน้ำรั่วไหลแต่เมื่อใดที่เปิดก๊อกน้ำจะทะลักออกมาทันที มากเสียจนไม่สามารถปิดก๊อกให้แน่นสนิทได้ดังเดิม
ถึงกระนั้นพลังเวทที่ซิลวานสามารถดึงมาใช้ในตอนนี้ก็เกินพอ นับว่าเป็นพัฒนาการโดยรวม
“พลังของฉัตร… สุดยอดไปเลย ยอดเยี่ยมจริงๆ”
อินกองอธิบายกับซิลวานเพียงแค่ว่านี่เป็นพลังพิเศษ เขาละเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอาณัติออกไป อินกองอาจไว้ใจซิลวานแต่ความลับเช่นนี้มีผู้รับรู้ยิ่งน้อยยิ่งดี อินกองอาจบอกความจริงกับซิลวานในอนาคต
ซิลวานยิ้มให้อินกองก่อนจะหันไปส่งสายตาอันคุกรุ่นให้เฟลิซี
“อปป้าจะเก่งกาจมากกว่านี้เพื่อลิซซี่ อปป้าจะกลับไปศึกษาเกี่ยวกับพลังเวทที่ละเลยไปนาน นักรบเวทมนตร์… ไม่สิอปป้าจะเกิดใหม่เป็นนักดาบเวทมนตร์! นับแต่วันนี้ข้าคือซิลวานดาบเวท!”
เสียงของซิลวานที่หนักแน่นและมั่นใจมากขึ้น เฟลิซีมองเขาด้วยสายตาที่ทั้งอับอายและรังเกียจ คารัคหัวเราะออกมาเพราะมันเพิ่งพูดคุยเรื่องนี้กับอินกองไม่นาน
‘ข้าพูดถูกมั้ยละ’
‘ถูกเผงเลยละ… ’
อินกองยิ้มแห้งระหว่างพูดคุยผ่านสายตากับเจ้าออร์ค ก่อนซิลวานจะหันมาคุยกับเขาอีกครั้ง
“ฉัตร เราขอบคุณอีกครั้งที่ช่วยชีวิตเฟลิซี ซีพิร่า เดเลีย และเราเอาไว้… กระทั้งล้างแค้นให้กับเหล่าลูกเรือ บุญคุณนี้จะไม่มีวันลืม นับแต่วันนี้เราขอสาบานว่าจะรับใช้ในฐานะองครักษ์ตราบจนชีวิตจะหาไม่”
น้ำเสียงที่ทั้งซาบซึ่งและเศร้าโศกในเวลาเดียวกัน อินกองไม่เคยเกลียดซิลวาน เขาจะเกลียดคนที่โผงผางและซื่อตรงเช่นนี้ได้อย่างไร?
ซิลวานหันหลังกระแอมก่อนจะกล่าวต่ออย่างลังเล
“แต่ยังไงเฟลิซีก็มาก่อน โปรดเข้าใจด้วย”
อินกองหัวเราะพลางพยักหน้า
“ผมเข้าใจครับ ขอฝากตัวด้วยนะครับฮยอง”
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับซิลวานก็คือเฟลิซี ทุกอย่างเกี่ยวกับเฟลิซี อินกองเข้าใจเรื่องนี้ดี ซิลวานเป็นองครักษ์ก่อนสิ่งอื่นใด และเฟลิซีก็เป็นบุคคลสำคัญสำหรับอินกองเช่นกัน
ระหว่างที่อินกองกับซิลวานทำความเข้าใจกัน คารัคก็หันมาทางเฟลิซี
“องค์หญิงไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยรึ?”
“กับพวกโง่ พูดไปก็เท่านั้น”
เฟลิซีตอบพลางใช้พัดปกปิดใบหน้าแดงก่ำ นั่นเพราะสถานการณ์ตรงหน้าเป็นสิ่งที่อบอุ่นจนทำให้รู้สึกอายในเวลาเดียวกัน
ครู่หนึ่งเดเลียเข้ามาพร้อมจดหมายตอบรับจากทางวังหลวง
&
“เป็นไปตามคาด”
อินกองยื่นจดหมายต่อให้ซิลวาน
มีคำสั่งจากวังจอมมารให้พวกเขาเดินทางกลับอย่างรวดเร็วที่สุด
เฟลิซียืดเส้นเพื่อคลายตัวจากเรื่องราวที่เริ่มตึงเครียด
“เรื่องวุ่นวายเยอะไปหมด ทางใต้น่าจะเรียกว่าคลี่คลายได้อยู่นะ? แต่ทางเหนือนี่สิ บางทีอาจมีภารกิจให้ไปสมทบกับสถานที่ทางทิศเหนือ”
ภารกิจที่อินกองรับมอบหมายในครั้งนี้คือเอเวียง ทว่าเอเวียงมิใช้จุดยุทธศาสตร์เดียวที่ตกเป็นเป้า เขตแดนทางทิศเหนือมีเหตุปะทะอยู่ตลอดเวลา เหตุการณ์เหล่านี้ได้ทวีความรุนแรงขึ้นจนเริ่มเรียกได้ว่าเป็นสนามรบ บรรดาชนเถื่อนสูญเสียราชาไปย่อมส่งผลให้สถานการณ์ทางทิศตะวันออกเป็นไปในทางที่ดีสำหรับวังจอมมาร
ยิ่งไปกว่านี้ยังมีเรื่องของเหล่าศัตรูที่มีไอพลังลึกลับปกคลุม จากรายงานพบว่าศัตรูเหล่านี้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นด้านทิศเหนือ ปัจจัยนี้ทำให้เฟลิซีคาดว่าการเรียกตัวในครั้งนี้เป็นไปเพื่อมอบหมายภารกิจสมทบ
‘ปัญหาก็คือ สมทบกับใคร?’
หากละเว้นคริสต์ที่อยู่ฝ่ายอินกองแล้ว บรรดาทายาทจอมมารที่ได้รับมอบหมายภารกิจทางทิศเหนือล้วนมีฝ่ายต่างแตกออกไป การไปสมทบกำลังย่อมทำได้อย่างลำบากหากคณะของอินกองต้องไปสนับสนุนไบคาล แซเฟียร์ หรืออนาสทาเซีย
อินกองละทิ้งความคิดเหล่านี้ออก นั่นเพราะคำสั่งมีเพียงให้เร่งรัดกลับวังหลวง อาจมีเรื่องราวอย่างอื่นรออยู่
อาชาแห่งอาสัญแบ่งกำลังออกจู่โจมหลายบริเวณ อาชาแห่งรณการมุ่งเป้าไปยังเหล่าชนเถื่อน อาชาแห่งทุพภิกขภัยพยายามรวบรวมพลังเวทจากโบราณสถานหลากหลาย
อาจมีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับจุดประสงค์ของศัตรู อินกองไม่ทราบว่าทางวังหลวงรู้เกี่ยวกับเหล่าฑูตโลกาวินาศมากเพียงใด ทว่าการกระทำของพวกเขาเหล่านี้เป็นปฏิปักษ์กับแนวทางของวังจอมมารอย่างชัดเจน
เฟลิซีหันไปทางซิลวาน
“ซิลวาน ฉันคิดว่าครั้งนี้พวกเราอาจต้องแยกเดินทางด้วยวิธีอื่นจากเรือเหาะ เข้าใจใช่ไหม?”
นอกเสียจากซิลวาน ซีพิร่า เรือเหาะเพลิงมังกรทมิฬเหลือลูกเรือรอดชีวิตอยู่เพียงสามตน ย่อมไม่เพียงพอต่อการควบคุมเรือเหาะให้เต็มประสิทธิภาพ การเดินทางด้วยเรือเหาะในสถานการณ์นี้จึงเรียกได้ว่าเป็นการเสียเวลาเกินความจำเป็น
วิธีที่รวดเร็วที่สุดคือค่ายกลเคลื่อนมิติ
ซิลวานแสดงท่าที่กระอักกระอ่วน ก่อนเฟลิซีกล่าวต่อให้เขาสบายใจ
“นี่อาจทำให้กัปตันเรือไม่สบายใจ แต่มันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับตอนนี้ ฉันจะขอน้าเอลิต้าให้ช่วยดูแลเรือเหาะซักระยะนึง”
หลังจากเฟลิซีกับอินกองเดินทางกลับวังย่อมสิ้นสุดภารกิจสมทบของเอลิต้า เฟลิซีจึงคิดฝากฝังเรือเหาะไว้กับนาง เพราะเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่ไว้ใจได้
“เพราะงั้นก็เตรียมตัวกันเถอะ พอเคทลินมาถึงพวกเราจะเดินทางกลับวังกัน”
เคทลินซึ่งอยู่เขตเอเวียงได้รับสั่งเรียกตัวกลับเช่นกัน นี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่เฟลิซีค่อนข้างมั่นใจว่าจุดประสงค์ในครั้งนี้คือการไปสมทบกับทางทิศเหนือ ไม่มีความจำเป็นให้เรียกตัวพวกเขากลับทั้งหมดหากต้องการกำลังพลเพียงป้องกันเขตแดน
เฟลิซีส่งข้อความบอกจุดนัดพบบริเวณเขตครามส์กับเคทลิน ระหว่างที่ซีพิร่าพาซิลวานเข้าพักผ่อน
อินกองเดินใช้ความคิดอยู่บริเวณหัวเรือ
อินกองเอาชนะอาชาแห่งทุพภิกขภัยในไม่กี่วันที่ผ่านมา
รณการ ทุพภิกขภัย อาสัญ—
ศัตรูสำคัญของอาณัติในขณะนี้ การที่จะเอาชนะพวกเขาไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งเมื่ออินกองคิดถึงสภาพของอาชาแห่งทุพภิกขภัยที่เขาพบ ทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอในเวลาเดียวกัน
อินกองพยายามหาสาเหตุ เขาคิดแบ่งความสามารถของตัวแทนสี่ฑูตออกเป็นสองส่วน หนึ่งคือความสามารถของร่างทรง สองคือพลังที่ได้รับจากตัวตนทั้งสี่
แม้จีราด มูนไลท์จะถูกขังคุกมืดถึงยี่สิบปีจนอ่อนแอ แต่ก็ยังเก่งกาจสามารถเอาชนะซิลวานได้
ในทางกลับกันพลังของทุพภิกขภัยในตัวกลับเรียกได้ว่าค่อนข้างอ่อนแอ ยิ่งเมื่ออินกองแผ่พลังแห่งอาณัติออกเป็นวงกว้างยิ่งเห็นชัด
เพราะอะไรกัน? หรือจีราดเป็นอาชาแห่งทุพภิกขภัยเพียงช่วงเวลาที่สั้น? ถ้าช่วงเวลามีผลต่อพลังที่สามารถเรียกใช้ได้ อาชาอีกสองอยู่มานานเพียงใด? แล้วเหตุใดเวลาของการเป็นอาชาถึงแตกต่างกัน?
คำใบ้ที่อินกองคิดว่าเกี่ยวข้องมีเพียงเรื่องการต่อสู้เมื่อหนึ่งพันปีก่อน ก่อนต่อสู้ที่ทำให้พยานอันเคลจบชีวิตลง และยังเป็นจุดเริ่มต้นที่เหล่าพญามังกรบรรพกาลเร้นกายซ่อนตัว
อาณัติ รณการ ทุพภิกขภัย อาสัญ เอ็นคิดู อันเคล ควิเอียน ไคทีน โทร่า ทาเลีย สี่ตัวตนแห่งเภทภัยกับ หกพญามังกร
‘บางที… ถ้าการต่อสู้ไม่ได้ยุติตามตำนานละ!’
อินกองคิดสมมติฐานบางอย่างออกมา
ข้อสรุปที่ว่าการต่อสู้สมัยหนึ่งพันปีก่อนมิได้จบสิ้นแต่ยังคงดำเนินต่ออย่างไม่หยุดยั้ง ถ้าเป็นจริงแสดงว่าอาชาแห่งรณการกับอาชาแห่งอาสัญคงอยู่ในสงครามนี้และมีชีวิตมาร่วมพันปี นับว่าเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
‘ถ้าจริง ที่ผ่านมาพวกนั้นมัวทำอะไรอยู่? ทำไมจู่ๆถึงมาแสดงตัวเอาตอนนี้?’
สี่ฑูตแห่งโลกาวินาศ หากเป็นไปตามชื่อเรียกหมายความว่าตัวตนเหล่านี้ปรารถนาจุดจบของโลก
การเข้าโจมตีวังจอมมาร… สังหารผู้พิทักษ์เพื่อทำให้สถานที่หลายแห่งกลับสู่ทะเลทราย… การกระทำเหล่านี้จะนำไปสู่จุดจบของโลกอย่างไร? หรือจะต้องการทำลายกฎระเบียบส่งให้โลกกลับไปสู่ยุคแห่งความสับสนวุ่นวาย?
‘แล้วก็คำพูดของปราชญ์ดาบ’
‘มีหลายเภทภัยคงอยู่ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ที่ต้องทำก็เพียงฝึกตนให้เก่งกาจสามารถทำลายมันไปได้’
เป็นคำตอบที่อาจเรียกได้ว่าไร้สมองแต่ก็เป็นคำตอบที่ตรงไปตรงมาเช่นกัน
“ใช่แล้ว นี่ละทางออก”
‘เก่งกาจสามารถ’
ถ้าอินกองเก่งกาจสามารถมากพอที่จะใช้กำลังเข้าปราบปรามทำลายศัตรูให้หมดสิ้น ปัญหาทั้งหมดก็น่าจะหมดลง หลังจากจัดการกับฑูตโลกาวินาศอินกองจะได้ใช้เวลาในการค้นหาวิธีเพื่อกลับสู่โลกเดิม
อินกองยึดมั่นคำแนะนำจากปราชญ์ดาบแล้วลืมเรื่องทั้งหมดออกไปจากความคิด เมื่อกลับถึงวังจอมมารแน่นอนว่าระดับความสำเร็จของเขาย่อมช่วยเพิ่มสิทธิ์ในการเข้าถึงสถานที่หลากหลาย นอกจากนี้ทายาทตนอื่นยังคงอยู่ระหว่างการทำภารกิจ เป็นโอกาสอันดีให้อินกองสามารถทำสิ่งที่เขาค้างคาเอาไว้ได้อย่างไม่ต้องวิตกกังวล
ข้อมูลจากหอสมุด ของวิเศษที่หลบซ่อนอยู่ตามจุดในเขตวังหลวง เหตุการณ์ที่สามารถช่วยเกณฑ์ขุนพลและบุคลากรเพิ่ม
‘แล้วก็เรื่องเกี่ยวกับเวทมนตร์… ศาสนา’
อินกองตาลุกโชนอีกครั้ง
เคทลินมาสมทบที่ครามส์ในอีกสามวันถัดมา
&
“ฉัตรสุดยอด!”
ดวงตาเป็นประกายของเคทลินกับคำพูดที่เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของนางหลังจากที่อินกองเล่าถึงการช่วยชีวิตเฟลิซี
“ใช่แล้ว แบบนี้แหละ”
อินกองพยักหน้าอย่างพึงพอใจท่ามกลางเสียงบ่นอุบอิบของกรีนวินด์
‘ออกจะเหมือนกัน ไม่แตกต่างจากข้าซักนิด นายท่านนั่นแหละที่แปลก โง่ ไม่สุดยอด ข้าเกลียด’
กรีนวินด์มิได้ปรากฏกายเนื้อออกมาอินกองจึงได้ยินเพียงเสียงของนาง อย่างไรเสียอินกองก็พอคาดเดาท่าทีของเทพคุ้มกายของเขาได้ นั่นทำให้เขายิ้มออกมา
“ฉัตรอาจจะสุดยอดในบางครั้ง… แต่ก็โรคจิตในบางครั้งเหมือนกัน”
“ใช่แล้ว บางครั้งแกก็หัวเราะออกก่อนข้าจะเล่าเรื่องเสร็จ แล้วไหนจะการฝึกที่ผิดปกตินั่นอีก ที่สำคัญคือแกยังหัวเราะให้กับความเจ็บปวด”
สีหน้าของเฟลิซีเปลี่ยนไปมากขึ้นเมื่อนางได้ยินสิ่งที่คารัคเล่า สีหน้าของนางเริ่มคล้ายคลึงกับเวลาที่นางจ้องมองซิลวาน
ท่าทีที่เปลี่ยนไปของเฟลิซีเริ่มกดดันอินกอง แต่นั่นก็เทียบไม่ได้เลยกับท่าทีของนาตาช่ากับเคทลิน นาตาช่าจ้องมองอินกองด้วยสายตาอยากรู้ อินกองไม่อาจรับรู้ได้ว่าสายตาของนางต้องการอะไร? ยิ่งไปกว่านั้นทำไมนางจึงอมยิ้มอย่างเขินอาย?!
ระหว่างที่อินกองเริ่มกระวนกระวาย ซิลวานก็ตบไหล่เขา
“เอาน่า ยังไงฉัตรก็ยังคงเป็นฉัตร ฮยองเข้าใจดี รสนิยมคนเรามันต่างกันออกไป ยังไงฮยองก็ยังเป็นองครักษ์ให้ ไม่มีปัญหา”
รสนิยมอะไรกัน?
อินกองพยายามคิดหาคำพูดแก้ต่างท่ามกลางทิศทางการสมธนาที่เริ่มจะเป็นไปในแนวทางหนึ่ง ก่อนเคทลินจะหัวเราะพลางพูดปลิดชีวิต
“ฉัตร เธออยากให้ฉันใช้ลมปราณอัดเธออีกรอบมั้ย?”
เจ้าชายฉัตรได้เสียชีวิตลงแล้ว! เป็นการเสียชีวิตของภาพพจน์ที่แตกสลายไม่เหลือซาก
อินกองถอนหายใจหันไปหาคารัค
“กลับ…วังจอมมารกันเถอะ”
ครู่หนึ่งค่ายกลเคลื่อนมิติก็เริ่มทำงาน ส่งตัวคณะของอินกองเดินทางกลับวังหลวง